พระอาทิตย์ตกช้า หลายวันนี้นครเสียนหยางอยู่ในความมืดครึ้มตลอดเวลา ขังรัฐฉินที่หยาบกระด้างอยู่ในหมอกทึบ เพิ่มความนุ่มนวลเล็กน้อยจนมีกลิ่นอายที่ต่างออกไป
มีอาคารสูงอยู่ที่มุมตะวันออกเฉียงใต้ของลานน้ำพุร้อนในจวนกั๋วเว่ย ใต้อาคารสูงนั้นคือแหล่งน้ำพุร้อน ทางทิศเหนือเป็นเนินเขาเขียวชอุ่มซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามมุมหอคอยของพระราชวังเสียนหยางที่ไกลออกไป น้ำค้างยามเย็นกลางฤดูร้อนช่างเป็นทิวทัศน์ที่งดงามยิ่งนักซึ่งหาได้ยากยิ่งในระยะแปดร้อยลี้ของฉินชวน
เจ้าอี่โหลวมีเรื่องในใจ ร้อนใจเล็กน้อย ซ่งชูอีจึงขึ้นหอคอยมาชมทิวทัศน์เป็นเพื่อนเขา เดินหมาก คุยเล่น ครั้นตกกลางคืนก็ค้างแรมอยู่ที่นั่นแล้ว
ซ่งชูอีเห็นเขาหลับไปด้วยความอ่อนล้า จึงลุกขึ้นคลุมเสื้อให้เขาแล้วลงไปข้างล่างเงียบๆ
“เหตุใดท่านจึงลงมาล่ะเจ้าคะ?” หนิงยานอนอยู่ใต้หอคอย ได้ยินเสียงฝีเท้าจึงออกมาดู
“กลับไปนอน” ซ่งชูอีเอ่ยประโยคนี้แผ่วเบา จากนั้นก็ไปที่ลานด้านหน้า
แสงจันทร์สดใสดุจสายน้ำ ดุจน้ำค้างแข็ง โดยรอบสว่างไสวแม้แต่เยื่อบนใบไม้ก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
ซ่งชูอีเคลื่อนตัวไปที่ลานด้านหน้าด้วยความยากลำบาก จุดตะเกียงในห้องหนังสือแล้วเอ่ยเสียงสูง “เด็กๆ!”
ผู้คุมกันกะกลางคืนได้ยินเสียงก็เข้ามาทันที “ขอรับ!”
ซ่งชูอีก้มตัวลงไปหยิบแผ่นผ้าไหมสีขาวผืนหนึ่งขึ้นมา หยิบพู่กันเขียนลงไปสองสามประโยค ประทับตราลงไป หลังจากเป่าให้แห้งแล้วก็เก็บมันใส่กระบอกไผ่อันเล็ก “เจ้านำหนังสือของข้าออกจากนครทันที สั่งให้กู่หาน กู่จิงที่จวนเป่ยเฉิงเข้ามา”
จวนเป่ยเฉิงเป็นสถานที่แลกเปลี่ยนข่าวสาร มีผู้อารักขาลับคอยเฝ้า ว่ากันในนามแล้ว ผู้อารักขาลับรับคำสั่งจากองค์จวินโดยตรง แต่ในความเป็นจริงแล้วก็ยังอยู่ภายใต้อำนาจของกั๋วเว่ย ซ่งชูอีก็สามารถออกคำสั่งได้โดยตรงเช่นกัน
“ขอรับ!” ผู้อารักขารับคำสั่ง แล้วหยิบป้ายคำสั่งออกนอกนครจากซ่งชูอี ขี่ม้ารุดออกจากนครไปทันที
ไฟที่เพิ่งถูกจุดวูบไหว ซ่งชูอีหยิบแถบไม้ไผ่และหมุนไส้ตะเกียงเบาๆ แสงไฟก็สว่างขึ้นมาทันใด นางวางแถบไม้ไผ่ลง หยิบแถบผ้าสีเขียวมัดผมที่ปล่อยสยายของตัวเองเป็นมวยเรียบง่ายเหมือนทุกครั้ง ความอ่อนโยนหายไป ความเฉียบคมและแข็งแกร่งเข้ามาแทนที่
ขณะที่กำลังจัดการกับเอกสารราชการม้วนที่หก ก็มีเสียงฝีเท้าเร็วถี่ดังขึ้นด้านนอกเลือนราง
เสียงฝีเท้าหยุดอยู่หน้าประตู “กู่หาน กู่จิง มาตามคำสั่งขอรับ”
“เข้ามา” ซ่งชูอีวางพูดกันลง
ประตูถูกผลักออก กู่หานกับกู่จิงเข้ามา แต่งกายด้วยชุดสีดำทะมัดทะแมง บนใบหน้าไม่มีลักษณะสะลึมสะลือจากการถูกปลุกกลางดึกเลย
“นั่ง” ซ่งชีเอ่ย
ทั้งสองคนกำหมัดคารวะ “ขอบคุณกั๋วเว่ย!”
