“เจ้าว่ามาได้เลย” หวังจิ่นหลิงสูดลมหายใจเข้าและสงบลง
ดวงตาของหวังชีไม่กะพริบ จ้องไปที่เฟิ่งชิงเฉิน ดวงตาของเขาเปล่งประกายไฟ
เฟิ่งชิงเฉินเห็นแววตาแบบนี้ ท่าทีแบบนี้มามากแล้ว จึงไม่กดดันเท่าไหร่
ผู้ชายหล่อสง่าแล้วอย่างไร มีอำนาจสูงส่งแล้วอย่างไร หากอยากจะขอให้นางรักษา ไม่ว่าจะเสือหรือมังกร ก็ต้องอ่อนน้อมถ่อมตนอยู่ดี
แคะแคะ…. แน่นอน เมื่อรักษาหายแล้ว ผู้คนก็จะไม่มีเรื่องของให้นางช่วย แต่เจ้าสามารถได้หรือว่า ทั้งชีวิตนี้เจ้าหรือคนที่เจ้ารักจะไม่มีวันป่วย? และจะไม่มาขอร้องนางอีก?
เหตุผลที่อาชีพหมอน่านับถือ เพราะมีเพียงหมอเท่านั้นที่สามารถช่วยชีวิตคุณได้เมื่อคุณป่วยเป็นโรค และไม่มีใครกล้าพูดว่าพวกเขาไม่ต้องการหมอ
แน่นอน เงื่อนไขคือทักษะทางการแพทย์ของเจ้านั้นจะต้องยอดเยี่ยมเพียงพอจนไม่มีใครแทนที่ได้ และเฟิ่งชิงเฉินกำลังพยายามไปในทิศทางนี้ นางจะต้องกลายเป็นหมอที่มีชื่อเสียงและไม่มีใครแทนที่ได้
เฟิ่งชิงเฉินเหลือบมองที่ หวังจิ่นหลิงและหวังชี หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย จึงตัดสินใจเปิดเผยความรู้ทางการแพทย์บางอย่างที่ไม่มีในยุคนี้แก่พี่น้องสองคนนี้
“หากจะให้ข้าพูดก็ได้ แต่ต้องพวกเจ้าต้องรับปากว่าสิ่งที่ข้าพูดวันนี้ จะไม่มีใครรู้นอกจากเราสามคน และต่อให้สิ่งที่ข้าพูดจะน่าตกใจเพียงใด พวกเจ้าก็ห้ามโวยวาย ไม่ว่าจะลึกลับแค่ไหน พวกเจ้าต้องรับให้ได้ แต่จำไว้ว่าข้าเป็นหมอ และข้ามีอำนาจมากที่สุดในด้านการรักษาดวงตาของเจ้า”
เมื่อกล่าวเช่นนี้ เฟิ่งชิงเฉินก็แสดงออกถึงความยิ่งใหญ่ที่ไม่อาจปฏิเสธได้ นี่คือกลิ่นอายของอำนาจ ด้วยความมั่นใจนี้ นางจึงสามารถแสดงสิ่งนี้ออกมาได้เต็มที่
หวังจิ่นหลิงและหวังชีเงียบไปครู่หนึ่งและพยักหน้า
“ได้” เฟิ่งชิงเฉินสามารถรักษาดวงตาที่เหล่าหมอที่มีชื่อเสียงไม่สามารถรักษาได้ นั้นแสดงว่าเฟิ่งชิงเฉินนั้นไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน และคำพูดของนางอาจจะลึกลับเล็กน้อย ซึ่งเป็นสิ่งที่เข้าใจได้
“ถ้าอย่างนั้น ได้โปรดสาบานกับข้า หากผิดคำสาบาน มันจะนำความหายนะมาสู่คนรุ่นหลัง” เฟิ่งชิงเฉินรู้ดีว่าคนโบราณให้ความสำคัญอย่างมากกับคำสาบาน และเมื่อพวกเขาสาบาน พวกเขาจะทำตามคำสาบานได้อย่างแน่นอน
นอกจากนี้ด้วยนิสัยของสองพี่น้องนี้ นางเองก็ทราบดีว่า เขาทั้งสองมิใช่คนที่ปากโป้ง
“ตกลง ข้าหวังจิ่นหลิง (หวังจิ่นฮาน) สาบานว่าจะไม่เปิดเผยทุกคำที่เฟิ่งชิงเฉินพูดในวันนี้ หากผิดคำสาบาน จะต้องถูกฟ้าผ่าและนำพาความหายนะสู่คนรุ่นหลัง”
พี่น้องตระกูลหวังต่างตั้งหน้าตั้งตารอว่าคำพูดของเฟิ่งชิงเฉินจะน่าตกใจเพียงใด
