ส่วนที่ 8 ภาคตำนานแม่พระแห่งวังหลัง ตอนที่ 19 ตำนานแม่พระวังหลัง

ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก

หลังจากทานอาหารค่ำเรียบร้อยแล้ว ลำคอของเหยียนอวี่ชิงแหบแห้งไปเล็กน้อย แต่อย่างไรก็ยังอยากรั้งฝ่าบาทให้อยู่ค้างคืนที่จิ่นฟางไจ ทว่าน่าเสียดาย เมื่อทานอาหารค่ำเสร็จแล้ว ซู่รุ่ยก็กลับไปพร้อมกับวังอี้โดยไม่พูดอะไรสักคำเดียว ต่อมาก็สั่งให้คนนำของกำนัลมามอบให้ แต่สำหรับเหยียนอวี่ชิงแล้ว ของกำนัลเหล่านี้หาได้มีความหมายใดๆ ไม่

 

 

สิ่งที่นางต้องการคือได้ครอบครองใจของฝ่าบาท ไม่ใช่เงินทองของมีค่าพวกนี้

 

 

“นายหญิง ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่เจ้าค่ะ”

 

 

เมื่อเห็นว่าเหยียนอวี่ชิงสีหน้าไม่สู้ดีและเอาแต่ดื่มน้ำ ซูหว่านก็รีบหลบซ่อนแววตาเย้ยหยั่นนั้นและมองนางด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใย

 

 

“ข้าไม่เป็นไร”

 

 

เหยียนอวี่ชิงส่ายหน้า ในวังหลังแห่งนี้มีผู้คนมากหน้าหลายตานัก นางเองก็ไม่แน่ใจว่ามีนกต่อของใครอยู่บ้าง เหยียนอวี่ชิงกินเผ็ดไม่ได้มาตั้งแต่เด็กแล้ว แต่ไม่มีใครรู้เรื่องนี้และเหยียนอวี่ชิงก็ไม่คิดจะให้ใครได้ล่วงรู้ด้วย

 

 

“ซูหว่าน ฝ่าบาทถูกพระทัยอาหารค่ำวันนี้มาก ในของกำนัลเหล่านี้ เจ้าเลือกมาสักชิ้นเถอะ ถือว่าเป็นรางวัลจากข้า”

 

 

“ขอบคุณเจ้าค่ะนายหญิง”

 

 

ซูหว่านคำนับขอบคุณเหยียนอวี่ชิง เธอรู้ดีว่าตอนนี้ยิ่งเธอนอบน้อมและเชื่อฟังเหยียนอวี่ชิงมากเท่าไร ความภาคภูมิที่ได้เป็นเจ้าเป็นนายของเหยียนอวี่ชิงก็จะยิ่งเพิ่มพูนขึ้นมากเท่านั้น…

 

 

ยามค่ำคืนมีนางกำนัลตำแหน่งเล็กๆ คอยเฝ้าอยู่ในห้องนอน ส่วนซูหว่านก็ได้กลับห้องตัวเองไปนานแล้ว เธอเป็นนางกำนัลข้างกายเหยียนอวี่ชิง ห้องของเธอจึงอยู่ติดกับห้องนอนของเหยียนอวี่ชิง เป็นห้องที่ใหญ่อยู่สบายพอสมควร

 

 

เมื่อซูหว่านเดินเข้าห้องมาก็เห็นซูรุ่ยในชุดฮ่องเต้เต็มยศนั่งยิ้มตาหยีรออยู่บนตั่งของเธอแล้ว “ที่รักจ๋า ช่วยปลอบใจผมหน่อยสิ”

 

 

ซูรุ่ยกระพริบตาปริบๆ ทำหน้าตาน่าสงสารมองไปที่ซูหว่าน เพราะแผนของที่รักแท้ๆ แม่ทัพซูอย่างเขาจึงต้องฝืนมาเล่นละครตบตาเหยียนอวี่ชิงเช่นนี้ แม่ทัพซูนั้นเอ็ดระอาเสียจริงๆ

 

 

แต่ยังดีที่เหยียนอวี่ชิงเข้าใจอะไรได้ง่าย ไม่ได้ตื๊อแบบกัดไม่ปล่อย ดีกว่าผู้หญิงเสียสติอย่างเจี่ยงโยวในโลกมิติที่แล้วเป็นไหนๆ

