บทที่ 279 แสงจันทร์เข้าตา

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

“จะช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถ” เจ้าอี่โหลวตอบโดยไม่ต้องคิด

แววตาของซ่งชูอีซับซ้อน “มีเรื่องมากมายในโลกใบนี้พูดง่ายทำยาก สำหรับอาจารย์ของเจ้าแล้ว เช้าเข้าใจเต๋าเย็นก็สามารถตายได้อย่างสุขใจ ชีวิตไม่ได้มีความสำคัญเพียงนั้น หากเจ้าอยากช่วยนาง จงหาทางช่วยนางแทนที่จะช่วยชีวิตนาง”

เจ้าอี่โหลวเงียบงัน เขาเข้าใจว่าทุกอย่างที่ซ่งชูอีกล่าวล้วนเป็นความจริง อาจารย์เป็นปรมาจารย์ดาบผู้มากความสามารถแห่งสำนักม่อ สามารถรับตำแหน่งนายพลในกองทัพได้ การป้องกันตัวเองก็เกินพอแล้ว เหตุใดถึงต้องให้เขาปกป้องด้วย?

น้ำเสียงของเขาขมขื่นเล็กน้อย “เจ้าก็เป็นเช่นนี้รึ?”

ซ่งชูอีคิดไม่ถึงว่าจู่ๆ เขาจะถามเช่นนี้ อึ้งไปชั่วขณะ

เจ้าอี่โหลวเหลือบตาขึ้นจ้องมองนาง การแสดงออกเช่นนั้น เห็นได้ชัดว่าหากไม่ได้คำตอบก็จะไม่หยุด

“ใช่” ซ่งชูอีตอบตามความจริง

แสงจันทร์ดุจสายน้ำ ทันใดนั้นชั้นหมอกทำให้ดวงตาของเจ้าอี่โหลวขุ่นมัว เขาไม่เคยหลั่งน้ำตาไม่ว่าชีวิตจะยากลำบากแค่ไหน บัดนี้ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงอยากหลั่งน้ำตาให้กับเรื่องนี้ มีแมลงวันและสุนัขจรจัดจำนวนมากในโลกนี้ที่พยายามเอาชีวิตรอด เขายังเคยเห็นผู้หญิงหลายคนที่ตีหน้าประจบสอพลอเพื่อรักษาชีวิตและแสวงหาความมั่งคั่ง เหตุใดเขาจึงผูกพันกับชีวิตและความตายที่ไม่น่าแยแสมากที่สุด?

“จิ๊ เจ้ารักนางเพียงนั้นเชียวหรือ?” ซ่งชูอีซับน้ำตาของเขาแผ่วเบา ปากกลับตำหนิต่อ “ข้าเคยคิดเส้นทางสำรองอย่างจริงจัง หากไม่เกิดอุบัติเหตุตายไปเสียก่อน ข้าเคยบอกว่าจะอยู่ด้วยกันอย่างสันโดษกับเจ้า มารดาเจ้าเถอะเห็นคำพูดของข้าเป็นเรื่องไร้สาระหรืออย่างไร!”

เจ้าอี่โหลวปัดมือของนาง เอ่ยด้วยสีหน้าบูดบึ้ง “เพราะว่าแสงจันทร์เข้าตา เจ้าอย่าหลงตัวเองไปหน่อยเลย!”

“เอ๊ะ ข้ายังนึกว่าแมลงเข้าตาเสียอีก ที่แท้ก็แสงจันทร์เข้าตานี่เอง” ซ่งชูอีเอ่ยเย้ยอย่างไม่ใส่ใจ ในฤดูนี้แมลงเยอะมาก หาข้อแก้ตัวได้ทั้งที ใครจะรู้ว่านางจะตะลึงงันจนต้องหาตัวเลือกอื่นมาให้

“กลับไปนอน!” เจ้าอี่โหลวกลับหลังหัน นั่งยองลงตรงหน้านาง

ซ่งชูอีปีนขึ้นไปอย่างเกียจคร้าน วางคางบนไหล่ที่กว้างและหนาของเขา เอ่ยต่อว่า “แสงจันทร์เข้าเฉพาะตาคนงามหรือเปล่า เหตุใดจึงไม่เข้าตาข้าบ้างล่ะ?”

