ตอนที่ 14 เป่ยเฉินเสียเยี่ยนสืบพบความจริง

เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า]

ไม่ว่าเป็นใครในพวกเขาก็ไม่มีทางบีบบังคับใครก็ตามให้แต่งงานกับศัตรูได้ หากไม่รู้ก็ช่างเถอะ แต่เมื่อทั้งสองฝ่ายต่างรับรู้ ถ้าเป็นเช่นนี้ก็อย่าทำให้โหดร้ายเกินไปนักเลย

 

 

พวกเขาเป็นคนที่มีความต้องการกอบกู้บ้านเมือง แน่นอนว่าต้องมีคุณธรรม รู้จักมโนธรรม ดังนั้นต่อให้เยี่ยเม่ยไม่อาจรับได้ พวกเขาก็เข้าใจเหมือนกัน

 

 

เยี่ยเม่ยฟังแล้วก็พยักหน้า ตอบว่า “ขอบคุณ!”

 

 

ความจริงหากเปลี่ยนผู้ที่เร่งสร้างผลงานให้สำเร็จที่อยู่ในตำแหน่งของไป๋หลี่ซือซิวในยามนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะหยิบยกเรื่องราวน่าอนาถของราชสำนักจงเจิ้งในปีนั้นออกมาเล่าให้นางฟังอย่างละเอียดทีละเรื่องๆ โน้มน้าวว่าการแต่งงานกับเป่ยเฉินอี้เป็นเรื่องสำคัญขนาดไหน

 

 

บอกกับตัวเองว่าอย่าให้ความแค้นส่วนตัวทอดทิ้งผลประโยชน์ชิ้นโตที่วางอยู่ตรงหน้า แค่ยื่นมือออกไปคว้าก็ได้ของตรงหน้ามาแล้ว ทำให้คนทั้งหลายที่ติดตามนางต้องทุ่มเทความพยายามและเวลาเพื่อทำเรื่องให้สำเร็จ

 

 

อีกทั้งยังไม่รู้ว่าสุดท้ายจะสำเร็จจริงๆ หรือไม่

 

 

ใช้สิ่งเหล่านี้มาเพื่อปลุกความรับผิดชอบในตัวนาง บีบคั้นให้นางแต่งกับเป่ยเฉินอี้ ทว่าไป๋หลี่ซือซิวหาได้ทำเช่นนั้น ไม่เพียงไม่ทำเช่นนั้น ซ้ำยังบอกนางว่าต่อให้นางไม่เลือกเป่ยเฉินอี้ เขาก็เข้าใจนาง

 

 

คนทั้งหมดไม่มีทางโทษนาง ความเอาใจใส่แบบนี้ช่างหาได้ยากนัก

 

 

“องค์หญิง ไตร่ตรองให้ดีเถอะ”

 

 

ไป๋หลี่ซือซิวเอ่ยจบ ก็ย่างเท้าจากไป

 

 

ถึงตอนนี้ซือหม่าหรุ่ยไม่รู้ว่าตัวเองสมควรพูดอะไรอีก เห็นท่าทางของไป๋หลี่ซือซิว นางก็แทบเข้าใจแล้ว หากเยี่ยเม่ยเลือกแต่งงานกับเป่ยเฉินอี้ได้จริงๆ สำหรับพวกเขาเพื่อการกอบกู้บ้านเมืองล้วนเป็นเรื่องดี

 

 

ทั้งเป็นการลดเรื่อง ลดความกังวลใจ ลดปัญหา กระทั่งลดจำนวนชีวิตที่เสียไปได้มากอีกด้วย

 

 

มิเช่นนั้นไป๋หลี่ซือซิวต้องไม่มีทางยืนหยัดความคิดหลังจากที่ถูกนางคัดค้านไปหลายครั้งแน่ ดังนั้นเมื่อมาถึงขั้นนี้ ซือหม่าหรุ่ยพลันไม่กล้าเอ่ยคัดค้านอีกแล้ว อย่างไรเสียการตัดสินใจนี้ก็เกี่ยวพันถึงชีวิตคนจำนวนมาก

 

 

ไม่อาจเสนอการวิเคราะห์ที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกของนางให้กับเยี่ยเม่ยอีก

 

 

ซือหม่าหรุ่ยเอ่ยเสียงเบา “ข้าออกไปก่อน เจ้าคิดให้ดี เยี่ยเม่ยอย่าทรมานตัวเองนักเลย ไป๋หลี่ซือซิวก็บอกแล้ว ต่อให้เจ้าไม่เลือกเป่ยเฉินอี้ พวกเขาก็ไม่โทษเจ้า!”

