ตอนที่ 153 สร้างปัญหาแต่ไม่แบกรับปัญหา
กว่าจะมีคนยอมรับซื้อหมูก็ยากเย็นแสนเข็ญ แต่ผู้เฒ่าหยุนกลับไม่มีความสุขแม้สักนิด เนื่องจากมีเรื่องมากมายที่กำลังกลัดกลุ้มใจ
หากสามารถเลี้ยงหมูสามตัวนี้ไว้ได้จนถึงวันตรุษจีน อย่างน้อยคงมีราคาถึงหกหรือเจ็ดตําลึง ทว่าตอนนี้กลับได้เงินเพียงสองตําลึงเท่านั้น
ทว่านี่ยังไม่ใช่หายนะร้ายแรงที่สุด เพราะยังมีผืนนาอุดมสมบูรณ์อีกยี่สิบไร่ที่กำลังจะถูกตระกูลกั๋วยึดคืนหลังจากผ่านพ้นฤดูใบไม้ร่วง…
เมื่อที่ทำกินถูกยึดไป ทรัพย์สินของตระกูลหยุนที่เหลือมีเพียงบ้านหลังนี้ และเสบียงอาหารสำหรับหนึ่งปี หลังจากวันนั้นชีวิตของทุกคนในบ้านคงต้องอยู่กันอย่างยากลำบาก ดังนั้นความหวังทั้งหมดจึงตกอยู่กับหยุนลี่จง
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ผู้เฒ่าหยุนพลันรู้สึกเจ็บปวดที่ขมับจนอดไม่ได้ที่จะหันหน้าเข้าหาดวงอาทิตย์พลางถอนหายใจยาว
ขณะนี้ประตูห้องทางปีกตะวันออกยังคงปิดสนิทอยู่ หลายวันมานี้นอกจากเวลาเข้าออกห้องส้วมทุกวันตอนเย็น หยุนลี่จงผู้ที่คร่ำเคร่งกับการท่องตำราไม่เคยปรากฏกายออกมาให้เห็น เพราะมีคนยกอาหารสามมื้อต่อวันเข้าไปประเคนถึงในห้อง
ทุกวันเมื่อแม่นางเฉินเตรียมอาหารเย็นเสร็จสิ้น แม่นางจ้าวจะตักผักชามหนึ่งก่อนและเลือกขนมปังที่นุ่มที่สุดสองก้อนแล้วส่งนำไปส่งให้หยุนลี่จง
“ดีแล้ว ดีแล้วล่ะ…” ผู้เฒ่าหยุนมองไปยังทิศตะวันออกพร้อมบ่นพึมพําเพื่อปลอบใจตัวเอง
ดูจากท่าทางของบุตรชายคนโตแล้ว ราวกับว่าเขามีความมุ่งมั่นที่จะสอบให้ดี ครั้งนี้ขอเพียงสวรรค์ทรงเมตตาให้เขาไม่พลาดอีก!
“ท่านพ่อ ได้เวลากินข้าวแล้ว!” แม่นางเฉินร้องตะโกนขณะถือตะกร้าเดินจากห้องครัวไปยังห้องโถงใหญ่
ไม่ว่ามีจะเกิดเรื่องอันใดขึ้น ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาตรงหน้า แม่นางเฉินก็ไม่เคยกังวลต่อสิ่งใด เพราะเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิตนางคือการกิน…
ตามปกติแม่เฒ่าจูมักจะสบถออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ แต่หลังจากไม่มีผู้ใดตอบสนอง ทางห้องโถงใหญ่จึงเงียบสงบ
แม่นางเหลียนตักโจ๊กชามใหญ่ให้เด็กสามคน แต่ตนเองกลับไม่มีความอยากอาหารแม้แต่น้อย และทำเพียงขมวดคิ้วพลางเท้าคาง
“ท่านแม่ เหตุใดถึงไม่กินเล่า?” หยุนเยี่ยนคีบอาหารให้มารดา
“ทําไมพ่อของเจ้าถึงยังไม่กลับมาอีก?” แม่นางเหลียนหันหน้าเข้าหาประตูใหญ่ของลานบ้าน จ้องมองจนตาแทบจะทะลุออกมานอกเบ้า
“ท่านพ่อเพิ่งไปได้เพียงไม่นาน อีกทั้งยังลากรถเข็นคันนั้นไปด้วย ท่านแม่อย่ากังวลไปเลย ท่านพ่อไม่ได้เข้าเมืองเป็นครั้งแรกเสียหน่อย” หยุนเชวี่ยถือชามและกล่าวออกมา
“บิดาของเจ้าเป็นคนซื่อเพียงใดเจ้าก็น่าจะรู้ดี เขาเป็นเพียงคนเดียวที่ทนทุกข์ทรมานจากนิสัยเช่นนี้ แล้วจะไม่ให้เป็นห่วงได้อย่างไร…”
“มีอาสามตามไปด้วยมิใช่หรือ?” หยุนเชวี่ยเลิกคิ้วขึ้น “อาสามนิสัยอย่างไรท่านแม่ย่อมรู้ดี เขาคงไม่ยอมให้ผู้ใดมาเอาเปรียบเป็นแน่”
“เป็นเพราะอาสามของเจ้าติดตามไปด้วย ข้ายิ่งรู้สึกเป็นห่วงมากขึ้น พวกเจ้ากินเถิด อย่ามาสนใจแม่เลย ข้าจะรอให้พ่อเจ้ากลับมากินด้วยกัน”
ตอนนี้แม่นางเหลียนไม่มีแม้กะจิตกะใจจะกินข้าว เพราะเข้าใจว่าผู้ที่ไม่เคยทําอันใดผิด เมื่อทำเรื่องนอกกรอบเพียงเล็กน้อย ในใจย่อมลนลานแทบตาย
