ตอนที่ 154 ความสําเร็จไม่เพียงพอและล้มเหลว
สิบกว่าปีมานี้แม่นางเหลียนเข้าใจอุปนิสัยของหยุนลี่เซียวอย่างถ่องแท้
สิ่งที่เห็นคือเขาไม่เคยทำสิ่งใดประสบผลสําเร็จ อีกทั้งยังชอบยุ่งเรื่องของชาวบ้าน คนผู้นี้ชอบทำเหมือนตัวเองมีความสามารถ ทว่าแท้จริงแล้วคอยสร้างแต่เรื่องวุ่นวาย สุดท้ายกลับโยนความผิดให้ผู้อื่นรับผิดชอบ
ส่วนนิสัยที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงของหยุนลี่เซียวคือชอบหาเรื่องทะเลาะวิวาทกับผู้อื่น
ดังนั้นการโต้เถียงกับหยุนลี่เซียวจึงเป็นเรื่องที่เสียเวลา หยุนลี่เต๋อวางถ้วยชาลงแล้วถอนหายใจ เมื่อเห็นภรรยาที่อ่อนโยน กับลูก ๆ ที่ว่านอนสอนง่าย สีหน้าจึงเผยความผ่อนคลายได้
“ท่านพ่อ อาสามมีนิสัยเป็นอย่างไร ท่านย่อมรู้อยู่แก่ใจ ท่านอย่าได้ถือสาเขาเลย” หยุนเชวี่ยเกลี้ยกล่อมอย่างรู้ความ
“อืม” หยุนลี่เต๋อพยักหน้าพลางหยิบตะเกียบขึ้นมา เขาหยุดชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ข้าแค่โกรธอาสามของเจ้าที่ไม่รู้จักโตเสียที”
“ท่านเองยังกังวลอยู่เช่นเดิม ความจริงน้องสามกับภรรยาไม่ควรใช้ชีวิตให้ผ่านไปวัน ๆ โดยเปล่าประโยชน์! นั่นมันไร้สาระเกินไป” แม่นางเหลียนส่ายหน้าและเลื่อนชามผักที่ตักมาเมื่อครู่ไปตรงหน้าสามี
“ข้าเป็นห่วงท่านพ่อ”
“พี่ใหญ่จะได้เป็นขุนนางแล้ว เขาคงจะช่วยท่านพ่อได้มาก” สำหรับสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้แม้ผู้เป็นภรรยาจะไม่ได้เอ่ยถึงผู้เฒ่าหยุน แต่แม่นางเหลียนยังคงนึกตำหนิอยู่ในใจ
เป็นเพราะเขาไม่อาจเรียกใช้หยุนลี่จงได้จึงมอบหมายให้หยุนลี่เต๋อไปแทน และยังสั่งให้หยุนลี่เซียวติดตามไปด้วย เช่นนี้ไม่ชัดเจนอีกหรือว่าชายชราไม่เชื่อใจบุตรชายคนรอง?
นั่นคือลูกชายในไส้ของผู้เฒ่าหยุน! เมื่อที่บ้านมีงานหนักอันใดมักจะต้องเรียกใช้บุตรชายคนรอง และทุกครั้งที่เกิดเรื่องขึ้นจะต้องให้หยุนลี่เต๋อออกหน้ามิใช่หรือ?
แม้ผู้เฒ่าหยุนจะไม่โวยวายและด่าทอเหมือนแม่เฒ่าจู แต่การกล่าวเพียงเล็กน้อยย่อมทําให้ผู้คนรู้สึกหนาวเหน็บไปถึงขั้วหัวใจได้!
“หากพี่ใหญ่สามารถเป็นขุนนางได้จริง ตระกูลหยุนก็คงจะสบายแล้ว ข้าแค่กลัวว่า…” หยุนลี่เต๋อหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะก้มหน้าก้มตาตักข้าวเข้าปาก
แม่นางเหลียนกับหยุนเชวี่ยหันมามองหน้ากันแวบหนึ่งทว่าไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก จากนั้นคนหนึ่งนั่งลงที่หัวเตียงแล้วเริ่มงานเย็บปักถักร้อย ส่วนอีกคนหนึ่งขยับเข้าไปใกล้เสี่ยวอู่และยื่นคอเพื่ออ่านหนังสือของน้องชาย
“เจ้าอ่านตำรา ‘ล่วนอวี๋*’ อยู่หรือ?” หยุนเชวี่ยกวาดสายตามองหลายตัวหนังสือเหล่านั้นและแอบตกใจเล็กน้อย เนื่องจากสงสัยว่าเพียงเวลาไม่กี่วันเขาสามารถอ่านจบไปอีกเล่มแล้วหรือ?
*ตำรารวมบทกวีขงจื๊อช่วงฤดูใบไม้ผลิถึงฤดูใบไม้ร่วง
เสี่ยวอู่พยักหน้ารับ
“ครั้งที่แล้วอ่าน ‘พันอักษร’ จบแล้วหรือ?”