กู่จิงคุ้นเคยกับซ่งชูอีมาก ตามปกติมักจะเย้าเหย่กันไม่น้อย ทว่าซ่งชูอีส่งหนังสือของกั๋วเว่ยเพื่อขอพบกลางดึกจะต้องเป็นเรื่องสำคัญแน่ เขาไม่มีท่าทีจะเย้าเล่นเลยแม้แต่น้อย เหมือนกับผู้ใต้บังคับบัญชาทั่วไปที่รอรับคำสั่ง ส่วนซ่งชูอีเองก็แยกแยะเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวอยู่เสมอ นางหยิบไม้ไผ่ขึ้นมาม้วนหนึ่งแล้วผลักไปตรงหน้าทั้งสองคน “ใบไผ่นี้บันทึกภูมิหลังประสบการณ์และสถานการณ์ปัจจุบันของนักวิชาการท่านหนึ่ง บุคคลนี้มีชื่อว่าสวีจ่างหนิง เขาจะไปที่รัฐเว่ยในอนาคตอันใกล้นี้ กู่หาน เจ้ามีหน้าที่รับผิดชอบให้คนพาเขาเข้ารัฐเว่ยไปอย่างปลอดภัย และหาวิธีปูเส้นทางให้เขาในรัฐเว่ย ให้เขาส่งทฤษฎีกลยุทธ์ให้ถึงโต๊ะของเว่ยอ๋องอย่างราบรื่น! จากนั้นก็รับผิดชอบในการสื่อสารระหว่างเขาและข้าในภายหลัง”
“ขอรับ!” กู่หานเอ่ย
“กู่จิงรีบส่งสายลับไปสืบสถานการณ์ของจวี้จื่อในสำนักม่ออย่างลับๆ สืบให้ละเอียดที่สุดเท่าที่จะละเอียดได้” ซ่งชูอีเอ่ย
“ขอรับ!”
หลังจากสั่งงานเสร็จแล้ว ซ่งชูอีก็ถามต่อ “ช่วงนี้อาจารย์ของพวกเจ้าไปที่หุบเขาบ่อยหรือไม่?”
หลังจากซ่งชูอีรับช่วงต่อเรื่องผู้อารักขาลับนั้นจึงเขาใจว่ารัฐฉินเชิญสำนักม่อมาฝึกผู้อารักขาลับอย่างลับๆ ทว่าคนของสำนักม่อไม่ได้อยู่ในหุบเขาตลอดเวลา พวกเขาจะไปเพียงสองครั้งในทุกๆ วันที่หนึ่งและสิบห้าของทุกเดือน ระยะเวลาในการไปแต่ละครั้งก็ไม่แน่นอน และวิชาที่พวกกู่หานเรียนนั้นเข้มข้น ผู้ที่ฝึกสอนศิลปะการต่อสู้ให้พวกเขามิได้มีเพียงสำนักม่อเท่านั้น ทว่าเป็นเพราะเขาเรียนรู้วิชาดาบของสำนักม่อเป็นหลัก เขาจึงเรียกนักดาบสำนักม่อว่าเป็นอาจารย์เท่านั้น
กู่หานตอบ “ทุกอย่างเหมือนปกติ เพียงแต่ว่าเมื่อก่อนจะอยู่หนึ่งถึงสองวัน ทว่าช่วงนี้ครั้งหนึ่งก็อยู่เพียงครึ่งวันเท่านั้น”
“เยี่ยม พวกเจ้าต่างไปทำตามคำสั่งเถิด” ซ่งชูอีเอ่ย
“ขอรับ!” ทั้งสองคนตอบเป็นเสียงเดียวกัน หลังจากคำนับแล้วก็ถอยออกไปอย่างรวดเร็วแล้ว
ภายในห้องกลับสู่ความเงียบสงัด
ซ่งชูอีใคร่ครวญเรื่องสำนักม่ออย่างละเอียด
เดิมทีนางเป็นศิษย์ในของสำนักเต๋า สำนักเต๋าอยู่ใกล้กับกุ๋ยกู่มาก พวกเขาค่อนข้างเชื่อมโยงถึงกัน และนางก็เป็นแขกประจำของกุ๋ยกู่
