หลังจากทานอาหารค่ำเรียบร้อยแล้ว ลำคอของเหยียนอวี่ชิงแหบแห้งไปเล็กน้อย แต่อย่างไรก็ยังอยากรั้งฝ่าบาทให้อยู่ค้างคืนที่จิ่นฟางไจ ทว่าน่าเสียดาย เมื่อทานอาหารค่ำเสร็จแล้ว ซู่รุ่ยก็กลับไปพร้อมกับวังอี้โดยไม่พูดอะไรสักคำเดียว ต่อมาก็สั่งให้คนนำของกำนัลมามอบให้ แต่สำหรับเหยียนอวี่ชิงแล้ว ของกำนัลเหล่านี้หาได้มีความหมายใดๆ ไม่
สิ่งที่นางต้องการคือได้ครอบครองใจของฝ่าบาท ไม่ใช่เงินทองของมีค่าพวกนี้
“นายหญิง ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่เจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นว่าเหยียนอวี่ชิงสีหน้าไม่สู้ดีและเอาแต่ดื่มน้ำ ซูหว่านก็รีบหลบซ่อนแววตาเย้ยหยั่นนั้นและมองนางด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
“ข้าไม่เป็นไร”
เหยียนอวี่ชิงส่ายหน้า ในวังหลังแห่งนี้มีผู้คนมากหน้าหลายตานัก นางเองก็ไม่แน่ใจว่ามีนกต่อของใครอยู่บ้าง เหยียนอวี่ชิงกินเผ็ดไม่ได้มาตั้งแต่เด็กแล้ว แต่ไม่มีใครรู้เรื่องนี้และเหยียนอวี่ชิงก็ไม่คิดจะให้ใครได้ล่วงรู้ด้วย
“ซูหว่าน ฝ่าบาทถูกพระทัยอาหารค่ำวันนี้มาก ในของกำนัลเหล่านี้ เจ้าเลือกมาสักชิ้นเถอะ ถือว่าเป็นรางวัลจากข้า”
“ขอบคุณเจ้าค่ะนายหญิง”
ซูหว่านคำนับขอบคุณเหยียนอวี่ชิง เธอรู้ดีว่าตอนนี้ยิ่งเธอนอบน้อมและเชื่อฟังเหยียนอวี่ชิงมากเท่าไร ความภาคภูมิที่ได้เป็นเจ้าเป็นนายของเหยียนอวี่ชิงก็จะยิ่งเพิ่มพูนขึ้นมากเท่านั้น…
ยามค่ำคืนมีนางกำนัลตำแหน่งเล็กๆ คอยเฝ้าอยู่ในห้องนอน ส่วนซูหว่านก็ได้กลับห้องตัวเองไปนานแล้ว เธอเป็นนางกำนัลข้างกายเหยียนอวี่ชิง ห้องของเธอจึงอยู่ติดกับห้องนอนของเหยียนอวี่ชิง เป็นห้องที่ใหญ่อยู่สบายพอสมควร
เมื่อซูหว่านเดินเข้าห้องมาก็เห็นซูรุ่ยในชุดฮ่องเต้เต็มยศนั่งยิ้มตาหยีรออยู่บนตั่งของเธอแล้ว “ที่รักจ๋า ช่วยปลอบใจผมหน่อยสิ”
ซูรุ่ยกระพริบตาปริบๆ ทำหน้าตาน่าสงสารมองไปที่ซูหว่าน เพราะแผนของที่รักแท้ๆ แม่ทัพซูอย่างเขาจึงต้องฝืนมาเล่นละครตบตาเหยียนอวี่ชิงเช่นนี้ แม่ทัพซูนั้นเอ็ดระอาเสียจริงๆ
แต่ยังดีที่เหยียนอวี่ชิงเข้าใจอะไรได้ง่าย ไม่ได้ตื๊อแบบกัดไม่ปล่อย ดีกว่าผู้หญิงเสียสติอย่างเจี่ยงโยวในโลกมิติที่แล้วเป็นไหนๆ
“เอ้านี่ ฉันให้ เอาไปปลอบประโลมใจดวงน้อยของนายนะ”
ซูหว่านเดินมาที่เตียง นำของกำนัลที่ได้จากเหยียนอวี่ชิงโยนใส่มือซูรุ่ย
ซูรุ่ย “…”
