ตอนที่ 152 ขายหมู

บ้านตระกูลหยุน

เมื่อหยุนเชวี่ยกลับมาจึงพบว่าหยุนลี่เต๋อกับผู้เฒ่าหยุนกำลังช่วยกันยกหมูสามตัวขึ้นบน

ขณะหยุนลี่เซียวที่ยืนกอดอกอยู่ด้านข้างเบ้ปากบ่นว่า “ความจริงหมูสามตัวมีราคาถึงหกตําลึง! คราวนี้รายได้ถูกหักไปมากกว่าครึ่ง จุ๊ ๆ ใจคนพวกนี้ช่างใจดําเสียจริง!”

“เจ้าสามพูดเรื่องอันใด!” แม่นางจ้าวที่ยืนอยู่ใต้ชายคาไม่เห็นด้วย “อากาศร้อนถึงเพียงนี้ ข้ายังวิ่งแบกหน้าไปอ้อนวอนคนพวกนั้น มันไม่ง่ายเลยที่ข้าจะขอร้องให้พวกเขารับหมูพวกนี้ไว้ แต่เมื่อกลับมาถึงบ้าน ทั้งหมดกลายเป็นความผิดของข้าไปแล้วรึ?”

“หมูตายพวกนี้จะไปมีราคาได้อย่างไร หากอยากขายในราคาหมูสด เหตุใดถึงไม่ให้คนขายเนื้อแซ่อู๋ซื้อไปเล่า? หรือเจ้าสงสัยว่าข้าโกงเงิน?”

“เจ้าสาม เจ้าไม่ต้องยืนพูดให้ปวดเอว ตามพี่รองของเจ้าเข้าไปในเมืองก็รู้ทุกอย่างแล้ว แต่ข้าไม่เอาด้วยหรอกนะ!”

แม่นางจ้าวรวบผมที่กระเซอะกระเซิงบนศีรษะของตนเองพลางกลอกตาขึ้นฟ้า ริมฝีปากบิดเบี้ยวดูน่ากลัวราวกับปีศาจ

ช่างเป็นคนไม่มีจิตสำนึก นางวิ่งเข้าไปในเมืองตอนเที่ยงวัน ทั้งยังบอกให้ญาติผู้พี่ของตนช่วยขอร้องจึงสามารถนำหมูตายสามตัวนี้ไปแลกเงินมาได้สองตําลึง แต่หยุนลี่เซียวที่ไม่ออกแรงอันใดแม้ไม่รู้สึกขอบคุณ ยังต่อว่าด้วยถ้อยคำที่ทำให้เจ็บช้ำน้ำใจ ทำให้แม่นางจ้าวโมโหจนลมออกหู!

“ฮ่าฮ่า ข้ามิได้บอกว่าพี่สะใภ้ใหญ่โกงเงินสักหน่อย” หยุนลี่เซียวกระทืบเท้าของตนเองพลางหัวเราะคิกคักและส่งเสียงฮึดฮัดออกมาสองครั้ง

ราวกับต้องการชี้ให้เห็นถึงว่าเจตนารมณ์นี้ ท่านเป็นคนพูดขึ้นมาเอง ซึ่งมันเป็นอาการร้อนตัวของของโจร

แม่นางจ้าวโกรธจนหน้าเขียว นางถลึงตาพร้อมร้องตะโกนว่า “เช่นนั้นเจ้าจงตามน้องรองเข้าเมืองดูสิว่าข้าโกงจริงหรือไม่ หากข้าโกงเงินแม้เพียงหนึ่งเหรียญ ขอให้ข้าตายอย่างน่าอนาถ!”

พูดจบแม่นางจ้าวจึงสะบัดมือแล้วเดินกลับห้องฝั่งตะวันออกด้วยความโมโหและปิดประตูเสียงดัง จนกรอบประตูสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง

หยุนลี่เซียวแสยะยิ้มบ่นพึมพํา “ฮึ่ม โกงหรือไม่โกงผู้ใดจะรู้ ไม่แน่ว่าเงินคงจะเข้าไปในถุงเงินของนางแล้ว!”