กุ๋ยกู่ไม่เหมือนกับสำนักเต๋าที่อิสระเสรีและ “ไม่ใส่ใจเรื่องของตัวเอง” สถานที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยหนุ่มสาวที่มีความกะตือรือร้น ทั้งยังเป็นสถานที่ที่รวบรวมข่าวสารจากทั่วทุกแห่งใต้หล้า อย่าว่าแต่สถานการณ์ใหญ่ๆ เลย แม้แต่เรื่องขี้ประติ๋วหรือความลับเล็กๆ น้อย พวกเขาก็สามารถดึงออกมาได้ กุ่ยกู๋จื่อเป็นบุคคลอันดับหนึ่งที่ชอบสะสมเรื่องซุบซิบนินทาและเขาจะทุ่มเทอย่างมากในการเข้าไปตรวจสอบด้วยตัวเอง
ยกตัวอย่างเช่น ได้ยินว่าเว่ยอ๋องโปรดปรานนางสนมคนหนึ่ง สตรีผู้นี้เพราะว่ารูปลักษณ์ยั่วยวน ดวงตางดงามคู่นั้นชวนให้น่าหลงใหล ถูกตั้งชื่อว่าหูจี (นางสนมจิ้งจอก) เว่ยอ๋องภูมิใจในตัวนางมาก เรียกได้ว่าสามารถตอบสนองได้ทุกการร้องขอ กุ่ยกู๋จื่อก็จงใจปลอมตัวเป็นพ่อค้าออกอุบายไปสืบหาความจริง เพื่อยืนยันข้อเท็จจริงของเรื่องนี้
เรื่องนี้อาจฟังดูเหมือนเกินจริง ทว่าไม่ว่าเวลาสำนักพิชัยยุทธ์หรือสำนักจ้งเหิงต้องการที่จะวางแผน ข่าวสารมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง ไม่ว่าข่าวที่มีประโยชน์มากเพียงใดก็ล้วนต้องสอบถามมาจากสำนักกุ่ยกู๋
ซ่งชูอีได้รับอิทธิพลจากเรื่องนี้ ถูกเลี้ยงมาให้มีนิสัยชอบสืบข่าวตั้งแต่ยังเด็ก ด้วยเหตุนี้จึงเข้าใจเรื่องระหว่างจีเจ่อและฉู่เจาเสี่ยนเป็นอย่างดี
ฉู่เจาเสี่ยนเก่งกาจจนน่าทึ่ง หน้าตางดงามอ่อนช้อยราวกับดอกบงกช ทำให้จีเจ่อที่แก่กว่านางถึงยี่สิบปีชื่นชมเป็นอย่างมาก ฉู่เจาเสี่ยนก็ดูมีใจให้เขาเช่นกัน
อย่างไรก็ดีจีเจ่อมีภรรยาและมีลูกมาก่อนแล้ว เขาปล่อยนางไปไม่ได้ นางก็ไม่ยอมเป็นภรรยาน้อย เวลาไม่เหมาะสม ทั้งสองคนจึงตัดความสัมพันธ์เสีย นับแต่นั้นมานอกเหนือจากการพบหน้ากันระหว่างการหารือทฤษฎีในสำนักม่อ เวลาที่เจอกันเป็นการส่วนตัวก็ถอยห่างกันถึงสามจั้ง
โชคดีที่ฉู่เจาเสี่ยนมีวิสัยทัศน์ชัดเจน ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องส่วนตัว นางต่อสู้เพื่อยุติสงครามใต้หล้า มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับสาระสำคัญของสำนักม่อ ทั้งยังมีส่วนร่วมอย่างมาก ด้วยเหตุนี้จึงถูกเรียกว่าเป็น “เสียนจื่อ” ในวัยสามสิบ
ด้วยอดีตเช่นนี้ บวกกับความขัดแย้งทั้งสองฝ่ายของสำนักม่อ ซ่งชูอีก็พอจะคาดเดาสาเหตุที่จีเจ่อมาแวะคารวะนางได้…เพื่อแสวงหาการสนับสนุนจากภายนอกเพื่อให้ฉู่เจาเสี่ยนได้เป็นจวี้จื่อ