 

 

“เอ้านี่ ฉันให้ เอาไปปลอบประโลมใจดวงน้อยของนายนะ”

 

 

ซูหว่านเดินมาที่เตียง นำของกำนัลที่ได้จากเหยียนอวี่ชิงโยนใส่มือซูรุ่ย

 

 

ซูรุ่ย “…”

 

 

ที่รักจ๋า จะชิ่งกันแบบนี้ไม่ได้นะ

 

 

“ที่รักจ๋า”

 

 

ซูรุ่ยดึงซูหว่านเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด พร้อมกล่าวต่อว่า

 

 

“คุณจะเริ่มแผนต่อไปเมื่อไหร่ แล้วที่สวีปิงเย่ว์ยังไม่นำจดหมายของเสิ่นเฉิงเป่ยมาให้คุณเลย คุณว่าเธอกำลังรออะไรอยู่”

 

 

รออะไรอยู่นะเหรอ

 

 

สวีปิงเย่ว์กำลังรอโอกาสอยู่นะสิ

 

 

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ซูหว่านเงยหน้าขึ้นมองซูรุ่ยด้วยรอยยิ้มแล้วพูดว่า

 

 

“สวีปิงเย่ว์กำลังรอโอกาสอยู่ ฝ่าบาทก็เปิดโอกาสให้นางหน่อยสิเพคะ”

 

 

ซูรุ่ย ‘เอาผมไปเกี่ยวอะไรด้วยอีกแล้ว’

 

 

เมื่อเห็นซูรุ่ยทำหน้างงงวย ซูหว่านก็อดขำออกมาไม่ได้

 

 

แม่ทัพซูนะแม่ทัพซู เมื่ออยู่ท่ามกลางสมรภูมิรบ นายฆ่าศัตรูไปนับไม่ถ้วน ท่ามกลางท้องพระโรงก็ชำนาญการบ้านการเมือง แม้กระทั่งเรื่องค้าขายก็เชี่ยวชาญไม่แพ้ใคร แต่น่าเสียดายที่เมื่อเป็นเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ในวังหลัง นายกลับไม่เข้าใจพวกสาวๆ เอาเสียเลย

 

 

วิธีคิดสุดพิสดารและโรคขี้มโนของพวกหล่อนล้ำลึกเกินกว่าที่นายจะจินตนาการได้แน่…

 

 

วันต่อมา บรรยากาศภายในจิ่นฟางไจยังคงคึกคัก เหยียนอวี่ชิงแต่งองค์ทรงเครื่องเสร็จตั้งแต่เช้าแล้ว นางเฝ้าคอยหวังว่าฝ่าบาทจะเสด็จมาอีกครั้ง น่าเสียดายที่นางรอตั้งนาน กลับได้ข่าวที่ฝ่าบาทเสด็จไปหาเฉินเหม่ยเหรินซึ่งได้รับการแต่งตั้งไม่นานมาแทน ได้ยินมาว่าเฉินเหม่ยเหรินผู้นี้เยาว์วัยและรูปงามยิ่งนัก

 

 

ผ่านไปอีกหลายวันฝ่าบาทก็มิได้เสด็จมาที่จิ่นฟางไจอีก เหยียนอวี่ชิงต้องคอยกินอาหารรสเผ็ดที่ห้องเครื่องทำมาถวาย นานวันเข้าธาตุไฟในร่างกายก็เพิ่มขึ้นจนสิวเจ้าปัญหาโผล่ขึ้นมา ทำให้นางกระวนกระวายยิ่งกว่าเดิม วนเวียนอยู่เช่นนี้จนสิวขึ้นเต็มไปทั่วทั้งใบหน้าของนางไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง

 

 

ไร้ซึ่งรูปโฉมอันงดงาม จะทำให้ฝ่าบาทโปรดปรานได้อย่างไร

 

 

เหยียนอวี่ชิงจึงสั่งให้ซูหว่านไปเชิญลู่มู่สวินผู้ชำนาญวิชาแพทย์มากที่สุดในสำนักหมอหลวงมา

 

 

นี่เป็นครั้งที่สองที่ซูหว่านได้เจอกับลู่มู่สวิน เขาดูอ่อนโยนเป็นมิตรกว่าครั้งก่อน สีหน้าเบิกบานน่าดู

 

 

ซูหว่านเดาว่าความสัมพันธ์ของเขากับเหยียนอวี่ชิงคงมีอะไรคืบหน้าไปบ้าง ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก

 

 

โอกาสที่จะตอบโต้ของพระเอกอยู่ตรงหน้าแล้ว นายอยู่ห่างจากความสำเร็จแค่ก้าวเดียวแล้ว สู้เขานะหมอลู่!