ที่รักจ๋า จะชิ่งกันแบบนี้ไม่ได้นะ
“ที่รักจ๋า”
ซูรุ่ยดึงซูหว่านเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด พร้อมกล่าวต่อว่า
“คุณจะเริ่มแผนต่อไปเมื่อไหร่ แล้วที่สวีปิงเย่ว์ยังไม่นำจดหมายของเสิ่นเฉิงเป่ยมาให้คุณเลย คุณว่าเธอกำลังรออะไรอยู่”
รออะไรอยู่นะเหรอ
สวีปิงเย่ว์กำลังรอโอกาสอยู่นะสิ
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ซูหว่านเงยหน้าขึ้นมองซูรุ่ยด้วยรอยยิ้มแล้วพูดว่า
“สวีปิงเย่ว์กำลังรอโอกาสอยู่ ฝ่าบาทก็เปิดโอกาสให้นางหน่อยสิเพคะ”
ซูรุ่ย ‘เอาผมไปเกี่ยวอะไรด้วยอีกแล้ว’
เมื่อเห็นซูรุ่ยทำหน้างงงวย ซูหว่านก็อดขำออกมาไม่ได้
แม่ทัพซูนะแม่ทัพซู เมื่ออยู่ท่ามกลางสมรภูมิรบ นายฆ่าศัตรูไปนับไม่ถ้วน ท่ามกลางท้องพระโรงก็ชำนาญการบ้านการเมือง แม้กระทั่งเรื่องค้าขายก็เชี่ยวชาญไม่แพ้ใคร แต่น่าเสียดายที่เมื่อเป็นเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ในวังหลัง นายกลับไม่เข้าใจพวกสาวๆ เอาเสียเลย
วิธีคิดสุดพิสดารและโรคขี้มโนของพวกหล่อนล้ำลึกเกินกว่าที่นายจะจินตนาการได้แน่…
วันต่อมา บรรยากาศภายในจิ่นฟางไจยังคงคึกคัก เหยียนอวี่ชิงแต่งองค์ทรงเครื่องเสร็จตั้งแต่เช้าแล้ว นางเฝ้าคอยหวังว่าฝ่าบาทจะเสด็จมาอีกครั้ง น่าเสียดายที่นางรอตั้งนาน กลับได้ข่าวที่ฝ่าบาทเสด็จไปหาเฉินเหม่ยเหรินซึ่งได้รับการแต่งตั้งไม่นานมาแทน ได้ยินมาว่าเฉินเหม่ยเหรินผู้นี้เยาว์วัยและรูปงามยิ่งนัก
ผ่านไปอีกหลายวันฝ่าบาทก็มิได้เสด็จมาที่จิ่นฟางไจอีก เหยียนอวี่ชิงต้องคอยกินอาหารรสเผ็ดที่ห้องเครื่องทำมาถวาย นานวันเข้าธาตุไฟในร่างกายก็เพิ่มขึ้นจนสิวเจ้าปัญหาโผล่ขึ้นมา ทำให้นางกระวนกระวายยิ่งกว่าเดิม วนเวียนอยู่เช่นนี้จนสิวขึ้นเต็มไปทั่วทั้งใบหน้าของนางไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง
ไร้ซึ่งรูปโฉมอันงดงาม จะทำให้ฝ่าบาทโปรดปรานได้อย่างไร
เหยียนอวี่ชิงจึงสั่งให้ซูหว่านไปเชิญลู่มู่สวินผู้ชำนาญวิชาแพทย์มากที่สุดในสำนักหมอหลวงมา
นี่เป็นครั้งที่สองที่ซูหว่านได้เจอกับลู่มู่สวิน เขาดูอ่อนโยนเป็นมิตรกว่าครั้งก่อน สีหน้าเบิกบานน่าดู
ซูหว่านเดาว่าความสัมพันธ์ของเขากับเหยียนอวี่ชิงคงมีอะไรคืบหน้าไปบ้าง ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก
โอกาสที่จะตอบโต้ของพระเอกอยู่ตรงหน้าแล้ว นายอยู่ห่างจากความสำเร็จแค่ก้าวเดียวแล้ว สู้เขานะหมอลู่!