ครั้นถูกนางกัดไม่ปล่อย ใบหน้าของเจ้าอี่โหลวแดงก่ำ เส้นเอ็นบนหน้าผากเต้นตุบ พูดอย่างโกรธๆ ว่า “ซ่งหวยจิน! เชื่อหรือไม่ว่าข้าโยนเจ้าลงไปได้”

“ฮาฮา เชื่อ! เชื่อ” ซ่งชูอีเห็นว่าล้อมาพอควรแล้วจึงหยุด

แสงจันทร์ลอยตัวสูง ราตรีในเสียนหยางล้ำลึก

เช้าวันต่อมา จีเจ่อก็มาแวะคารวะด้วยตัวเอง

หลังจากทักทายกันสองสามคำ ทั้งสองคนก็ไปนั่งที่ห้องโถงหลัก ซ่งชูอีได้ยินเกี่ยวกับจีเจ่อและฉู่เจาเสี่ยนมาแล้ว มีคาวมอยากรู้อยากเห็นในตัวเขาเล็กน้อย ครั้งนี้ได้เห็นเขา แน่นอนว่าต้องมองให้นานหน่อย นางสำรวจเขาอย่างละเอียดด้วยความแนบเนียน เห็นผมและเคราของเขาขาวดุจน้ำค้างแข็ง ทว่าใบหน้ากลับมีลักษณะราวคนอายุสี่สิบกว่าปี สวมชุดผ้าใยกัญชง บุคลิกสง่างาม ดูไม่เหมือนชายชราวัยหกสิบเลย

“อาจารย์ดีหายากยิ่ง ผู้กล้าหลีค่อนข้างต้องตาซ่งเจียน ข้าน้อยเพียงแค่เติมเต็มโชคชะตาแห่งศิษย์อาจารย์ของพวกเขา หากเรื่องนี้ข้าน้อยทำผิด ท่านอาวุโสได้โปรดยกโทษให้ด้วย” ซ่งชูอีหยุดเดิน สะบัดแขนเสื้อแล้วโค้งคำนับต่ำให้จีเจ่อ

“มิบังอาจ” จีเจ่อยื่นสองมือประคองซ่งชูอี จนกระทั่งเจ้าอี่โหลวมาประคองนางต่อจึงกล่าวว่า “เรื่องของซ่งเจียนนั้นข้ารู้แล้ว ชะตากรรมของอาจารย์และศิษย์ไม่อาจบังคับได้ ซ่งจื่อไม่ควรขอขมาในขณะที่บาดเจ็บ รีบนั่งเถิด”

“ขอบคุณท่านอาวุโสที่เข้าใจในความชอบธรรม” ซ่งชูอีคำนับอีกครั้งก่อนที่จะกลับไปนั่ง

จีเจ่อกล่าว “หลายเดือนก่อน ข้าผู้อาวุโสมีวาสนาได้อ่าน “ทฤษฎีโค่นรัฐ” ของซ่งจื่อ”

ซ่งชูอีเอ่ยอย่างถ่อมตัว “คำพูดของข้าน้อย ทำให้ท่านอาวุโสขบขันแล้ว”

จีเจ่อประหลาดใจเล็กน้อยต่อปฏิกิริยาของซ่งชูอี เขาสามารถรับรู้ถึงอารมณ์ที่ไร้ข้อจำกัดของนางได้จาก “ทฤษฎีโค่นรัฐ” ฉบับที่ส่งมาจากเสียนหยาง และคิดว่านางเป็นบุคคลประเภทเดียวกับจวงจื่อ คิดไม่ถึงว่านางจะมีความฉลาดทางโลกเพียงนี้ ทว่าเมื่อคิดดูแล้ว หากนิสัยของนางเป็นเหมือนจวงจื่อจริงๆ ก็คงหลบหนีทางโลกไปนานแล้ว จะเข้ารัฐฉินมาเป็นขุนนางได้อย่างไรกัน!