เสี่ยวอู่พยักหน้าอีกครั้ง
“การอ่านหนังสือไม่สามารถอ่านแบบไม่ใส่ใจได้ ไม่เพียงต้องทําความคุ้นเคยจนสามารถท่องจำได้เท่านั้น แต่ยังต้องเข้าใจความหมายของหนังสือด้วย…”
หยุนเชวี่ยกังวลว่าเสี่ยวอู่จะอ่านผ่าน ๆ อย่างไม่วิเคราะห์เนื้อหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องไม่ใจร้อนเพื่อวางรากฐานให้มั่นคง
ทว่าหยุนเชวี่ยยังพูดไม่ทันจบ เสี่ยวอู่รีบท่องตำราออกมาอย่างคล่องแคล่ว ทําให้นางหายใจเข้าลึกขณะยังพูดไม่จบ
เสี่ยวอู่พูดเสียงเรียบ “ท่องจบแล้ว”
หยุนเชวี่ย…
เจ้าเด็กคนนี้ ต่อไปคงจะสอนเขาไม่ได้! ในใจของหยุนเชวี่ยทั้งดีใจและผิดหวังเล็กน้อย
ชักจะโอ้อวดมากเกินไปแล้ว!
“เสี่ยวอู่ เจ้าหยุดอ่านหนังสือได้แล้ว อ่านมากไปเดี๋ยวจะตาลายเอาได้” แม่นางเหลียนใช้เข็มปัดไส้ตะเกียงให้สว่างขึ้นเล็กน้อยก่อนจะรวบผมเข้าข้างหูพลางกล่าวว่า “รอกลางวันแล้วค่อยอ่าน เวลานี้คุยกับพี่สาวเจ้าไปก่อน”
เมื่อได้ยินแม่ของตนกล่าวดังนั้นเสี่ยวอู่จึงปิดหนังสือลงอย่างเรียบร้อยและยัดมันไว้ใต้หมอนก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองหยุนเชวี่ยด้วยดวงตาดําขลับคู่นั้น
หยุนเชวี่ยแลบลิ้น “ท่านแม่ พวกเราไม่ได้ไปเดินเล่นที่บ้านของเฟิงซิ่วไฉ่มาหลายวันแล้วกระมัง พรุ่งนี้ข้าจะเอาไก่ป่าสองตัวไปส่งที่นั้น เขาจะได้สอนเสี่ยวอู่อย่างใส่ใจมากขึ้น”
“เด็กน้อย เจ้ายังเด็กนัก ข้าไม่อยากให้ทำการใหญ่เช่นนี้” แม่นางเหลียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าเคยไปมาสองครั้งแล้ว เช่นนี้แม่ควรไปเองดีกว่า!”
“ท่านเคยไปตอนใด เหตุใดข้าถึงไม่รู้?”
“เจ้าวิ่งวุ่นทั้งวันไม่เห็นแม้แต่เงา แล้วจะไปรู้ได้อย่างไรกัน?”
หยุนเชวี่ยทําปากเชิดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์
จากนั้นสองแม่ลูกพูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อยและอดไม่ได้ที่จะนินทาผู้อื่น ขณะมีเสี่ยวอู่นอนฟังอยู่ข้างเตียงโดยไม่ปริปากอันใด
“เฮ้อ ข้าได้ยินจากแม่ของเฟิงซิ่วไฉ่ว่า หลายวันมานี้ธรณีประตูบ้านของนางถูกเหยียบย่ำจนแทบจะพังแล้ว ผู้คนที่อยู่ห่างกันสิบลี้ในละแวกแปดหมู่บ้าน คนที่ไม่เคยออกจากบ้านยังมาเบียดเสียดกันที่บ้านตระกูลเฟิง แม้แต่คุณหนูใหญ่ในเมืองยังมากันหลายคน!”
หยุนเชวี่ยกะพริบตาปริบ ๆ และเริ่มเกิดความสนใจขึ้นมา “เกิดเหตุอันใดขึ้น? เหตุใดเฟิงซิ่วไฉ่ถึงกลายเป็นคนเนื้อหอมไปได้เล่า?”
“เป็นเพราะเรื่องที่เขาจะเข้าสอบในฤดูใบไม้ร่วงใช่หรือไม่? หวังหลี่เจิ้งบอกว่าเฟิงซิ่วไฉ่จะต้องสอบได้แน่ คนอื่นย่อมเตรียมตัวประจบประแจง แน่นอนว่าจะต้องมีผู้หญิงมากมายต่างคิดถึงเขา!”
การสอบในฤดูใบไม้ร่วงที่แม่นางเหลียนที่กล่าวถึงหมายความว่า หญิงสาวที่ต้องการแต่งงานกำลังแข่งขันกันเพื่อชิงตำแหน่งอันทรงเกียรติ!