คงเป็นเพราะเรื่องเหยียนอวี่นั่ว ตอนตรวจดูอาการของเหยียนอวี่ชิงลู่มู่สวินถึงได้ตั้งใจเป็นพิเศษ ซูหว่านรอให้เขาตรวจเสร็จแล้วจึงให้คนตามฝูลู่ไปรับยาที่สำนักหมอหลวง ส่วนเธอก็เดินไปส่งลู่มู่สวินออกจากจิ่นฟางไจด้วยตัวเอง
“ไม่ต้องส่งหรอก”
ลู่มู่สวินหยุดอยู่ที่หน้าประตูจิ่นฟางไจ หันกลับมายิ้มให้ซูหว่าน “เจ้ากลับเข้าไปดูแลเหม่ยเหรินของเจ้าเถิด ข้าต้องไปตรวจพระสนมเหลียงเฟยที่ตำหนักซิ่วหนิงต่อ”
“โอ้ เช่นนั้นก็เชิญท่านหมอลู่เถิด”
เมื่อได้ยินลู่มู่สวินพูดแบบนั้นซูหว่านก็ไม่แปลกใจเลยสักนิด เหลียงเฟยก็เหมือนระเบิดเวลาในวังหลังแห่งนี้ นางอาจก่อเรื่องขึ้นมาได้ทุกเมื่อและทำให้แผนของซูหว่านต้องยุ่งเหยิงไปด้วย ฉะนั้นทางที่ดีที่สุดก็คือทำให้นางป่วย ให้นางนอนซมบนเตียงไปเรื่อยๆ จนไม่มีเวลาไปคิดแผนอะไรทั้งสิ้น
วิชาแพทย์ของหมอลู่ว่าแน่แล้ว แต่ไม่รู้ว่าถ้าเทียบกับซืออวี้แล้วจะแน่ขนาดไหนกัน
ตอนอยู่ในโลกยุคราชวงศ์ต้าเซี่ย ซูหว่านเคยเรียนรู้การใช้พิษต่างๆ จากซืออวี้ ฝีมือของเธอถือว่าเยี่ยมยอด แน่นอนว่าไอเทมพิเศษนี่จะใช้ได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในสถานที่และยุคสมัยที่ใกล้เคียงกันอย่างเช่นที่นี่ เพราะยิ่งเป็ยพิษที่ร้ายแรงเท่าไรก็ยิ่งวัตถุดิบจำนวนมาก ซูหว่านให้วังอี้ไปหาวัตถุดิบในวังหลวงนี้ตั้งหลายวันกว่าจะปรุงยาพิษไร้สีไร้กลิ่นชนิดที่ค่อยๆ ออกฤทธิ์ได้สำเร็จ ซึ่งยาพิษนี้ก็ถูกปรุงมาเพื่อเหลียงเฟยโดยเฉพาะ
ซูหว่านไม่สามารถประมาททุกคนในโลกนี้ เพราะแม้แต่กระต่ายก็ยังกัดคนได้เมื่อมันจนตรอกเลย แล้วถ้าเป็นคนจะไม่ยิ่งอันตรายกว่าเหรอ
ถึงซูหว่านจะยังไม่เคยเผชิญกับเหตุการณ์แบบนั้นมาก่อนก็ตาม แต่เธอก็ทำอะไรด้วยความระมัดระวังอยู่ตลอด และจะไม่ยอมให้ตัวเองต้องตกอยู่ในอันตรายใดๆ ทั้งนั้น…
ต้องพูดว่าหลายมาวันนี้ วังหลังไม่สงบเท่าไรจริงๆ ตั้งแต่การตายอย่างน่าอนาจของอวี้กุ้ยเหรินและซูเฟยที่ถูกฆ่า เหล่าสตรีในวังหลังก็หวาดกลัวกันไปหมด ส่วนฝ่าบาทก็ไม่ได้รับสั่งให้ใครไปปรนนิบัติ ทุกคนต่างสังเกตการณ์กันอยู่เงียบๆ ไม่มีใครกล้าออกตัวสักคน หลังจากไทเฮาถูกกักบริเวณอยู่ในตำหนักฉือหนิง บรรยากาสในวังหลังก็ดูตึงเครียดขึ้นเป็นอย่างมาก
แม้กระทั่งเหยียนอวี่ชิงถูกแต่งตั้งเป็นเหม่ยเหรินเอง จากใจที่เคยสงบเสงี่ยมก็เริ่มไหวคลอนขึ้นมา
หลังจากเหยียนอวี่ชิงได้รับการอวยยศให้เป็นเหม่ยเหริน ก็มีการแต่งตั้งเหม่ยเหรินและกุ้ยเหรินขึ้นอีกมากมาย ซึ่งหญิงสาวเหล่านี้มีทั้งนางข้าหลวงทั่วๆ ไป หรือแม้กระทั่งนางกำนัลที่ฝ่าบาทโปรดปราน พวกนางเหล่านี้ต่างก็เยาว์วัยและไร้เดียงสานัก
หรือว่าความชอบของฝ่าบาทจะเปลี่ยนไปแล้ว?