บวกกับหยุนลี่เซียวที่เอาแต่สร้างปัญหาและไม่เคยช่วยแก้ปัญหาที่ตามมา หากสามารถปล่อยวางได้คงเป็นเรื่องแปลก
หลังจากเฝ้ารออย่างกระวนกระวายใจจนกระทั่งผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยาม จนท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว ยังมิเห็นวี่แววว่าจะมีผู้ใดกลับมา
แม่นางเหลียนเริ่มเกิดอาการตื่นตระหนกและเตรียมจะออกไปตามที่ตัวเมือง ขณะผู้เฒ่าหยุนเดินวนไปวนมาอยู่หน้าประตูบ้านตนเองหลายรอบแล้ว
“ท่านแม่ ข้าจะไปกับท่าน ข้าคุ้นเคยกับเส้นทางในเมืองเป็นอย่างดี”
หยุนเชวี่ยเดินตามไป ทว่าเพียงก้าวเท้าข้ามธรณีประตูไปพลันได้ยินเสียงร้องตะโกนของหยุนลี่เซียวดังแว่วมาแต่ระยะไกล
“พี่รอง ไม่ใช่ว่าข้าอยากจะพูดเช่นนี้ แต่เป็นเพราะท่านที่ขัดขวาง การพูดกับคนนอกอย่างตรงไปตรงมาเช่นนั้นมันให้ประโยชน์อันใดกับท่านบ้าง? ถ้าไม่ใช่เพราะท่าน อย่างน้อยวันนี้ต้องได้สักห้าตําลึงเงิน ท่านพูดได้อย่างไรว่าเขาไม่ต้องการหมูบ้านเรา!”
“ท่านพ่อกลับมาแล้ว!” หยุนเชวี่ยรีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
ด้วยแสงจันทราสว่างจ้าที่สาดส่องมา เงาของร่างทั้งสองจึงปรากฏขึ้นในสายตา โดยมีหยุนลี่เต๋อเดินนําหน้า และอีกคนเดินตามหลังมาไม่ห่าง
“สามตําลึง! มันมากพอที่จะกินอาหารได้ถึงสองโต๊ะในหอชุ่ยเซียง! ท่านมีชีวิตที่ดี ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารการกิน ถ้ามีความสามารถก็เอาเงินสามตําลึงนั้นมาให้ข้า!” หยุนลี่เซียวยืดคอตะโกนเสียงดังราวกับกลัวว่าจะไม่มีผู้ใดได้ยิน
“ท่านพ่อกลับมาแล้ว ท่านแม่เป็นห่วงท่านจนไม่ยอมกินอันใดเลย!”
หยุนเชวี่ยวิ่งไปด้วยความดีใจและลากหยุนลี่เต๋อเดินกลับไป ขณะนั้นหยุนลี่เต๋อยกมือขึ้นลูบศีรษะหยุนเชวี่ยอย่างแผ่วเบา
“ข้ากำลังพูดอันใดอยู่ ได้ฟังบ้างหรือไม่!? พี่รอง! ท่านกินดีอยู่ดีเคยคิดสนใจพวกเราบ้างหรือไม่! ท่านสนใจที่จะคุยแต่กับคนนอก ช่างไม่มีความคิดเอาเสียเลย!” เมื่อหยุนลี่เซียวเห็นว่าไม่มีผู้ใดสนใจเรื่องที่ตนเองกำลังพูดจึงตะโกนดังกว่าเก่า
“ข้าก็คนในตระกูลหยุนเช่นกัน พี่สาวข้ากับน้องชายล้วนแซ่หยุน แล้วเหตุใดถึงกลายเป็นคนนอกไปได้เล่า” หยุนเชวี่ยบุ้ยปากพึมพําเสียงเบาด้วยความคับข้องใจ
มือใหญ่ของหยุนลี่เต๋อลูบศรีษะปลอบใจบุตรสาวโดยมิได้ปริปาก
“ท่านแม่ ท่านพ่อกลับมาแล้ว!” หยุนเชวี่ยร้องตะโกน
สำหรับชายชราที่ยืนเอามือไพล่หลังอยู่ด้านหน้าประตูบ้าน เมื่อเห็นคนกลับมา ใบหน้าอันตึงเครียดจึงผ่อนคลายลงได้บ้าง
“ท่านพ่อ…” หยุนลี่เต๋ออ้าปากค้าง เพราะขณะที่กำลังตะโกนออกไป ก่อนที่จะทันได้พูดประโยคต่อมาพลันถูกขัดจังหวะโดยหยุนลี่เซียวที่วิ่งนําหน้าไป
“ท่านพ่อ ข้าจะเล่าให้ท่านฟังเอง… พี่รองคือคนที่ขัดลาภของเรา หากไม่ใช่เพราะเขาไปพูดกับคนนอกเช่นนั้น อย่างน้อยหมูของเราจะต้องขายได้ห้าตําลึง! นั่นทำให้ข้าโกรธแทบตายที่ต้องเสียเงินไปตั้งสามตําลึง! ตอนนี้อาหารกับสุราชั้นดีได้โบยบินไปหายแล้ว!” หยุนลี่เซียวเท้าสะเอวพร้อมถลึงตากว้างอย่างน่ากลัวขณะหันหน้ามาตะโกนใส่หยุนลี่เต๋อ “พี่รอง จงบอกข้ามาเดี๋ยวนี้ว่าเงินสามตําลึงที่ขาดไปนี้ท่านจะจัดการอย่างไร!”
