ส่วนที่ 8 ภาคตำนานแม่พระแห่งวังหลัง ตอนที่ 20 ตำนานแม่พระวังหลัง

ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก

ฝ่าบาทไม่ได้เสด็จมาที่จิ่นฟางไจมาหลายวันแล้ว เหยียนอวี่ชิงอุตส่าห์รักษาหน้าจนกลับมาหายดี คอยบำรุงร่างกายอยู่ทุกวัน แม้กระทั่งให้หมอหลวงลู่สั่งยาต่างๆ มากมายมาให้ ตอนนี้นางก็ค่อยๆ ชินกับอาหารรสเผ็ดจนไม่อาจทำให้สิวขึ้นมาอีก แต่ในเวลานี้กลับมีข่าวว่าเฉินเหม่ยเหรินถูกแทงตายแพร่ไปทั่ววังหลัง เหมือนกับเหตุการณ์ที่ตำหนักจิ้งอวิ๋นครั้งนั้นไม่มีผิด หลังจากการตายของเฉินเหม่ยเหริน ฝ่าบาทก็สังหารคนไปอีกหลายคน เรียกได้ว่าทุกคนที่เคยได้รับ ‘ความโปรดปราน’ ล้วนถูกปลิดชีพทิ้งอย่างโหดเหี้ยม

 

 

เหยียนอวี่ชิงถือว่าโชคดีที่สุดแล้ว พอได้ยินเรื่องนี้จากปากของขันที ร่างกายของเหยียนอวี่ชิงก็อ่อนแรงไปทั้งตัว

 

 

“นายหญิง ระวังเจ้าค่ะ”

 

 

ซูหว่านที่ยืนอยู่ข้างๆ รีบเข้าไปพยุงเหยียนอวี่ชิงเอาไว้ได้ทัน

 

 

“ซูหว่าน”

 

 

ใบหน้าของเหยียนอวี่ชิงซีดเผือด ริมฝีปากสั่นระริก “ซูหว่าน ข้าควรทำเช่นไรดี”

 

 

มาถึงตอนนี้เหยียนอวี่ชิงจึงรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาแล้ว หวาดกลัวความโหดร้ายทารุณของตงฟางเย่า ต้องนอนอยู่ข้าง​ทรราชเช่นนี้ ใครเล่าจะไปหลับลงได้

 

 

 

 

การแก่งแย่งชิงดีกันของวังหลังครั้งนี้เกิดเป็นประเด็นใหญ่ในท้องพระโรง ทว่าซูรุ่ยก็ทำเป็นไม่เห็นฎีการ้องเรียนจากเหล่าขุนนางพวกนั้นมาโดยตลอดอยู่แล้ว

 

 

อ๋องรุ่ย ตงฟางหลี่ ที่เพิ่งกลับมาได้ไม่นานย่อมรู้เรื่องนี้เช่นกัน ตงฟางหลี่เป็นญาติผู้พี่จากตระกูลฝั่งพ่อของตงฟางเย่า พี่น้องคู่นี้รักใคร่กลมเกลียวกันมากและตงฟางหลี่เป็นอ๋องเพียงองค์เดียวที่ได้รับอนุญาต​ให้อาศัยอยู่ในเมืองหลวงได้

 

 

ครั้งนี้ตงฟางหลี่ถูกพวกขุนนางอาวุโสกดดันให้เข้าวังมาถวายฎีการ้องเรียน เขาเป็นคนที่ชอบธรรมเพียงพื้นผิว ใจจริงเขาหวังให้ตงฟางเย่าโหดร้ายทารุณยิ่งกว่านี้ รอวันที่ตงฟางเย่าเสียสติจนสูญสิ้นความเป็นคนไป ตัวเองจะได้ฉวยโอกาสนี้ขึ้นครองบัลลังก์แทน

 

 