ฝ่าบาทเบื่ออาหารหรูหรา จึงเปลี่ยนมาเสวยโจ๊กขาวกับเครื่องเคียงที่แสนจะเรียบง่ายอย่างนั้นหรือ
ท่ามกลางการคาดเดาต่างๆ ของคนในวัง เหยียนอวี่นั่วกับสวีปิงเย่ว์ใช้เวลาช่วงเปลี่ยนเวรของกองพระภูษามาเยี่ยมเหยียนอวี่ชิงที่จิ่นฟางไจ
ตอนนี้สิวบนหน้าของเหยียนอวี่ชิงยุบลงไปมากแล้ว แต่สีหน้าของนางยังดูแย่มากอยู่ดี
พอเห็นว่าเหยียนอวี่นั่วกับสวีปิงเย่ว์มา เหยียนอวี่ชิงก็ให้ซูหว่านเตรียมการต้อนรับทั้งสองคนอย่างแข็งขันและยังให้พวกนางอยู่ทานอาหารกับตนเองด้วยกันอีกด้วย
นี่เป็นครั้งแรกที่สี่สาวพี่น้องร่วมสาบานได้นั่งทานอาหารด้วยกัน หลังจากการเข้ารับตำแหน่งเหม่ยเหรินของเหยียนอวี่ชิง
ทานไปได้ไม่เท่าไร สวีปิงเย่ว์ก็แอบโน้มตัวเข้าไปหาซูหว่าน แล้วควักจดหมายฉบับหนึ่งออกมา
“พี่เสี่ยวหว่าน ท่านดูสิว่านี่อะไร”
“นี่คือ…”
พอได้เห็นจดหมายในมือของสวีปิงเย่ว์ แววตาของซูหว่านก็สว่างวาบขึ้น
“นี่มันจดหมายจากเสิ่น…”
“ชู่ว์”
สวีปิงเย่ว์ทำมือเป็นสัญญาณว่าอย่าส่งเสียง นำจดหมายยัดใส่มือของซูหว่านพร้อมยิ้มตาหยี
“พวกเจ้าสองคนกระซิบกระซาบอันใดกัน ซูหว่าน เจ้าถืออะไรอยู่งั้นหรือ”
เหยียนอวี่ชิงซึ่งนั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะสังเกตเห็นท่าที ‘ผิดปกติ’ ของสวีปิงเย่ว์ได้ตั้งนานแล้ว เมื่อเห็นนางทำตัวลับๆ ลอๆ เช่นนั้น เหยียนอวี่ชิงจึงอดสงสัยไม่ได้ จึงเปิดปากถามออกมาอย่างปราศจากความลังเล
เมื่อได้ยินคำถามของนาง รอยยิ้มสะใจปรากฏขึ้นแวบหนึ่งบนหน้าของสวีปิงเย่ว์ ในขณะที่ซูหว่านลังเลที่จะหยิบจดหมายของเสิ่นเฉิงเป่ยออกมา “นี่เป็นจดหมายของบ่าว เป็น…เป็นจดหมายที่คู่หมั้นของบ่าวส่งมาเจ้าค่ะ”
“หือ?”