 

 

“ก็ถูก!” เยี่ยเม่ยตอบรับ สายตามองไปที่ก้อนเมฆบนฟ้ากว้าง เอ่ยเบาๆ “ก็เพราะเขาบอกว่าจะไม่โทษข้าหากข้าไม่เลือกเป่ยเฉินอี้ ข้าถึงยิ่งไม่อยากเห็นแก่ตัว”

 

 

รู้ทั้งรู้ว่าการเลือกเช่นนี้เป็นผลดีที่สุด

 

 

จากความหมายของไป๋หลี่ซือซิว ทุกคนล้วนยืนอยู่ข้างนาง ตั้งใจทุ่มเทสติปัญญาเพื่อนาง คิดถึงความรู้สึกและจุดยืนของนาง

 

 

แต่ว่าในยามนี้…

 

 

นางกลับเห็นแก่ความต้องการส่วนตัว เพราะความยินดียินร้ายส่วนตัว เพราะนางไม่ยอมเสียสละตัวเอง ทำให้ทุกคนต้องเดินบนหนทางที่ลำบากกว่า อย่างนั้น…นางจะผิดต่อคนที่คิดเพื่อนางเหล่านี้ได้หรือ

 

 

การคบหาระหว่างคนเราต้องช่วยเหลือกัน

 

 

ช่วยกันคิดเพื่ออีกฝ่ายถึงจะคบกันได้ยืนยาว ความสัมพันธ์ถึงยั่งยืน หากมีฝ่ายเดียวที่เอาแต่อดทนคิดถึง ต่อให้ความรู้สึกล้ำลึกแค่ไหน ก็ไม่อาจยืนยาวได้

 

 

ซือหม่าหรุ่ยไม่รู้ควรเอ่ยอะไรในเวลานี้

 

 

เพียงแค่บอกเสียงอ่อนว่า “คำพูดของไป๋หลี่ซือซิวไม่ได้ต้องการให้เจ้าคิดถึงทุกคน จากนั้นยอมเสียสละตัวเอง เจ้าต้องเข้าใจจุดนี้ด้วย!”

 

 

ความหมายที่แท้จริงของคำพูดนั้นซือหม่าหรุ่ยล้วนมองออก

 

 

เยี่ยเม่ยพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว!”

 

 

ซือหม่าหรุ่ยไม่พูดเสริมต่อ ล่าถอยออกไป นางไม่อยากรบกวนเยี่ยเม่ย หวังว่าหลังจากนางออกไปแล้ว เยี่ยเม่ยจะค่อยๆ คิดให้ดี

 

 

ภายในห้องเงียบสงบไร้สุ้มเสียง เหลือเพียงเยี่ยเม่ยคนเดียว

 

 

แต่ไรมานางไม่เคยคิดเลยว่า ตัวเองที่เป็นต้นฉบับของผู้หญิงราศีมังกร ที่ไม่ประสีประสาเรื่องความรัก เห็นเรื่องงานภาระหน้าที่มาเป็นอันดับแรก

 

 

มาถึงวันนี้นางกลับยอมใช้การแต่งงานเพื่อหาผลประโยชน์ กลายเป็นคนประเภทที่เมื่อก่อนนางดูแคลนเป็นที่สุด การที่นางหารือเรื่องทุกอย่างที่เกี่ยวกับเป่ยเฉินอี้ร่วมกับไป๋หลี่ซือซิวในวันนี้

 

 

ทำให้นางรู้ว่าตัวเองเปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

 

 

นางก็ไม่เข้าใจเช่นกัน ตัวนางที่หัวใจเปี่ยมไปด้วยความคิดแก้แค้น ทำไมเปลี่ยนมาอยู่ในสภาพเช่นนี้ ในเมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นนี้ นางก็ไม่อยากไล่หาคำตอบอีกแล้ว

 

 

แต่ว่าถนนเบื้องหน้าคล้ายอยู่บนทางแยก

 

 

นางไม่รู้จริงๆ ว่าตัวเองควรเดินไปทางไหน

 

 

นางอยากเดินทางลัด ทว่าก็กังวลว่าการเลือกทางนี้กลับทำให้นางยิ่งไกลจากตัวเองในอดีต ยิ่งออกห่างจากตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง

 

 

ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง

 

 