แน่นอนว่าในฐานะของอ๋องเจ้าแผนการอย่างตงฟางหลี่ย่อมเก็บสีหน้าอาการได้ดีเสมอมา เขาไม่เคยแสดงอาการหลงใหลในอำนาจต่อหน้าตงฟางเย่า หลายปีมานี้เขาสวมบทบาทอ๋องเจ้าสำราญได้อย่างแนบเนียน ฉะนั้นการเข้าวังในครั้งนี้ตงฟางหลี่จึงไม่พูดถึงเรื่องที่ขุนนางอาวุโสพวกนั้นฝากฝังมา เขาแค่ดื่มสุรากับซูรุ่ยและพูดคุยไปเรื่อยเปื่อย

 

 

เรื่องสตรีในวังหลังพวกนั้น ตงฟางหลี่สืบมาหมดแล้ว ถึงเขาจะไม่เคยเห็นเหม่ยเหรินที่ถูกแต่งตั้งขึ้นมาใหม่ แต่ก็รู้ว่าพวกนางได้ถูกตงฟางเย่าสังหารไปเกือบหมด ตอนนี้ก็เหลือรอดแค่เหยียนเหม่ยเหรินแห่งจิ่นฟางไจ ไม่รู้ว่าเหยียนเหม่ยเหรินผู้นั้นจะงดงามเพียงใดกัน

 

 

ตงฟางหลี่รู้สึกสนอกสนใจนายหญิงของจิ่นฟางไจผู้นี้เป็นพิเศษ ถึงขั้นที่อยากจะทำความรู้จักสักหน่อย หลังจากร่ำสุรากับฝ่าบาทเสร็จและกำลังจะออกจากวัง ก็ได้บังเอิญไปเจอกับเหยียนอวี่ชิงที่เพิ่งไหว้พระเสร็จที่หน้าประตูวัดหลวง

 

 

หลังจากที่เหยียนอวี่ชิงได้ทราบข่าวการตายของเฉินเหม่ยเหรินและคนอื่นๆ นางก็ยากจะทำใจให้สงบลง อย่างไรเสียนางก็ยังเยาว์วัยนัก ดันหลงคิดว่าพอได้รับการโปรดปรานตัวเองก็จะเป็นใหญ่เหนือใคร แต่เมื่อเห็นความโหดร้ายทารุณของฝ่าบาทเช่นนี้แล้ว จะไม่ให้นางหวาดกลัวได้อย่างไร

 

 

เหยียนอวี่ชิงที่ตกตะลึงพรึงเพริดไปหมดทำได้เพียงขอให้ซูหว่านช่วยเหลือ คนที่นางเห็นว่าพอจะช่วยคิดแผนได้ก็มีแต่ซูหว่านผู้เดียว

 

 

ซูหว่านก็ได้แต่คอยปลอบเหยียนอวี่ชิง เมื่อเห็นว่านางไม่สบายใจอยู่แบบนี้ จึงแนะนำให้นางไปสวดมนต์ไหว้พระที่วัดหลวงเพื่อให้จิตใจสงบลง

 

 

เหยียนอวี่ชิงก็ได้ทำตามคำแนะนำของซูหว่าน

 

 

ส่วนผลลัพธ์นั้น…

 

 

ซูหว่านไม่รู้หรอกว่าจิตใจของเหยียนอวี่ชิงจะสงบลงมากน้อยแค่ไหน แต่ก็ทำให้เหยียนอวี่ชิงกับตงฟางหลี่มาเจอกันที่หน้าวัดหลวงตามแผนที่วางไว้กับซูรุ่ยได้สำเร็จ

 

 

สภาพของเหยียนอวี่ชิงในตอนนี้ราวกับคนป่วย ใบหน้าซีดเผือดไปหมด

 

 

ตงฟางหลี่ได้รู้จากขันทีที่คอยเดินตามข้างหลังของเขาว่าสตรีผู้นี้คือ ‘เหยียนเหม่ยเหริน’ เขารีบเดินเข้าไปทักทายด้วยสีหน้าอ่อนโยนพร้อมกับถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ​

 

 