เหยียนอวี่ชิงและเหยียนอวี่นั่วมองไปที่ซูหว่านด้วยสีหน้าประหลาดใจ เห็นได้ชัดว่าพวกนางตกใจกับเรื่องนี้มาก
“ซูหว่าน เจ้าลำบากปิดบังพวกข้าอยู่เสียนาน ในเมื่อตอนนี้พวกข้าก็รู้หมดแล้ว เจ้ายังไม่รีบเล่ามาอีก”
เดิมทีเหยียนอวี่ชิงนึกว่าสวีปิงเย่ว์จะดึงซูหว่านเข้าเป็นพวกเสียอีก แต่ตอนนี้ดูท่าจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น
เรื่องคู่หมั้นของซูหว่านที่ถูกพูดถึงขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำให้เหยียนอวี่นั่วดูสนอกสนใจเป็นอย่างมาก ท่ามกลางสายตาหลายคู่ทีจับจ้องอยู่ ซูหว่านจำใจต้องเล่าเรื่องของตัวเองกับเสิ่นเฉิงเป่ยออกมาอย่างละเอียด
เมื่อได้ฟังเรื่องราวอันซับซ้อนเช่นนี้แล้ว เหยียนอวี่ชิงก็อดพูดไม่ได้ว่า “ซูหว่านเจ้าช่างโชคดีจริงๆ องครักษ์เสิ่นเองก็เป็นบุรุษที่แสนดีและรักเจ้ามาก”
“จริงด้วย”
เมื่อได้ยินเหยียนอวี่ชิงพูดเช่นนั้น สวีปิงเย่ว์ที่นั่งอยู่ข้างกันก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจพลางพูดต่อ “ครั้งนี้ที่บ่าวแอบไปที่ค่ายองครักษ์ก็โชคดีที่ได้พี่เสิ่นช่วยไว้ ไม่เช่นนั้นหากถูกจับได้คงตายไปแล้ว พี่เสิ่นเป็นบุรุษที่มากความสามารถ เหมาะสมกับพี่เสี่ยวหว่านอย่างยิ่ง หากข้าได้เจอคนดีๆ ที่ถูกใจเช่นนี้บ้าง ถึงจะเอาตำแหน่งสนมเอกมาแลกข้าก็ไม่เอา”
“ยัยเด็กคนนี้นี่”
เมื่อได้ฟังสวีปิงเย่ว์พูดแบบนั้น ซูหว่านก็ถึงกับทำหน้าไม่ถูก ได้แต่พูดเสียงแผ่วเบาว่า “พี่เสิ่นดีขนาดที่เจ้าชมที่ไหนกันเล่า”
“จะไม่ดีได้อย่างไรกัน”
พอได้ยินซูหว่านพูดเช่นนั้น แววตาของสวีปิงเย่ว์ก็เป็นประกายขึ้นมาพร้อมแสร้งทำเป็นพูดเล่นว่า “หากพี่เสี่ยวหว่านไม่ต้องการแล้ว เช่นนั้นข้าขอนะ บุรุษดีพร้อมเช่นนี้หากันได้ง่ายๆ เสียเมื่อไรกัน”
“ยัยเด็กคนนี้นี่ พูดอะไรของเจ้าน่ะ”
พอได้ยินคำพูดนี้ของสวีปิงเย่ว์ ซูหว่านก็ยิ่งทำหน้าไม่ถูกกว่าเดิม สองมือกำจดหมายตอบกลับของเสิ่นเฉิงเป่ยไว้แน่น
เหยียนอวี่นั่วไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนักเพราะเห็นว่านี่เป็นแค่เรื่องหยอกกันเล่น ในขณะที่เหยียนอวี่ชิงคอยสังเกตสีหน้าอารมณ์ของซูหว่านกับสวีปิงเย่ว์อย่างครุ่นคิด
เสิ่นเฉิงเป่ย ชายผู้นั้นมีดีเช่นนั้นเชียวหรือ