เวลานั้นหยุนลี่เต๋อทํางานโดยไม่ปริปากอันใด

จากนั้นหมูทั้งสามตัวที่ถูกถอนขนอย่างสะอาดนอนกองอยู่บนรถสองล้อที่ขนาดไม่ใหญ่มากนักราวกับภูเขาลูกเล็ก

“เจ้าสาม” ผู้เฒ่าหยุนหยุนยืดตัวตรงพลางตบมืออย่างแผ่วเบา “ตามพี่รองเข้าเมืองไปเถิด!”

แม่นางจ้าวเป็นคนฉลาดแกมโกงประหนึ่งรากบัวที่หยั่งลึก บวกกับเรื่องที่เสแสร้งเป็นลมในรอบก่อน แม้ผู้เฒ่าหยุนจะไม่ได้พูดอันใด ทว่าในใจย่อมไม่เชื่อใจนาง

สำหรับหยุนลี่เต๋อนั้นเป็นคนซื่อและจริงใจ เกรงว่าหากจะมีอันใดเกิดขึ้นคงดูไม่ออก ดังนั้นจึงให้หยุนลี่เซียวตามไปด้วย คงพอช่วยได้มาก

“ข้าไม่ไป!” หยุนลี่เซียวโพล่งออกมา “หากเกิดเรื่องกับหมูพวกจริงข้าจะทำอย่างไรได้?”

หยุนลี่เต๋อที่กําลังก้มหน้าก้มตามัดหมูอยู่ถึงกับตะลึงงัน…

สีหน้าของผู้เฒ่าหยุนมืดครึ้มลงทันทีและอดไม่ได้ที่จะคํารามด้วยเสียงต่ำ “ปากของเจ้าช่างไม่มีหูรูดเสียจริง พูดจาเหลวไหล มันจะเกิดเรื่องอันใดขึ้นได้! หมูหลายสิบตัวของตระกูลเก่อไม่เห็นจะมีปัญหา! ทั้งที่คนอื่นรับซื้อเนื้อหมูไปแล้ว เจ้าพูดเหลวไหลอันใดกัน!”

ช่วงเวลาดังกล่าวแม่นางเหลียนกำลังก่อไฟทําอาหารอยู่หน้าห้องตะวันตก เดิมทีไม่เคยคิดเรื่องพวกนี้มาก่อน ทว่าเมื่อได้ยินคําพูดนี้ของหยุนลี่เซียว ทำให้อดที่จะรู้สึกกังวลไม่ได้ จึงยกมือขึ้นลูบไล้ผ้ากันเปื้อนพร้อมเดินไปข้างกายหยุนลี่เต๋อและดึงชายเสื้อเขาอย่างแผ่วเบา

ขณะที่ใบหน้าของผู้เฒ่าหยุนดําคล้ำยิ่งกว่าเดิมด้วยคิ้วที่ขมวดเป็นปม แต่เอวของเขายังคงตั้งตรงและกล่าวเสียงดังว่า “กลัวอันใด? ถ้าเกิดเรื่องขึ้นข้าจะรับผิดชอบเอง ปล่อยให้ตาแก่อย่างข้าชดใช้ด้วยชีวิตไป!”

หยุนลี่เต๋อตบหลังมือของแม่นางเหลียนและส่ายศีรษะ จากนั้นจึงดึงเชือกมัดหมูแล้วยืดตัวตรง “มัดแน่นแล้ว ท่านพ่อ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”

แม้มุมปากของผู้เฒ่าหยุนจะกระตุกขึ้นเล็กน้อย แต่เขาไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมาและหันไปจ้องมองหยุนลี่เซียวอย่างเกรี้ยวกราด

หยุนลี่เซียวทำเพียงมองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยร่างกายที่สั่นเทาและรอจนหยุนลี่เต๋อลากรถเข็นออกจากประตูใหญ่ไปขณะลูกตานั้นกลอกไปมา จากนั้นเมื่อไม่รู้ว่าทำอย่างไรดี เขาจึงยกเท้าขึ้นสองสามก้าวไล่ตามออกไป

“พี่รองรอข้าก่อน ข้าจะไปด้วย!”