เมื่อนางได้ในสิ่งที่ตนต้องการแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ โดยไม่สนใจความใจร้อนของสองพี่น้องตระกูลหวัง เฟิ่งชิงเฉินพยายามใช้ภาษาที่ผู้คนในยุคนี้จะเข้าใจในการอธิบายแผนการรักษาของตน
เฟิ่งชิงเฉินพูดไปมากมาย แต่โดยสรุปแล้ว มีเพียงประเด็นเดียวเท่านั้น นั่นคือ”การปลูกถ่ายกระจกตา”
“เฟิ่งชิงเฉิน นี่มันเป็นไปได้อย่างไร? จะเป็นไปได้ยังไง?” สองพี่น้องตระกูลหวังสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก
คำพูดของเฟิ่งชิงเฉินน่าตกตะลึงเสียจริง แม้แต่พวกเขาก็ยากที่จะรับได้
“เหตุใดจึงเป็นไปมิได้? คนอื่นทำมิได้ มิได้หมายความว่าข้าทำมิได้ จำไว้ว่าข้าคือเฟิ่งชิงเฉิน คนเดียวที่สามารถรักษาดวงตาของเจ้าได้ หากข้าพูดว่าทำได้ ก็จะต้องทำได้อย่างแน่นอน” เฟิ่งชิงเฉิน กล่าวอย่างเย่อหยิ่ง แต่สีหน้าของนางสงบอย่างมาก ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าสำหรับนางแล้วนี่เป็นเรื่องปกติ
“แต่เราไม่เข้าใจจริงๆ สามารถรักษาโรคด้วยวิธีแบบนี้ได้หรือ” หวังชีกลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง
“พวกเจ้าไม่ใช่หมอ เป็นเรื่องปกติที่พวกเจ้าไม่เข้าใจ สิ่งที่พวกเจ้าต้องรู้ก็คือแผนการรักษาของข้า สามารถทำให้คุณชายใหญ่มองเห็นได้เท่านั้น” เฟิ่งชิงเฉินมั่นใจอย่างมากในเรื่องนี้
ไม่ว่ายุคใด เหล่าตระกูลผู้สูงส่งมักจะได้รับอภิสิทธิ์ และกระจกตาก็เป็นสิ่งที่ล้ำค่าสำหรับคนธรรมดาทั่วไป แต่สำหรับตระกูลหวังแล้ว หาได้ง่ายอย่างมาก
สองพี่น้องตระกูลหวังตกตะลึงชั่วขณะหนึ่ง ทั้งคู่เงียบไปพร้อม ๆ กัน และค่อยๆ แยกแยะคำพูดของเฟิ่งชิงเฉิน หลังจากผ่านไปสิบห้านาที หวังชีจึงถามด้วยเสียงเบาๆ ว่า “กระจกตาคืออะไรรึ?”
แม้ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะพยายามพูดโดยใช้คำโบราณที่สุด แต่ก็มีบางคำที่หวังจิ่นหลิงและหวังชีไม่เข้าใจจริงๆ
“ส่วนสำคัญของดวงตาของเจ้า หากมีมันก็สามารถมองเห็นได้” เฟิ่งชิงเฉินไม่อยากอธิบายมากไป หากว่าอธิบายเยอะจะทำให้ยิ่งไม่เข้าใจ
“แล้วการปลูกถ่ายล่ะ?” เมื่อเปรียบเทียบแล้ว หวังจิ่นหลิงสนใจสองคำนี้มากกว่า
สองคำนี้ทำให้เขารู้สึกไม่ดีเท่าไหร่นัก
เฟิ่งชิงเฉินยิ้มและเอามือกอดอก นางดูเย็นชาและแปลกแยก
“การปลูกถ่ายคือการเอากระจกตาจากตาของคนอื่น มาปลูกถ่ายเข้าที่ดวงตาของเจ้า”
“ทำเช่นนี้ได้หรือ?” หวังชีตกใจ
“ข้าไม่ยอมรับ เช่นนี้อีกคนจะมองไม่เห็น” หวังจิ่นหลิงปฏิเสธโดยไม่คิด
เขาเป็นลูกชายคนโตของตระกูลหวัง อย่าว่าแต่ดวงตา แม้แต่ชีวิตคนหากเข้าอยากได้มันมีก็ง่ายอย่างมาก แต่เรื่องแบบนี้……….