เหยียนอวี่ชิงเป็นสาวชาวบ้านที่เพิ่งเข้าวังมาได้ไม่นาน แต่ก่อนนางเคยได้ยินชื่อเสียงของอ๋องรุ่ยมาบ้าง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะเป็นบุรุษที่รูปงามและอ่อนโยนเช่นนี้

 

 

เมื่อเทียบกับฝ่าบาทที่โหดร้ายทารุณแล้ว ตงฟางหลี่ทำให้เหยียนอวี่ชิงประทับใจมากกว่าเป็นไหนๆ

 

 

เมื่อได้เห็นความอาวรณ์นึกเสียดายที่เจอกันช้าไปในแววตาของทั้งคู่ ซูหว่านซึ่งยืนอยู่ด้านหลังของเหยียนอวี่ชิงก็หลุบตาลง

 

 

หากให้พูดว่าที่ไหนเลยในโลกนี้ที่จะมีคนนอกใจกันได้มากสุด? ก็ย่อมเป็นเป็นวังหลังนี่แหละ

 

 

ยิ่งตำแหน่งสูงส่งเพียงใด ก็ยิ่งไร้ไร้ซึ่งบุรุษข้างกาย เหล่าสนมชายาพวกนี้ก็จะยิ่งออกนอกลู่นอกทางกันให้สนุก

 

 

ถ้าเป็นอย่างนั้น คนที่ถูกเมียนอกใจมากที่สุดในโลกก็เห็นจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากฮ่องเต้

 

 

วันนี้กับหมอหลวง พรุ่งนี้กับองครักษ์ และใครจะว่าไปรู้ว่าบางทีฮองเฮากับญาติผู้พี่ก็อาจกำลังคิดแผนกบฏอยู่ก็ได้

 

 

สรุปก็คือตำแหน่งฮ่องเต้นี้ ใครไม่ได้เป็นก็ไม่มีวันเข้าใจหรอก

 

 

 

 

หลังจากเหยียนอวี่ชิงกับตงฟางหลี่ได้รู้จักกันแล้ว ตงฟางหลี่ก็ให้คนนำสิ่งของไปมอบให้เหยียนอวี่ชิงเป็นประจำและทุกครั้งที่เขาเข้าวังก็มักจะอ้อมไปทางจิ่นฟางไจเสมอ

 

 

แน่นอนว่าเรื่องนี้ดำเนินไปอย่างลับๆ ดังนั้นผู้ใดจะจับได้กัน

 

 

เอาเถอะ ความจริงแล้วเป็นซูลุ่ยจงใจเปิดทางให้ตงฟางหลี่ เอาหูไปนา เอาตาไปไล่กับทุกการกระทำของตงฟางหลี่

 

 

ฮ่องเต้ที่พยายามช่วยให้เมียตัวเองได้รักกับพี่ชายของตน คงมีแค่เขาคนนี้คนเดียว เป็นฮ่องเต้รุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นเลยก็ว่าได้

 

 

ด้วยเจตนาของซูรุ่ยที่จงใจเปิดโอกาสให้​เรื่องราวของเหยียนอวี่ชิงกับตงฟางหลี่จึงดำเนินไปตามเส้นเรื่องได้อย่างรวดเร็ว

 

 

ในขณะเดียวกันนั้น เหยียนอวี่นั่วกับลู่มู่สวินซึ่งมาผูกพันกันได้ด้วย ‘เงินห้าร้อยตำลึง’ ก็พัฒนาความสัมพันธ์​ได้อย่างราบรื่น แม้ว่าลู่มู่สวินจะเป็นคนที่โอนอ่อนผ่อนตาม แต่สำหรับเรื่องความรักแล้วเขาจริงจังมาก เมื่อทำความรู้จักกับเหยียนอวี่นั่วไปสักพักและรู้ใจตัวเองแล้ว เขาก็เริ่มส่งสัญญาณเป็นนัยให้นางรู้ แต่เขาก็กังวลว่าความรู้สึกของตนเองจะทำให้เหยียนอวี่นั่วกลัวและไม่อจยอมรับตนเองได้

 

 