โดยมีแม่นางเหลียนเดินตามออกไปส่งหยุนลี่เต๋ออย่างไม่วางใจ เมื่อถึงบริเวณหน้าหมู่บ้านแล้วโบกมือกําชับว่า “ระวังตัวด้วย!”

หยุนลี่เต๋อพยักหน้าอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยและปลอบใจนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ข้าไปแล้วจะรีบกลับ เจ้ามิต้องเป็นห่วง เตรียมข้าวรอก็พอแล้ว”

ในยามที่สุริยันกำลังจะลาลับเส้นขอบฟ้ากว้าง ผืนฟ้าเต็มไปด้วยกลุ่มเมฆสีแดงและเงาของทั้งสองที่ทอดยาวไปตามทาง

แม่นางเหลียนมีสีหน้าเศร้าสลดขณะมองแผ่นหลังสูงใหญ่ของหยุนลี่เต๋อ โดยคนหนึ่งเข็นรถที่บรรทุกหมูสามตัว ส่วนหยุนลี่เซียวเดินกอดอกตามหลังไปอย่างสบายอารมณ์

จนกระทั่งเงาร่างนั้นหายลับไปจากสายตา แม่นางเหลียนถึงได้สติและก้มหน้าเช็ดหางตาที่เปียกชื้นขณะริมฝีปากเม้มเข้าหากันท่ามกลางความคิดที่อยากจะร้องไห้

“ท่านแม่ ท่านพ่อไปไกลแล้ว พวกเรากลับกันเถิด” หยุนเชวี่ยกล่าวพร้อมดึงมือของแม่นางเหลียน

“เฮ้อ!” แม่นางเหลียนถอนหายใจด้วยสีหน้าเศร้าหมอง “เรื่องนี้กลับกลายมาเป็นความรับผิดชอบของท่านพ่อเจ้าจนได้ หากเกิดอันใดขึ้นมา เราจะทําอย่างไรดี?”

“ท่านแม่อย่ากังวลไปเลย ท่านพ่อแค่ไปเอาเงินที่ขายหมูเท่านั้น หากเกิดเรื่องอันใดขึ้น ข้าเชื่อว่าท่านพ่อต้องกลับมาอย่างปลอดภัย” หยุนเชวี่ยรู้สึกกลุ้มใจไม่ตางกันแต่ยังคงต้องปลอบใจแม่นางเหลียน

แม้ว่าจะแยกออกมาอยู่ต่างหากแล้ว แต่อันที่จริงยังคงใช้แซ่เดียวกัน ดังนั้นคนนอกย่อมมองว่าพวกเขาคือคนในครอบครัวเดียวกัน อีกอย่างหมูตัวนี้อยู่ในบ้านตระกูลหยุน หากเกิดเรื่องขึ้นจริง การที่หยุนลี่เต๋อจะปัดความรับผิดชอบย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

ผู้เฒ่าหยุนผู้นี้! ไม่ว่าบุตรชายคนโตของเขาจะทําให้ผิดหวังอย่างไร ไม่มีความน่าเชื่อถือมากเพียงใด ทว่าหัวใจของเขากลับเอนเอียงไปด้านนั้นเสมอ

เห็นได้ว่าเรื่องที่อาจก่อให้เกิดความเดือดร้อน ผู้เฒ่าหยุนจะไม่ให้หยุนลี่จงเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะเกรงว่าจะเสื่อมเสียชื่อเสียงอันล้ำค่า แต่กลับผลักภาระอันหนักหน่วงให้กับหยุนลี่เต๋อผู้ซื่อตรงไปทำแทน