เมื่อคิดถึงตรงนี้ จีเจ่อก็รู้สึกโล่งใจ “ซ่งจื่อถ่อมตัวเกินไปแล้ว ข้าผู้อาวุโสกลับรู้แจ้งหลังจากได้อ่าน แนวคิดหลายอย่างของซ่งจื่อสอดคล้องกับสำนักม่อโดยบังเอิญ ข้าผู้อาวุโสชื่นชมท่านยิ่งนัก วันนี้ที่ข้ามาก็เพื่อมาแสวงหาความสงบสุขตามที่ซ่งจื่อเขียนไว้ในบทสุดท้ายของ “ทฤษฎีโค่นรัฐ””

“อ๋อ?” ร่างของซ่งชูอีไหวเอนเล็กน้อย ทำทีเหมือนตั้งใจฟังเป็นอย่างมาก “ท่านผู้อาวุโสเชิญกล่าว”

“โลกสงบสุขที่ซ่งจื่อแสวงหา อาจกล่าวได้ว่าเป็นความหมายสูงสุดของการดำรงอยู่ของร้อยสำนักเมธี และเป็นเป้าหมายที่สำนักม่อพยายามอย่างหนักเพื่อให้บรรลุ ร้อยสำนักเมธีก้าวไปข้างหน้า ด้วยเหตุนี้จึงไม่ลังเลที่จะทุ่มเททั้งชีวิต อย่างไรก็ดีเส้นทางของจวงจื่อคือการตัดขาดทางโลก รักในสันโดษ มีพรสวรรค์ที่ซ่อนเร้นจากทางโลก ทำให้ข้ารู้สึกเสียดายอย่างสุดซึ้ง บัดนี้หาซ่งจื่อสามารถเข้าร่วมได้อย่างเป็นทางการ จะเป็นที่น่ายินดียิ่งนัก”

“ท่านอาวุโสชมเกินไปแล้ว” ซ่งชูอียิ้มน้อยๆ แม้ว่าจวงจื่อจะเป็นคนเฉยชาและหลีกเลี่ยงทางโลก แต่คำพูดของจีเจ่อก็ไม่ได้สร้างความเสื่อมเสีย แต่นางก็ฟังแล้วก็ยังไม่รู้สึกสบายใจนัก หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้าของเจ้าอี่โหลว นางอาจจะหลีกเลี่ยงความไร้สาระด้วยซ้ำ

จีเจ่อสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยบนสีหน้าของซ่งชูอี ในใจอดที่จะรู้สึกไม่ได้ที่จะรู้สึกเฉยชาลง หากซ่งชูอีไม่มีความกล้าหาญมากพอ ก็ไม่เหมาะสมที่จะเข้าร่วมกับสำนักม่อ ดังนั้นจึงนิ่งไปเล็กน้อยก่อนที่จะเข้าเรื่องโดยตรง “ข้าผู้อาวุโสเห็นว่าซ่งจื่อเป็นคนในเส้นทางเดียวกัน ดังนั้นการมาที่นี่ มีเรื่องหนึ่งจะขอให้ช่วย”

ได้ยินดังนี้เจ้าอี่โหลวก็เม้มปาก…เกรงว่า นางจะทายจุดประสงค์การมาของอาจารย์ลุงได้ถูกจริงๆ!

“ท่านผู้อาวุโสกล่าวมาเถิด” ซ่งชูอีเอ่ย

ภายในห้องไม่มีเด็กรับใช้ จีเจ่อไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อม “ซ่งจื่อคงเคยได้ยินเกี่ยวกับสถานการณ์ในสำนักของข้าแล้ว จวี้จื่อสุขภาพไม่ดี ผู้ที่อยากได้ตำแหน่งจวี้จวื่อก็พร้อมที่จะเคลื่อนไหว ชวีกู้บุคคลนี้ มีความสามารถอยู่บ้าง ทว่าสุดโต่งเกินไป ในโลกแห่งความวุ่ยวาย สำนักม่อเลือกใช้ความรุนแรงสยบความรุนแรงเพราะถูกบีบให้จนปัญญา ทว่าเขากลับเสพติดมัน  หากปล่อยให้บุคคลนี้อยู่ในอำนาจ มันจะเป็นอันตรายอย่างแท้จริง ข้าผู้อาวุโสต้องการขอให้ซ่งจื่อเข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้ในฐานะราษฎรของรัฐต่างๆ”

มีผู้คนมากมายที่ต้องการมีส่วนร่วมในสำนักม่อ หากวันนี้จีเจ่อไปร้องขอองค์จวินจากหนึ่งในเจ็ดมหานครรัฐก็จะไม่มีใครปฏิเสธอย่างแน่นอน ทว่าเขามีความคิดเป็นของตัวเอง เชิญเทพเข้ามานั้นง่ายส่งเทพออกไปนั้นยาก หากองค์จวินกำลังรอโอกาสที่จะควบคุมสำนักม่อมันจะเป็นผลเสียมากกว่าประโยชน์

