Ep.320 เริ่มสงคราม

พลบค่ำ มีเสียงเกือกเท้าม้าวิ่งไปมานอกเมือง ท่ามกลางควันโขมงทหารม้าจำนวนมากปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับธงของทหารอาสา กลุ่มทหารเกราะแดงเข้มหยุดห่างจากเมืองหลันเยี่ยนหนึ่งกิโลเมตร ทั้งหมดรวมตัวกันโดยให้ทหารม้าอยู่แนวหน้าและทหารราบอยู่กองหลัง ก่อนจะจุดคบเพลิงขึ้นเป็นทอดๆ

ไม่นานนักท้องฟ้าก็มืดลงเข้าสู่ช่วงเวลายามราตรี คบเพลิงด้านนอกเมืองแผ่กระจายมาจากป่าล่ามังกรราวกับทะเลเพลิง กองกำลังอันมากล้นนี้น่าสะพรึงกลัวอย่างมาก

“แม่เจ้า…” จางเหว่ยรู้สึกชาไปทั้งตัว “ผู้หญิงจากหลิงหนานสามารถคลอดปีศาจออกมาได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ ให้ตาย…ข้าต้องใช้เวลาเท่าไรจึงจะตัดหัวพวกมันหมด”

เว่ยโฉวขมวดคิ้ว “พวกมันยังไม่โจมตีมา รออะไรอยู่กันแน่?”

“รอกองทัพหลัก” เฟิงจี้สิงกล่าว “การเคลื่อนย้ายบันไดและเครื่องยิ่งหินนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างน้อยคงใช้เวลาทั้งคืนกว่าจะมาถึง พวกมันจึงต้องรอ…เพราะคงเป็นเรื่องยากหากจะบุกคืนนี้”

“เหตุใดจึงยากหรือขอรับ?” จางเหว่ยถาม

เฟิงจี้สิงยิ้ม “หลงเซียนหลินเป็นอดีตผู้บัญชาการทหาร เขาคุ้นเคยกับกลยุทธ์ทำศึกเป็นอย่างดี เขาจึงรู้ว่าหัวใจสำคัญของศึกนี้คืออะไร คอยดูเถิด…ไม่นานเจ้าจะรู้เอง”

“ขอรับ”

คบเพลิงถูกนำขึ้นไปจุดบนกำแพงเมือง มันดูสวยงามเมื่อถูกเรียงเป็นแนวเดียวกัน

ไม่นาน คนของหลิงนานก็เริ่มแตกตัวออกมา ชายร่างผอมที่เป็นราชทูตถือธงขาวเดินมาที่เมืองพร้อมกับหัวเราะลั่น “แม่ทัพหลงเซียนหลินแห่งหลิงหนานนำทัพหนึ่งแสนกองแรกมายังเมืองหลวงเพื่อมอบของขวัญแสดงความยินดีกับจักรวรรดิ หวังว่าแม่ทัพทั้งหลายจะยอมรับด้วยความกรุณา”

ขณะกำลังพูดอยู่ ราชทูตก็โบกธงขาว ทันใดนั้นทหารม้าหนึ่งร้อยนายควบม้าเข้าประชิดเมือง ก่อนจะโยนของสีดำบางอย่างไปทั่วและหันม้าควบกลับเข้าแถว

“มันคือสิ่งใด?” จางเหว่ยสงสัย

เฟิงจี้สิงเพ่งมองจากระยะไกลก่อนทั้งร่างเขาจะสั่นเทิ้ม “มันคือธงรบ…”

“ธงรบอะไร?” หลินมู่อวี่ชะงัก

เฟิงจี้สิงกัดฟัน “ธงรบของกองทัพเทียนฉงและหลงฉวน พระเจ้า…ธงรบกว่าพันผืนของกองทัพที่ฝ่าบาทนำไปมณฑลเทียนชู่…ถูกกำจัดจนสิ้นแล้ว”

“อะไรนะ…”

หลินมู่อวี่รู้สึกราวกับถูกมีดทิ่มแทงอก เขาหวังว่าฉินจิ้นจะนำทัพกลับมาได้อย่างปลอดภัย ทว่ากลายเป็นข่าวร้ายเสียนี่

เว่ยโฉวคำนับ “หมายถึง…นี่คือธงรบที่กองทัพจักรวรรดิเคยใช้สร้างขวัญกำลังใจใช่หรือไม่?”