จิตใจของเขาจะอยู่ไม่เป็นสุข
“แน่นอนว่าทำได้” เฟิ่งชิงเฉินตอบคำถามของหวังชีก่อน แล้วจึงพูดกับหวังจิ่นหลิงว่า “อย่ากังวลกับปัญหานี้ ข้าจะไม่เอามันมาจากคนที่ยังมีชีวิตอยู่ นี่เป็นกฎและศีลธรรมของข้าในฐานะที่เป็นหมอ
มิฉะนั้น ข้ารักษาดวงตาของเจ้าจนหายดี แต่กลับทำให้อีกคนหนึ่งตาบอด มันไม่มีความหมายกระไร ในฐานะที่เป็นหมอ มิใช่การที่นำเอาความทุกข์ของคนไข้ไปไว้ที่คนอื่น แต่เป็นการกำจัดความทุกข์ให้หมดสิ้น
เราสามารถเอากระจกตาออกมาหลังจากที่อีกฝ่ายเสียชีวิตได้ และแน่นอนหากเอาออกภายในครึ่งชั่วโมงแรกจะเป็นการดีที่สุด เรื่องนี้คนอื่นอาจทำไม่ได้ แต่ข้าคิดว่าตระกูลหวังคงทำได้ ถึงอย่างไรนักโทษประหารชีวิตมีมากมายเช่นนี้เจ้าเกลี้ยกล่อมนักโทษประหารให้เขายินยอมมอบกระจกตาให้ตระกูลหลัง มันคงไม่ยาก
กระจกตาเป็นเพียงแผ่นใสเล็กๆ ในดวงตาของเรา ซึ่งจะไม่ส่งผลต่อรูปลักษณ์ของผู้ตาย และไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายของผู้ตาย
ข้าไม่กังวลเกี่ยวกับที่มาของกระจกตา มีนักโทษประหารมากมายในราชวงศ์ตงหลิง ข้าคิดว่าด้วยความสามารถของตระกูลหวังแล้ว มันไม่ใช่ปัญหาใหญ่ที่จะหากระจกตาคู่หนึ่งจากตัวนักโทษประหารชีวิต สิ่งที่ข้ากังวลคือเจ้า เจ้าสามารถรับได้หรือไม่การที่ในดวงตาของเจ้ามีกระจกตาของผู้อื่น?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ อาจมีคนคิดว่าเฟิ่งชิงเฉินเป็นคนเลือดเย็นมาก แม้แต่คนตายก็ไม่ปล่อยไป แต่มันก็ดีกว่าการเอามาจากตัวคนที่ยังมีชีวิตอยู่
เฟิ่งชิงเฉินไม่สามารถควบคุมความเป็นความตายของนักโทษที่ถูกตัดสินโทษได้ และนางมิได้นำร่างกายของอีกฝ่ายมาทำการชันสูตรพลิกศพ นางเพียงแค่นำกระจกตาออกมาเพียงคู่เดียวเท่านั้น
สำหรับหมอแล้ว นี่เป็นเรื่องที่สร้างประโยชน์ต่อผู้อื่น ส่วนคนอื่น ๆ จะรับได้หรือไม่นั้น ไม่อยู่ในอำนาจของนาง
อย่างไรก็ตาม นางได้พูดทุกอย่างที่ควรจะพูดแล้ว นางเชื่อว่าสองพี่น้องตระกูลหวังไม่พูดออกไปอย่างแน่นอน ถึงจะพูดออกไปแล้วอย่างไร เฟิ่งชิงเฉินจะไม่ยอมรับอย่างแน่นอน
แน่นอนว่านางจะขอให้ตระกูลหวังขอความยินยอมจากผู้ตาย ส่วนตระกูลหวังจะใช้วิธีใดนั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนาง
คำขอเดียวของนางคือนางจะไม่มีวันนำกระจกตาออกมาจากคนที่ยังมีชีวิตอยู่ และไม่ลงมือกับคนบริสุทธิ์เด็ดขาด
คนที่ต้องโทษประหารไม่ใช่คนดีแน่นอน นางจึงลงมือได้
เป็นไปตามคาด คำพูดของเฟิ่งชิงเฉินทำให้หวังจิ่นหลิงครุ่นคิด
ในสายตาของเขา การเอากระจกตาของคนตายมาใส่ที่ดวงตาของเขา เขารับไม่ได้จริงๆ
“ของคนที่ยังมีชีวิตอยู่มิได้หรือ?” หวังชีรู้ว่าพี่ใหญ่กำลังคิดอะไร อย่าว่าแต่พี่ใหญ่ของเขาเลย แม้แต่เขาเองก็รับไม่ได้ ดวงตาของตนมีชิ้นส่วนคนตายติดอยู่ มันไม่เป็นมงคลอย่างมาก
หากเป็นคนที่มีชีวิตอยู่นั้นรับได้ง่ายกว่า และสามารถเลือกคนที่ตนถูกใจได้ด้วย ก็แค่ตาคู่เดียว ตระกูลหวังทำได้อยู่แล้ว
หากตระกูลหวังต้องการ ร้อยคู่พันคู่ก็ไม่ใช่ปัญหา
“ไม่ได้” เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้อธิบาย แต่ปฏิเสธอย่างหนักแน่น
นางเป็นหมอ ไม่ใช่ฆาตกร และนางจะไม่มีวันเอาอวัยวะออกจากร่างกายของคนที่ยังมีชีวิตอยู่
หลังจากที่จ้องมองที่ หวังชีแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็พูดกับหวังจิ่นหลิงอีกครั้ง ” คุณชายใหญ่ อันที่จริงเจ้าไม่ต้องใส่ใจมันมาก การที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นหลังเสียชีวิตแล้ว สำหรับเขาเป็นเรื่องที่ดี แม้ว่าข้าจะนำเอากระจกตามาจากผู้ตาย แต่ภายในครึ่งชั่วโมงนี้ กระจกตายังคงมีชีวิตอยู่ มิใช่นั้นข้าก็คงไม่ใช้มัน ใช่หรือไม่?”
“ข้าทราบดี แต่ว่า…” ยากจะยอมรับ
หวังจิ่นหลิงลังเลและครุ่นคิดอย่างหนัก!
บทที่ 043 แผนการรักษา
บทที่ 045 ปรมจารย์ผู้ลึกลับ