สำนักม่อก็คือสำนักม่อแห่งใต้หล้า ไม่ใช่สำนักม่อที่ไหน

และนี่คือสาเหตุที่จีเจ่อมาหาซ่งชูอี เหตุผลที่เขากล่าวมานั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ที่สำคัญกว่าก็คือ นางเป็นขุนนางที่มีอำนาจใหม่ของรัฐฉิน ไร้รากฐานมั่นคง ไม่มีอำนาจของตระกูลใหญ่ นอกจากนี้ยังมีข่าวมาจากหน่วยสอดแนมของสำนักม่อในปาสู่ ว่านางกับเจ้าอี่โหลวมีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น…

ซ่งชูอีก้มศีรษะลงมองเงาของถ้วยชาที่อยู่ในมือ ใช้นิ้วถูขอบถ้วยเบาๆ

ภายในห้องเงียบสงัด

จีเจ่อเห็นว่านางดูเหมือนกำลังพิจารณาก็มิได้เอ่ยปากรบกวน เขามาที่เสียนหยางในครั้งนี้ ก็เพื่อยับยั้งอำนาจของชวีกู้เป็นหลัก แม้ว่าสำนักม่อจะตกอยู่ในความสับสนวุ่นวายแต่ก็ไม่มีการแบ่งแยกอย่างแท้จริง เขายังสามารถเอาตัวรอดจากสำนักม่อได้ ประการที่สองคือการดึงกำลังจากภายนอก เขาจะไม่ฝากความหวังไว้กับใคร ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าภารกิจจะสำเร็จหรือไม่ ผลกระทบก็ไม่ใหญ่นัก

“เรื่องนี้สำคัญมาก ท่านผู้อาวุโสขอเวลาให้ข้าคิดสักสองสามวันได้หรือไม่?” เดิมทีซ่งชูอีต้องการปฏิเสธ คำพูดนี้เป็นเพียงข้ออ้างเพื่อไว้หน้ากันและกัน

“เพราะว่าคำขอร้องของข้าผู้อาวุโสกะทันหันเกินไป ซ่งจื่อค่อยๆ พิจารณาเถิด ข้าผู้อาวุโสจะรอข่าวอยู่ในเสียนหยาง” จีเจ่อพูดพลางลุกขึ้นช้าๆ “เรื่องมีเท่านี้ ข้าผู้อาวุโสยังมีธุระ ไม่รบกวนซ่งจื่อแล้ว”

“ท่านเจ้าคะ!”

เขาเพิ่งจะสิ้นวาจา พลันได้ยินหนิงยาหยุดอยู่หน้าประตูด้วยความรีบร้อน ก้มศีรษะลง “มีคำสั่งฉุกเฉิน เชิญให้ท่านแม่ทัพกลับค่ายโดยด่วนเจ้าค่ะ!”

สีหน้าเจ้าอี่โหลวเย็นชาลงเล็กน้อย พูดกับจีเจ่อ “อาจารย์ลุง ข้ามีภารกิจทางทหารติดตัว ไม่สามารถคุ้มกันท่านกลับสาขาสำนักม่อด้วยตัวเอง ได้โปรดให้อภัย”

“เรื่องของรัฐสำคัญกว่า” จีเจ่อกล่าว

เจ้าอี่โหลวคำนับ หันมาพูดกับซ่งชูอีเสียงเบา “ข้าไปก่อนแล้ว”

“อืม” ซ่งชูอีพยักหน้า

เจ้าอี่โหลวจากไป ซ่งชูอีตั้งใจที่จะส่งจีเจ่อออกไปด้วยตนเอง แต่เพราะเขายืนกรานปฏิเสธ นางจึงส่งแค่กลางลานแล้วหันหลังกลับ

นั่งอยู่ในศาลาครู่หนึ่ง เห็นเจ้าอี่โหลวก้าวเท้ายาวๆ ออกมาจากลานด้านใน บัดนี้เขาสวมชุดเกราะสีดำแล้ว แสงเย็นส่องแสงภายใต้ดวงอาทิตย์แผดจ้า ผมสีดำถูกมัดขึ้นอย่างเรียบร้อย ใบหน้าหล่อเหลา คิ้วทั้งสองข้างชี้เข้าไปในขมับ มีลมหายใจโหดร้ายแอบซ่อนอยู่ในนั้น