โชคดีที่แม้เหยียนอวี่นั่วจะรับรู้อะไรได้ช้า แต่สุดท้ายก็ได้รู้ความในใจของลู่มู่สวิน และค่อยๆ ยอมรับในตัวเขา…

 

 

ตั้งแต่ที่เหยียนอวี่นั่วตกลงปลงใจกับลู่มู่สวินไปแล้ว สวีปิงเย่ว์ก็เริ่มกระวนกระวายมากกว่าเดิม ช่วงหลายวันมานี้นางคอยรับส่งจดหมายให้ซูหว่านกับเสิ่นเฉิงเป่ย แม้หลายครั้งที่ซูหว่านบอกว่าจะไปส่งเอง แต่สวีปิงเย่ว์ก็เอาแน่หว่านล้อมไม่ให้ซูหว่านทำแบบนั้น

 

 

เมื่อเห็นว่าความสัมพันธ์ของซูหว่านกับเสิ่นเฉิงเป่ยแนบแน่นขึ้นทุกวัน สวีปิงเย่ว์ก็ยิ่งกระวนกระวายยิ่งกว่าเดิม

 

 

และในเวลานี้เองได้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นที่จิ่นฟางไจ

 

 

อ๋องรุ่ยลอบร่วมประเวณีกับสตรีในจิ่นฟางไจ

 

 

และสตรีที่ถูกจับได้คาหนังคาเขาผู้นั้นก็คือซูหว่าน

 

 

กว่าเหยียนอวี่นั่วจะรู้เรื่องนี้ ซูหว่านก็ถูกจับไปขังไว้ที่ศาลจงเหรินแล้ว ส่วนอ๋องลุ่ยก็ถูกสั่งกักบริเวณไว้

 

 

ซูหว่านมีเสิ่นเฉิงเป่ยอยู่แล้วทั้งคน เหตุใดนางจึงไปข้องเกี่ยวกับอ๋องรุ่ยได้

 

 

เหยียนอวี่นั่วไปที่จิ่นฟางไจเพื่อทวงถามถึงหลักฐาน แต่ประตูจิ่นฟางไจถูกปิดแน่นสนิท ไม่ว่าเหยียนอวี่นั่วจะเคาะจะตะโกนเรียกอย่างไร ก็ไม่มีใครยอมเปิดประตูให้

 

 

เหยียนอวี่นั่วที่ตอนนี้ขวัญหนีดีฝ่อ ทำได้เพียงวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากลู่มู่สวินที่สำนักหมอหลวงกลางดึก

 

 

แน่นอนว่าลู่มู่สวินต้องรับปากช่วยเหยียนอวี่นั่วอยู่แล้ว วันต่อมาจิ่นฟางไจเรียกตัวลู่มู่สวินให้ไปตรวจอาการของเหยียนอวี่ชิง เหยียนอวี่นั่วจึงใช้โอกาสนี้ปลอมตัวเป็นบ่าวรับใช้ตามเข้าไปด้วย

 

 

ไม่เจอกันแค่ไม่กี่วัน แต่เหยียนอวี่ชิงกลับดูโทรมลงไปมาก แท้จริงแล้ววันนั้นนางกำลังเล่นชู้กับตงฟางหลี่และได้กำชับซูหว่านว่าห้ามให้ใครหน้าไหนเข้ามาทั้งนั้น แต่พอถึงตอนที่ทั้งคู่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มกันอยู่ ซูหว่านก็ทำหน้าตาตื่นตระหนกพรวดพราดเข้ามา

 

 

“นายหญิง ฝ่าบาทเสด็จมาเจ้าค่ะ!”