หลินมู่อวี่กล่าวด้วยสายตาอันเยือกเย็น “ยิงพลุไฟเผาธงพวกนี้เสีย”

“ขอรับ…”

“ฟิ้ว!” พลุไฟถูกยิงไปยังธงรบเบื้องจนติดไฟอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเศษผ้าทั้งหมดก็ถูกเผาจนเป็นธุลี เสียงหัวเราอย่างบ้าคลั่งของพวกทหารอาสาดังขึ้น ถึงกระนั้นพวกมันก็ยังไม่ยอมโจมตี เสียงกลองศึกจากทางเหนือดังสนั่น ตามมาด้วยกองทัพจำนวนหนึ่งซึ่งเป็นทัพของจื่อเย่า

แม่ทัพจื่อเย่าในชุดขาวปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางพลโล่

จื่อเย่าหัวเราะอย่างเย้ยหยัน “ใครเป็นคนเฝ้าประตูทางเหนือ จงออกมาคุยกับข้า…”

เฟิงจี้สิงกระชับดาบในมือพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “โอ้ แม่ทัพจื่อเย่าเองหรือ?”

“เจ้าเองรึ…เฟิงจี้สิง?”

จื่อเย่าเงยหน้ามองบนกำแพงเมือง “ข้าคิดว่าพวกเจ้าคงได้เห็นแล้วว่ากองทัพเทียนฉงและหลงฉวนถูกกำจัดสิ้น รวมไปถึงมณฑลดารา มณฑลชางหนาน มณฑลหลิงตง และมณฑลเทียนชู่ต่างก็ถูกพวกข้าพิชิตหมดแล้ว แปดมณฑลจากสิบสองอยู่ในกำมือพวกข้า รู้เช่นนี้แล้วยังจะรออะไรอยู่เล่า? เปิดประตูเมืองและให้เหล่าทหารของข้าเข้าไปเสีย จื่อเย่าผู้นี้จะเข้าไปยืนแทนที่พวกเจ้าเอง ว่าอย่างไรเหล่าแม่ทัพแห่งจักรวรรดิ?”

เฟิงจี้สิงหัวเราะลั่น “ในบรรดาแม่ทัพแห่งจักรวรรดิทั้งเจ็ด ข้าอยู่อันดับสามส่วนเจ้าอยู่อันดับหก จากทั้งหลิงหนานหานายพลได้กระจอกเท่านี้เองหรือ? ฮ่าๆๆ จื่อเย่า หากเจ้าอยากทำศึกก็เชิญบุกเข้ามาได้เลย เฟิงจี้สิงผู้นี้กำลังรอเศษสวะอย่างพวกเจ้าอยู่เลยล่ะ…”

“ช่างดื้อด้านเสียจริง”

จื่อเย่ากระแอมพลางชักดาบชี้ขึ้นไปบนกำแพงเมือง “ข้าขอประกาศว่า…หากเมืองหลันเยี่ยนยังยืนกรานต่อต้าน จื่อเย่าผู้นี้จะทำการบุกเมืองและสังหารพวกขี้ข้าจักรวรรดิเสียให้สิ้น…สัตว์เลี้ยงอย่างพวกเจ้าจงฟังข้าให้ดี อาณาจักรนี้จะตำทำตามบัญชาสวรรค์และเอาชนะใจประชาชนด้วยความเที่ยงธรรมโดยการโค่นล้มระบอบกษัตริย์เสีย หากพวกเจ้ายังดื้อด้าน สิ่งเดียวที่จะได้รับคือจุดจบอันน่าสมเพช ก่อนรุ่งสางเช้าวันถัดไป จงเปิดประตูเมืองและยกเมืองให้พวกข้าเสีย แล้วข้าจะไม่กล่าวโทษ หรือมิเช่นนั้นก็รอดูการสังหารหมู่ได้เลย…”

จื่อเย่าควบม้าเดินกลับไป ปล่อยให้เหล่าแม่ทัพบนกำแพงตกตะลึงไปตามกัน

จางเหว่ยกัดฟัน “ข้าไปเป็นสัตว์เลี้ยงของจักรวรรดิตั้งแต่เมื่อไร?”

หลัวเลี่ยเอ่ยถาม “ผู้บัญชาการ เราจะทำอย่างไรต่อไปดีขอรับ?”

“จะทำอะไรเสียอีกล่ะ?”