 

 

คงเป็นเพราะเรื่องเหยียนอวี่นั่ว ตอนตรวจดูอาการของเหยียนอวี่ชิงลู่มู่สวินถึงได้ตั้งใจเป็นพิเศษ ซูหว่านรอให้เขาตรวจเสร็จแล้วจึงให้คนตามฝูลู่ไปรับยาที่สำนักหมอหลวง ส่วนเธอก็เดินไปส่งลู่มู่สวินออกจากจิ่นฟางไจด้วยตัวเอง

 

 

“ไม่ต้องส่งหรอก”

 

 

ลู่มู่สวินหยุดอยู่ที่หน้าประตูจิ่นฟางไจ หันกลับมายิ้มให้ซูหว่าน “เจ้ากลับเข้าไปดูแลเหม่ยเหรินของเจ้าเถิด ข้าต้องไปตรวจพระสนมเหลียงเฟยที่ตำหนักซิ่วหนิงต่อ”

 

 

“โอ้ เช่นนั้นก็เชิญท่านหมอลู่เถิด”

 

 

เมื่อได้ยินลู่มู่สวินพูดแบบนั้นซูหว่านก็ไม่แปลกใจเลยสักนิด เหลียงเฟยก็เหมือนระเบิดเวลาในวังหลังแห่งนี้ นางอาจก่อเรื่องขึ้นมาได้ทุกเมื่อและทำให้แผนของซูหว่านต้องยุ่งเหยิงไปด้วย ฉะนั้นทางที่ดีที่สุดก็คือทำให้นางป่วย ให้นางนอนซมบนเตียงไปเรื่อยๆ จนไม่มีเวลาไปคิดแผนอะไรทั้งสิ้น

 

 

วิชาแพทย์ของหมอลู่ว่าแน่แล้ว แต่ไม่รู้ว่าถ้าเทียบกับซืออวี้แล้วจะแน่ขนาดไหนกัน

 

 

ตอนอยู่ในโลกยุคราชวงศ์ต้าเซี่ย ซูหว่านเคยเรียนรู้การใช้พิษต่างๆ จากซืออวี้ ฝีมือของเธอถือว่าเยี่ยมยอด แน่นอนว่าไอเทมพิเศษนี่จะใช้ได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในสถานที่และยุคสมัยที่ใกล้เคียงกันอย่างเช่นที่นี่ เพราะยิ่งเป็ยพิษที่ร้ายแรงเท่าไรก็ยิ่งวัตถุดิบ​จำนวนมาก ซูหว่านให้วังอี้ไปหาวัตถุดิบในวังหลวงนี้ตั้งหลายวันกว่าจะปรุงยาพิษไร้สีไร้กลิ่นชนิดที่ค่อยๆ ออกฤทธิ์ได้สำเร็จ ซึ่งยาพิษนี้ก็ถูกปรุงมาเพื่อเหลียงเฟยโดยเฉพาะ

 

 

ซูหว่านไม่สามารถประมาททุกคนในโลกนี้ เพราะแม้แต่กระต่ายก็ยังกัดคนได้เมื่อมันจนตรอกเลย แล้วถ้าเป็นคนจะไม่ยิ่งอันตรายกว่าเหรอ

 

 

ถึงซูหว่านจะยังไม่เคยเผชิญกับเหตุการณ์​แบบนั้นมาก่อนก็ตาม แต่เธอก็ทำอะไรด้วยความระมัดระวังอยู่ตลอด และจะไม่ยอมให้ตัวเองต้องตกอยู่ในอันตรายใดๆ ทั้งนั้น…

 

 