“แม่เองก็หวังให้เป็นเช่นนั้น…” แม่นางเหลียนเงยหน้ามองหลังคาเรือนตระกูลหยุนจากระยะไกลและเอ่ยขึ้นอย่างลังเล “เชวี่ยเอ๋อ แม่อยากปรึกษาเจ้าสักเรื่อง… หลังจากการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงแล้ว พวกเราออกมาใช้ชีวิตตามลำพังดีหรือไม่”

“ตามลำพัง? ท่านแม่พูดจริงหรือ?” เมื่อหยุนเชวี่ยได้ยินเรื่องนี้จึงรู้สึกตื่นเต้นกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที

เรื่องนี้หยุนเชวี่ยไม่สามารถบอกหยุนลี่เต๋อตามตรงได้ แต่นางเคยบอกกับแม่นางเหลียนหลายครั้งแล้วว่า ให้ไปเกลี้ยกล่อมหยุนลี่เต๋อ ทว่าอีกฝ่ายกลับตัดสินใจไม่ได้ และความคลุมเครือนี้ทําให้ทุกคนในครอบครัวรู้สึกลำบากใจ

“นั่นคือสิ่งที่แม่คิดอยู่เสมอ บ้านเรา… เฮ้อ จากเรื่องที่ผ่านมามันทำให้แม่รู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้นอีก” แม่นางเหลียนกล่าวออกอย่างอับจนปัญญา

ด้านหนึ่ง หากจะย้ายออกไปอยู่ตามประสาพ่อแม่ลูก ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีคนภายนอกจะกล่าวว่าพวกเขาไร้ความรับผิดชอบ บวกกับหยุนลี่เต๋อที่กตัญญูมาตลอด ทำให้เกรงว่าเป็นเรื่องยากที่จะทําอย่างที่ตั้งใจ

อีกด้านหนึ่ง แม่นางเหลียนเกรงว่าจะเกิดเรื่องวุ่นวายตามมาภายในสามวันหรือห้าวันหลังจากย้ายออกไป อย่าหวังว่าจะได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย

“ในเมื่อท่านแม่อยากแยกครอบครัวออกไปอยู่เฉพาะพวกเรา เช่นนั้นควรบอกท่านพ่อตามตรงว่า หลังจากเก็บพืชผลแล้วเราจะย้ายไปอยู่บ้านใหม่กัน!” หยุนเชวี่ยถูมือไปมาก่อนจะใช้นิ้วเคาะไปมา “ท่านพ่อต้องลําบากใจแน่ แต่ท่านแม่ต้องพยายามเกลี้ยกล่อมให้มากย่อมสำเร็จได้”

หยุนลี่เต๋อเป็นคนมีน้ำใจ แม้เขาจะกตัญญูแต่เชื่อคนง่าย โดยเฉพาะกับภรรยาแสนน่ารักอย่างแม่นางเหลียน หากนางแสดงบทบาทร้องไห้อย่างน่าอนาถ เช็ดน้ำตาด้วยท่าทีน่าสงสาร เกรงว่าจะขยี้ใจชายฉกรรจ์ผู้นี้ให้ละลายได้ แล้วจะมีอันใดที่ต้องกังวลอีกเล่า?

“เจ้ามันรู้มาก” แม่นางเหลียนขมวดคิ้วขณะมุมปากยกโค้งขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ และพูดกับตัวเองว่า “แม่ต้องกลับไปดูก่อนว่าบ้านเรามีเงินเพียงพอหรือไม่ ตอนนี้ย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ยังต้องทําเสื้อผ้าฝ้ายตัวใหม่ให้พี่น้องของเจ้าอีก!”

“ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องเสื้อผ้าตัวใหม่ของพวกเรา รับรองว่าพอถึงเทศกาลตรุษจีน ท่านจะต้องมีเสื้อผ้าชุดใหม่ใส่อย่างแน่นอน”