นางพ่นลมหายใจออกช้าๆ พยุงโต๊ะเพื่อลุกขึ้น สอดมือเข้าไปในแขนเสื้อ ยืนพิงหน้าต่างมองดอกไม้ที่ผลิบานในแสงจันทร์พร้อมขมวดคิ้วล้ำลึก
ว่ากันด้วยเรื่องส่วนตัวแล้ว ฉู่เจาเสี่ยนเป็นอาจารย์ของเจ้าอี่โหลว ด้วยความสัมพันธ์นี้ นางแอบส่งเสริมให้ฉู่เจาเสี่ยนได้กลายเป็นจวี้จื่อ ทั้งยังมีข้อดีบางประการ ทว่านับตั้งแต่นางรับช่วงต่อผู้อารักขาลับก็เคยสืบข่าวอย่างละเอียด ปรมาจารย์ดาบที่ฝึกสอนผู้อารักขาลับล้วนเป็นศิษย์ของจวี้จื่อทั้งสิ้น และยังเป็นศิษย์ผู้น้องของชวีกู้อีกด้วย
เป็นไปไม่ได้ที่อิ๋งซื่อจะไม่รู้สถานการณ์ภายในของสำนักม่อเลย
ในเมื่อรู้แล้วยังใช้งานเช่นนี้ เป็นเพราะอะไรกัน?
หากคิดจากมุมมองของหลักคำสอนสำนักม่อแล้ว ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้เลยที่แอบช่วยเหลือรัฐอื่นในการฝึกผู้อารักขาลับ เช่นนั้นอิ๋งซื่อใช้เงื่อนไขในการสนับสนุนชวีกู้เป็นข้อแลกเปลี่ยน?
ซ่งชูอีเห็นว่ามันเป็นไปได้ที่สุด
หากเป็นเช่นนี้จริงๆ นางก็ไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายเรื่องของสำนักม่อได้แล้ว…
“หวยจิน”
ซ่งชูอีหันไปก็เห็นเจ้าอี่โหลวในเสื้อคลุมขาวยืนอยู่ที่หน้าประตู แสงจันทร์สาดส่องมาจากด้านหลัง ทำให้โครงร่างที่แข็งแรงของเขาชัดเจน ทว่ากลับมองเห็นใบหน้าหล่อเหลาไร้ริ้วรอยของเขาไม่ถนัด
“เหตุใดถึงตื่นซะล่ะ?” ปมระหว่างคิ้วของซ่งชูอีค่อยๆ คลายลง
“ข้าได้ยินหมดแล้ว” เสียงของเจ้าอี่โหลวสำลักเล็กน้อย เขาเข้าใจดี หากไม่ใช่เพราะเขา ซ่งชูอีก็คงไม่ทุ่มเทกับการสืบสวนสำนักม่อเช่นนี้ เนื่องจากแม้ว่าสำนักม่อจะเป็นสำนักกระแสหลัก แต่อิทธิพลที่มีต่อสถานการณ์ทางการเมืองนั้นน้อยมาก นอกเหนือจากเหตุผลที่ว่าความบาปตามธรรมชาติของมนุษย์ที่ถูกเปิดโปงมีมากขึ้นทุกทีแล้วความสัมพันธ์ภายในกับสำนักม่อเพียงไม่กี่ครั้งก็ดียิ่ง
ซ่งชูอีจิ๊ปากเอ่ย “ดักฟังความลับคนอื่นยังกล่าวอย่างตรงไปตรงมา เย่อหยิ่ง บ้าอำนาจ”
เจ้าอี่โหลวรู้สึกหวั่นไหวด้วยการถากถางของนาง เบือนหน้าพ่นลมหายใจออกทางจมูก “บ้าอำนาจมากอยู่เสมอ”
ซ่งชูอีหลุดขำ จากนั้นก็เอ่ยถาม “อี่โหลว หากอาจารย์ของเจ้าตกอยู่ในอันตราย เจ้าจะทำอย่างไร?”