ต้องพูดว่าหลายมาวันนี้ วังหลังไม่สงบเท่าไรจริงๆ ตั้งแต่การตายอย่างน่าอนาจของอวี้กุ้ยเหรินและซูเฟยที่ถูกฆ่า เหล่าสตรีในวังหลังก็หวาดกลัวกันไปหมด ส่วนฝ่าบาทก็ไม่ได้รับสั่งให้ใครไปปรนนิบัติ ทุกคนต่างสังเกตการณ์​กันอยู่เงียบๆ ไม่มีใครกล้าออกตัวสักคน หลังจากไทเฮาถูกกักบริเวณอยู่ในตำหนักฉือหนิง บรรยากาสในวังหลังก็ดูตึงเครียดขึ้นเป็นอย่างมาก

 

 

แม้กระทั่งเหยียนอวี่ชิงถูกแต่งตั้งเป็นเหม่ยเหรินเอง จากใจที่เคยสงบเสงี่ยมก็เริ่มไหวคลอนขึ้นมา

 

 

หลังจากเหยียนอวี่ชิงได้รับการอวยยศให้เป็นเหม่ยเหริน ก็มีการแต่งตั้งเหม่ยเหรินและกุ้ยเหรินขึ้นอีกมากมาย ซึ่งหญิงสาวเหล่านี้มีทั้งนางข้าหลวงทั่วๆ ไป หรือแม้กระทั่งนางกำนัลที่ฝ่าบาทโปรดปราน พวกนางเหล่านี้ต่างก็เยาว์วัยและไร้เดียงสานัก

 

 

หรือว่าความชอบของฝ่าบาทจะเปลี่ยนไปแล้ว?

 

 

ฝ่าบาทเบื่ออาหารหรูหรา จึงเปลี่ยนมาเสวยโจ๊กขาวกับเครื่องเคียงที่แสนจะเรียบง่ายอย่างนั้นหรือ

 

 

ท่ามกลางการคาดเดาต่างๆ ของคนในวัง เหยียนอวี่นั่วกับสวีปิงเย่ว์ใช้เวลาช่วงเปลี่ยนเวรของกองพระภูษามาเยี่ยมเหยียนอวี่ชิงที่จิ่นฟางไจ

 

 

ตอนนี้สิวบนหน้าของเหยียนอวี่ชิงยุบลงไปมากแล้ว แต่สีหน้าของนางยังดูแย่มากอยู่ดี

 

 

พอเห็นว่าเหยียนอวี่นั่วกับสวีปิงเย่ว์มา เหยียนอวี่ชิงก็ให้ซูหว่านเตรียมการต้อนรับทั้งสองคนอย่างแข็งขันและยังให้พวกนางอยู่ทานอาหารกับตนเองด้วยกันอีกด้วย

 

 

นี่เป็นครั้งแรกที่สี่สาวพี่น้องร่วมสาบานได้นั่งทานอาหารด้วยกัน หลังจากการเข้ารับตำแหน่งเหม่ยเหรินของเหยียนอวี่ชิง

 

 

ทานไปได้ไม่เท่าไร สวีปิงเย่ว์ก็แอบโน้มตัวเข้าไปหาซูหว่าน แล้วควักจดหมายฉบับหนึ่งออกมา

 

 

“พี่เสี่ยวหว่าน ท่านดูสิว่านี่อะไร”

 

 

“นี่คือ…”

 

 

พอได้เห็นจดหมายในมือของสวีปิงเย่ว์ แววตาของซูหว่านก็สว่างวาบขึ้น

 

 

“นี่มันจดหมายจากเสิ่น…”

 

 

“ชู่ว์”

 

 

สวีปิงเย่ว์ทำมือเป็นสัญญาณว่าอย่าส่งเสียง นำจดหมายยัดใส่มือของซูหว่านพร้อมยิ้มตาหยี

 

 

“พวกเจ้าสองคนกระซิบกระซาบอันใดกัน ซูหว่าน เจ้าถืออะไรอยู่งั้นหรือ”

 

 

เหยียนอวี่ชิงซึ่งนั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะสังเกตเห็นท่าที ‘ผิดปกติ’ ของสวีปิงเย่ว์ได้ตั้งนานแล้ว เมื่อเห็นนางทำตัวลับๆ ลอๆ เช่นนั้น เหยียนอวี่ชิงจึงอดสงสัยไม่ได้ จึงเปิดปากถามออกมาอย่างปราศจากความลังเล

 

 

เมื่อได้ยินคำถามของนาง รอยยิ้มสะใจปรากฏขึ้นแวบหนึ่งบนหน้าของสวีปิงเย่ว์ ในขณะที่ซูหว่านลังเลที่จะหยิบจดหมายของเสิ่นเฉิงเป่ยออกมา “นี่เป็นจดหมายของบ่าว เป็น…เป็นจดหมายที่คู่หมั้นของบ่าวส่งมาเจ้าค่ะ”

 

 

“หือ?”