“ท่านพ่อ…”
“ท่านไม่ต้องเรียกหาท่านพ่อ ถึงเรียกท่านพ่อไปก็ไร้ประโยชน์! เรามาคุยเรื่องเงินสามตําลึงจะดีกว่า!” หยุนลี่เซียวขบเขี้ยวเคี้ยวฟันและนิ้วมือแทบจะทิ่มเข้าจมูกของอีกฝ่าย
เดิมทีบรรยากาศรอบข้างมืดมิดอยู่แล้ว ทำให้แทบจะมองไม่เห็นใบหน้าอันหมองคล้ำของที่หยุนลี่เต๋อ และเวลานี้เขาคร้านที่จะโต้เถียงเรื่องไร้สาระจึงก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว “ราคานี้เป็นสิ่งที่ตกลงกันไว้ล่วงหน้า ต่อให้เจ้าโวยวายเพียงใด ทางนั้นย่อมไม่มีทางขอเงินเพิ่มแม้ตำลึงเดียว ถึงตอนนี้คงไม่สามารถแก้ไขอันใดได้แล้ว”
“มันเป็นเพราะท่านที่ห้ามข้าไว้ ตอนนั้นถ้าเขาไม่ยอมให้เงินเพิ่ม ข้าจะป่าวประกาศให้ทั่วว่าร้านของมันรับซื้อหมูเป็นโรคระบาด ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะไม่กลัว!” หยุนลี่เซียวโพล่งขึ้นสู่ท้องฟ้าด้วยท่าทางดุดันใส่พี่ชายคนรองของตนโดยไม่แยแสต่อสิ่งใด
“พวกเราขายหมูเหล่านี้ย่อมเป็นเรื่องที่ผิดอยู่แล้ว เช่นนั้นจะโวยวายให้เกิดประโยชน์อันใดขึ้นมา หากเกิดเรื่องขึ้นพวกเราย่อมไม่สามารถหาเหตุผลมาตอบโต้ได้” หยุนลี่เต๋อส่ายหัว
เรื่องนี้ทำให้เขาทุกข์ใจมาก และไม่รู้ว่าหยุนลี่เซียวเอาความมั่นใจมาจากไหนถึงจะกล้าไปข่มขู่คนผู้นั้น เพราะเท่านี้เรื่องก็วุ่นวายมากพอแล้ว
“เหตุใดเขาต้องตีเราด้วย? เขาเองก็ใช่ว่าเป็นคนขาวสะอาด! ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะมีความกล้าเช่นนี้! ฮึ่ม!”
หยุนลี่เซียวเป็นคนที่มีความมั่นใจสูง แต่เป็นไปในทางที่ผิด เมื่อหยุนลี่เต๋อรู้ซึ้งถึงความหมายของสองประโยคนี้จึงคร้านที่จะกล่าวต่อและหันหลังเดินเข้าห้องตะวันตกไป
“เจ้ารอง” ชายชราร้องตะโกนเพื่อหยุดเขา
“ท่านพ่อ” เขาหันกลับไปมองหยุนลี่เซียว “เงินอยู่ที่น้องสาม ท่านไปเอากับเขาเถิด”
พูดจบแล้ว หยุนลี่เต๋อรีบเดินตรงเข้าไปในบ้านทางตะวันตก
เมื่อตะเกียงน้ำมันของบ้านทางฝั่งตะวันตกสว่างไสวขึ้น ภายใต้แสงไฟสลัวนั้น สีหน้าของหยุนลี่เต๋อไม่ค่อยดีนัก จากนั้นหยุนลี่เต๋อนั่งลงและเทชาใส่ชามใหญ่และดื่มมันลงไปรวดเดียว
แม่นางเหลียนตักอาหารที่อุ่นเรียบร้อยแล้วจากหม้อ และจัดชามกับตะเกียบพลางเอ่ยถามเสียงเบาว่า “เป็นอันใดไป หรือว่าน้องสามสร้างเรื่องอีกแล้วหรือ?”