“จะว่าไปพี่ซิ่วไฉ่คงถึงเวลาหมั้นหมายแล้วกระมัง” หยุนเชวี่ยกล่าวพลางลูบคาง
“ไม่สิ อาสะใภ้เฟิงของเจ้าบอกว่าเขามีวิสัยทัศน์กว้างไกลยิ่ง ไม่สนใจผู้หญิงคนใดทั้งสิ้น หลายวันมานี้แค่มีคนมาพูดเรื่องแต่งงาน เขาก็ไล่ตะเพิดออกจากบ้านแล้ว”
เมื่อแม่นางเหลียนพูดจบจึงหันมามองเสี่ยวอู่ด้วยรอยยิ้มจนตาหยี “เสี่ยวอู่ต้องตั้งใจเรียนให้มาก วันหน้าจะได้มีโอกาสเลือกภรรยาที่ดี”
เสี่ยวอู่รีบหลุบตาลงและพลิกตัวหนีโดยไม่เอ่ยปากกล่าวอันใด
หยุนเชวี่ยหัวเราะคิกคัก “ท่านแม่ ท่านหยุดพูดได้แล้ว ท่านดูเสี่ยวอู่สิ ท่านกำลังทำให้เขาอายนะ ฮ่าฮ่าฮ่า”
“อันใด? อีกแค่สี่ถึงห้าปีเท่านั้น สำหรับลูกผู้ชายเราต้องวางแผนไว้แต่เนิ่น ๆ ” แม่นางเหลียนเอียงคอกัดด้ายในมือพลางกล่าวว่า “เชวี่ยเอ๋อ มาลองสวมรองเท้าคู่ใหม่ดูสิว่าพอดีหรือไม่?”
“เหตุใดท่านแม่ถึงทํารองเท้าคู่ใหม่ให้ข้าอีก?” หยุนเชวี่ยทำตามคำสั่งและขยับเท้าทั้งสองไปมา
“แม่เย็บพื้นรองเท้าให้หนามากขึ้นเป็นพิเศษ เวลาเดินจะได้สบายเท้า ไม่ใช่ว่าเจ้าวิ่งออกไปข้างนอกทั้งวันหรอกรึ? จะได้ใช้สองคู่ผลัดเปลี่ยนกัน”
นี่เป็นผ้าที่หยุนเชวี่ยซื้อมาจากร้านผ้าราคาถูกซึ่งมีสีเหลืองสดใส และแม่นางเหลียนมีฝีมือเย็บปักถักร้อยจึงสร้างสรรงานปักรูปสิงโตน้อยบนรองเท้าด้านซ้ายและขวาด้วยความสวยงาม ทั้งยังประดับประดาด้วยรูปดอกไม้ที่แตกกิ่งก้านอย่างวิจิตรบรรจง
“งดงามที่สุด” หยุนเชวี่ยชอบมันมาก
“ลูกสาวข้าทั้งงดงามและชาญฉลาด ใส่อันใดย่อมดูดีไปหมด” แม้แต่ดวงตาของแม่นางเหลียนยังยิ้มจนเป็นรอย “พรุ่งนี้แม่จะเย็บให้เยี่ยนเอ๋ออีกหนึ่งคู่”
“ข้าเกรงว่าหากหยุนชิ่วเอ๋อได้เห็นเข้า นางคงต้องอิจฉาจนตาร้อนผ่าว” หยุนเชวี่ยถอดรองเท้าออกและวางไว้ข้างเตียงอย่างเป็นระเบียบ
ทันทีที่พูดจบทุกคนในห้องพลันได้ยินเสียงของหยุนลี่เซียวร้องตะโกนขึ้นมา “ถ้าไม่ใช่เพราะพี่รอง หมูนั่นข้าจะทําให้มีราคาถึงห้าตําลึง เช่นนั้นสามตําลึงท่านต้องไปเอากับพี่รองเอง!”
“ไอ้บัดซบ!” ผู้เฒ่าหยุนตะโกนด้วยความโกรธ “อย่าพูดเรื่องไร้สาระอีก รีบเอาเงินสองตําลึงนั้นออกมา!”
“เหตุใด? หากท่านพ่ออยากเงินได้ก็ไปหาพี่รองโน่น!”
“ปัง…” ทันใดนั้นไม่รู้ว่ามีเสียงอันใดดังขึ้นในบ้าน
เป็นแม่เฒ่าจูที่ตะโกนด่าว่า “ให้ตายสิ ความคิดของคนเรามันกลับหัวกลับหางไปหมดแล้ว! แม้แต่โลงศพของพ่อกับแม่ก็คงจะต้องถูกทอดทิ้ง นี่กำลังทําบาปอันใดกันอยู่…”
หยุนชิ่วเอ๋อเองได้ตะโกนด่าตามหลังเช่นกัน “ลี่เซียว เจ้าลูกอกตัญญู เจ้ามันคนไร้ยางอาย เอาเงินของท่านพ่อท่านแม่คืนมา! มิฉะนั้นข้าจะจัดการท่านเอง!”
เมื่อแม่นางเหลียนได้ยินเรื่องวุ่นวายนี้จึงเกิดอาการปวดหัวขึ้นมาทันที ส่งผลให้รอยยิ้มนั้นแข็งค้างในพริบตา “เหตุใดถึงมาเกี่ยวพันกับบ้านเราอีก ขออยู่อย่างสงบสุขสักครึ่งวันมิได้เชียวหรือ”
“ข้าจะออกไปดูเอง” หยุนลี่เต๋อขมวดคิ้วพร้อมวางชามข้าวลงและลุกขึ้นยืน