 

 

เหยียนอวี่ชิงและเหยียนอวี่นั่วมองไปที่ซูหว่านด้วยสีหน้าประหลาดใจ เห็นได้ชัดว่าพวกนางตกใจกับเรื่องนี้มาก

 

 

“ซูหว่าน เจ้าลำบากปิดบังพวกข้าอยู่เสียนาน ในเมื่อตอนนี้พวกข้าก็รู้หมดแล้ว เจ้ายังไม่รีบเล่ามาอีก”

 

 

เดิมทีเหยียนอวี่ชิงนึกว่าสวีปิงเย่ว์จะดึงซูหว่านเข้าเป็นพวกเสียอีก แต่ตอนนี้ดูท่าจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น

 

 

เรื่องคู่หมั้นของซูหว่านที่ถูกพูดถึงขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำให้เหยียนอวี่นั่วดูสนอกสนใจเป็นอย่างมาก ท่ามกลางสายตาหลายคู่ทีจับจ้องอยู่ ซูหว่านจำใจต้องเล่าเรื่องของตัวเองกับเสิ่นเฉิงเป่ยออกมาอย่างละเอียด

 

 

เมื่อได้ฟังเรื่องราวอันซับซ้อนเช่นนี้แล้ว เหยียนอวี่ชิงก็อดพูดไม่ได้ว่า “ซูหว่านเจ้าช่างโชคดีจริงๆ องครักษ์เสิ่นเองก็เป็นบุรุษที่แสนดีและรักเจ้ามาก”

 

 

“จริงด้วย”

 

 

เมื่อได้ยินเหยียนอวี่ชิงพูดเช่นนั้น สวีปิงเย่ว์ที่นั่งอยู่ข้างกันก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจพลางพูดต่อ “ครั้งนี้ที่บ่าวแอบไปที่ค่ายองครักษ์ก็โชคดีที่ได้พี่เสิ่นช่วยไว้ ไม่เช่นนั้นหากถูกจับได้คงตายไปแล้ว พี่เสิ่นเป็นบุรุษที่มากความสามารถ เหมาะสมกับพี่เสี่ยวหว่านอย่างยิ่ง หากข้าได้เจอคนดีๆ ที่ถูกใจเช่นนี้บ้าง ถึงจะเอาตำแหน่งสนมเอกมาแลกข้าก็ไม่เอา”

 

 

“ยัยเด็กคนนี้นี่”

 

 

เมื่อได้ฟังสวีปิงเย่ว์พูดแบบนั้น ซูหว่านก็ถึงกับทำหน้าไม่ถูก ได้แต่พูดเสียงแผ่วเบาว่า “พี่เสิ่นดีขนาดที่เจ้าชมที่ไหนกันเล่า”

 

 

“จะไม่ดีได้อย่างไรกัน”

 

 

พอได้ยินซูหว่านพูดเช่นนั้น แววตาของสวีปิงเย่ว์ก็เป็นประกายขึ้นมาพร้อมแสร้งทำเป็นพูดเล่นว่า “หากพี่เสี่ยวหว่านไม่ต้องการแล้ว เช่นนั้นข้าขอนะ บุรุษดีพร้อมเช่นนี้หากันได้ง่ายๆ เสียเมื่อไรกัน”

 

 

“ยัยเด็กคนนี้นี่ พูดอะไรของเจ้าน่ะ”

 

 

พอได้ยินคำพูดนี้ของสวีปิงเย่ว์ ซูหว่านก็ยิ่งทำหน้าไม่ถูกกว่าเดิม สองมือกำจดหมายตอบกลับของเสิ่นเฉิงเป่ยไว้แน่น

 

 

เหยียนอวี่นั่วไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนักเพราะเห็นว่านี่เป็นแค่เรื่องหยอกกันเล่น ในขณะที่เหยียนอวี่ชิงคอยสังเกตสีหน้าอารมณ์ของซูหว่านกับสวีปิงเย่ว์อย่างครุ่นคิด

 

 

เสิ่นเฉิงเป่ย ชายผู้นั้นมีดีเช่นนั้นเชียวหรือ