 

 

ตอนที่ซูหว่านเข้ามาเห็นภาพนั้นก็อ้ำอึ้งไปทันที แต่ยังดีที่เธอรีบรายงานเรื่องฝ่าบาทออกไปก่อน

 

 

ณ เวลานั้น ทั้งเหยียนอวี่ชิง หรือแม้กระทั่งตงฟางหลี่ผู้สุขุมรอบคอบเอง ต่างก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก

 

 

ช่วงนี้เขาแวะมาที่หอจิ่นฟางได้อย่างสะดวกง่ายดายกว่าแต่ก่อน ทำให้เขาไม่ได้ระวังตัวอะไรมาก แต่ใครจะไปรู้ว่าตงฟางเย่าจะจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัว เล่นจับชู้กันคาเตียงแบบนี้

 

 

ในช่วงนาทีเป็นนาทีตายนี้เองก็ได้ซูหว่านออกโรงแทน เธอนำเสื้อผ้าของเหยียนอวี่ชิงขึ้นมากอดไว้

 

 

“นายหญิง ท่านรีบหนีออกไปทางหน้าต่างด้านข้างนั้นเถิด”

 

 

แม้ตงฟางหลี่จะงงงวยไปชั่วขณะ แต่สุดท้ายก็เข้าใจขึ้นมาทันที

 

 

ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ตงฟางหลี่ก็ได้สติ ลอบเป็นชู้กับเหล่าสนมชายาของฝ่าบาทมีโทษตายสถานเดียว แต่หากลอบเข้ามาหานางกำนัลตอนสนมชายาไม่อยู่นั้นมีโทษเบากว่ากันเป็นไหนๆ

 

 

เขาจึงรีบผลักเหยียนอวี่ชิงออกไปทางหน้าต่างและหันกลับมาคว้าซูหว่านเข้าไปไว้ในอ้อมกอดแทน

 

 

เมื่อจะแสดงก็ต้องแสดงให้แนบเนียน ตอนที่ซูลุ่ยเข้ามาพร้อมกับวังอี้ก็เห็นตงฟางหลี่พยายามจะจูบซูหว่านที่อยู่ในอ้อมกอด แน่นอนว่าซูหว่านพยายามขัดขืนเต็มกำลัง

 

 

สรุปก็คือ ตอนนั้นสีหน้าของฝ่าบาทบูดบึ้งยิ่งกว่าอะไร ซูรุ่ยพุ่งตัวเข้าไปราวกับจรวด จากนั้นอ๋องรุ่ยก็…ก็ถูกฝ่าบาทเตะเข้าจุดสำคัญไปอย่างจัง ตงฟางหลี่ที่เดิมทีก็เหลือเสื้อผ้าอยู่บนตัวไม่กี่ชิ้น พอโดนลูกเตะนี้เข้าไปก็ร่วงลงไปกองกับพื้น ส่งเสียงร้องครวญครางออกมา…

 

 

เมื่อเห็นซูรุ่ยโกรธจัดและกำลังจะเดินออกไป ซูหว่านจึงรีบคุกเข่าลงส่งเสียงดังร้องออกมาว่า “ฝ่าบาททรงไว้ชีวิตด้วย ได้โปรดไว้ชีวิตหม่อมฉันด้วยเพคะ”

 

 

เสียงของซูหว่านดึงสติของซูรุ่ยให้กลับมาได้สำเร็จ เขารีบทำหน้าเคร่งขรึมพร้อมกล่าวออกมาอย่างเหยียบเย็นว่า “ทหาร รีบมาคุมตัวสองคนนี้ไปเสีย”

 

 

เมื่อเหยียนอวี่ชิงที่สีหน้าซีดเผือดแต่งตัวเรียบร้อยแล้วแสร้งทำเป็นเพิ่งกลับมาถึง ก็ได้เห็นซูรุ่ยกำลังคุมตัวซูหว่านกับตงฟางหลี่ที่ยังคงร้องโอดครวญ​ไปพอดี

 

 

ซูรุ่ยทำราวกับว่าเหยียนอวี่ชิงไร้ซึ่งตัวตนและเดินผ่านไปอย่างไม่แยแส เมื่อซูรุ่ยนำตัวทั้งคู่ออกไปแล้ว เหยียนอวี่ชิงก็กลัวจนร่างกายอ่อนแรงไปหมดและล้มลงไปทั้งยืนแบบนั้น…