นอกหน้าต่างมีการเคลื่อนไหว เยี่ยเม่ยไม่หันไปมอง เป่ยเฉินเสียเยี่ยนบอกแล้วว่าคืนนี้เขาจะมาหานาง หากเขาคิดเข้ามาก็ไม่มีใครขวางเขาได้ ดังนั้นเยี่ยเม่ยจึงไม่คิดขัดขวางเขา

 

 

เมื่อได้ยินเสียงจากด้านหลัง ก็สัมผัสได้ถึงอายมาร นางรู้ได้ทันทีว่าเขามาแล้ว

 

 

เมื่อคิดได้ว่าตัวเองแทบจะตัดสินใจเพื่อสถานการณ์ส่วนรวมแต่งงานให้กับเป่ยเฉินอี้ เสี้ยวเวลานี้นางแทบไม่เหลือความกล้าไปเผชิญหน้ากับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เผชิญหน้ากับคนที่ตัวเองรักอย่างลึกซึ้ง

 

 

เสียงฝีเท้าเข้าใกล้ขึ้นมาทุกที

 

 

นางมิได้หันกลับไป ส่วนเขายังเดินต่อเนื่องมาถึงด้านหลังนาง ยื่นมือออกมาคว้าเอวนางรั้งเข้าไปกอด

 

 

แผ่นหลังของหญิงสาวแนบกับแผงอกของเขา

 

 

ยามความอบอุ่นจากอ้อมอกแผ่ซ่านมาถึง มีเสี้ยวเวลาหนึ่งที่เยี่ยเม่ยแทบลืมเลือนทุกอย่างไปจนหมดสิ้น ลืมความแค้นของบ้านเมือง ลืมผลประโยชน์ ลืมคำพูดโหดเ**้ยมที่นางกล่าวกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ลืมการวิเคราะห์ของไป๋หลี่ซือซิวเมื่อตอนบ่ายไปจนหมดสิ้น

 

 

นางอยากอิงแอบอยู่ในอกเขา ซึมซับความอบอุ่นอ่อนโยนในนั้นไม่ออกมาอีก

 

 

แต่

 

 

สุดท้ายนางก็ไม่อาจไม่ออกมา ทั้งต้องตื่นขึ้น

 

 

เยี่ยเม่ยมิได้ผลักเขาออก น้ำเสียงเย็นชากลับดังขึ้นทันทีว่า “เป่ยเฉินเสียเยี่ยน ท่านทำอะไร”

 

 

เขาหัวเราะเสียงต่ำคำหนึ่ง

 

 

มิได้ปล่อยนางออกเพราะคำพูดของนาง เส้นเสียงน่าฟังของเขาแฝงไปด้วยความสบายกระซิบอยู่ข้างหูนาง “เยี่ยเม่ย เจ้าลองเดาว่าสามเดือนที่ผ่านมานี้ ข้าสืบอะไรได้บ้าง”

 

 

เยี่ยเม่ยสั่นสะท้าน เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างในใจ

 

 

สืบอะไรได้หรือ

 

 

จากน้ำเสียงของเขา…หรือว่า…

 

 

ในขณะที่นางกำลังใช้ความคิด เขาก็จับบ่านางดึงให้หันหน้ากลับมามองเขา เผชิญกับสายตาของเขา

 

 

ค่อยๆ เอ่ยออกมาทีละคำ “นับตั้งแต่เจ้าแตกหักกับข้าอย่างไร้เหตุผล ถึงเจ้าดึงดันจะเดินเข้าสู่ราชสำนักเป่ยเฉินให้ได้ ทั้งยังมีเรื่องลับลมคมในระหว่างเสด็จพ่อกับเซี่ยโหวเฉินในช่วงนี้ สุดท้ายเยี่ยนก็ได้เบาะแสเล็กๆ มา เยี่ยนพบภาพวาดใบหนึ่ง เป็นภาพเหมือนที่เซี่ยโหวเฉินมอบให้เสด็จพ่อ เจ้าอยากดูหรือไม่”

 

 

เยี่ยเม่ยฟังคำอธิบายของเขา หัวใจเต้นระส่ำราวรัวกลอง กังวลว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะคาดเดาเรื่องทุกอย่างได้

 

 

ในใจนางยิ่งเข้าใจได้ว่า ภาพวาดนั้นต้องไม่ธรรมดาแน่

 

 

นางหลบสายตาเขา ถามว่า “ภาพอะไร”

 

 

“ภาพของจงเจิ้งซี!”