เฟิงจี้สิงยิ้มมุมปาก “ทุกคนจงเตรียมพร้อมรับศึกในวันพรุ่งนี้ ทันทีที่รุ่งสางการรบจะเริ่มขึ้น”

“ขอรับ…”

ดูเหมือนฝ่ายศัตรูจะไม่ยอมให้แนวป้องกันเมืองหลันเยี่ยนได้พักผ่อน ด้วยเสียงโห่ร้องของทหารอาสาที่โบกธงไปมาและกลองรบที่รัวลั่นตลอดทั้งคืน

กระทั่งรุ่งสาง แสงอาทิตย์สีแดงเดือดทะลุผ่านเมฆหนาสะท้อนกับกำแพงเมืองหลันเยี่ยน หลินมู่อวี่ลืมตาด้วยความสิ้นหวัง “สงครามเริ่มแล้ว…”

“ตู้ม…”

ทันใดนั้นก็มีเสียงสั่นสะเทือนดังขึ้นที่กำแพงจากการโดนลูกหินพุ่งเข้าชน ผนังหนาราวสามเมตรสั่นไหว แม้กำแพงเมืองหลันเยี่ยนจะหนา ทว่าหากถูกโจมตีเช่นนี้ต่อไปคงทนได้ไม่นาน

“ปัง…ปัง…ปัง…”

เสียงกลองรัวลั่นไม่หยุดยั้ง มีรถบันไดนับพันเต็มสนามรบพร้อมทหารถือโล่หนักคอยคุ้มกันอยู่มุ่งตรงไปยังเมืองหลันเยี่ยนอย่างช้าๆ จักรวรรดิไม่ได้เผชิญสถานการณ์เช่นนี้มานานแล้ว กองทัพองครักษ์และกองทัพเขาเหินเตรียมพร้อมรบด้วยขบวนทัพขนาดมหึมา กลุ่มศัตรูเบื้องล่างกำแพงจะไปเอาชนะเหล่าทหารกล้าได้อย่างไร?

หลงเซียนหลินในชุดเกราะเงินยืนอยู่ใต้กำแพงเมืองพร้อมกับหอกในมือ “ล้อมเข้ามา…ใครก็ตามที่สามารถปีนถึงด้านบนได้คนแรก จะได้รับรางวัลหนึ่งแสนเหรียญพร้อมกับตำแหน่งขุนนาง!”

“เสียงนี้ต้องเป็นหลงเซียนหลินแน่นอน…” หลินมู่อวี่มองด้วยสายตาเยือกเย็น

เฟิงจี้สิงยิ้มมุมปาก “เสียใจหรือไม่ที่ปล่อยมันไป?”

หลินมู่อวี่ยิ้ม “มีสิ่งใดให้เสียใจ? ไม่ใช่เพราะฝ่าบาทไปสังหารครอบครัวหลงเซียนหลินหรอกหรือเขาจึงได้โกรธเช่นนี้?”

เฟิงจี้สิงชะงักกับคำพูดของหลินมู่อวี่พลางตบบ่าและกล่าว “เตรียมตัวจัดการกับข้าศึกเถิด…”

“พลธนู เล็งคนเคลื่อนรถบันได!” เว่ยโฉวง้างคันศรกลืนปีศาจจากบนกำแพง “ฉึก!” ลูกธนูถูกปล่อย คนเคลื่อนรถบันไดล้มลงทันที

กระทั่งรถบันไดเข้ามาในระยะเกือบหมด ฝนธนูก็ถูกยิงจากเมืองหลันเยี่ยน “ฉึกๆๆ” ฝนเหล็กแหลมทะลวงร่างทหารอาสาคนแล้วคนเล่าคนกลุ่มใหญ่ล้มตายในพริบตา ทว่ารถบันไดยังคงถูกเคลื่อนเข้าหาเมืองอย่างไม่ลดละ

“ปล่อยหินกลิ้งขวางทางรถบันได!” เฟิงจี้สิงสั่งการ

ไม่กี่นาทีต่อมา หินนับพันก้อนก็ถูกโยนลงจากกำแพงกลิ้งใส่รถบันได ทหารอาสาต่างพากันยกโล่ขึ้นมาป้องกัน ทว่าทัพหินกลิ้งยังไม่หยุดเพียงเท่านั้น มันถูกโยนลงไปอีกระลอก กระทั่งพื้นราบเต็มไปด้วยคราบเลือด

ด้วยระยะไกลกว่าสองร้อยเมตรทำให้การโจมตีของมีดเสียงปีศาจไปไม่ถึง หลินมู่อวี่จึงเปลี่ยนมาใช้ธนูแทน นายทหารคนหนึ่งถูกยิงตายในดอกเดียว แม้ธนูจะเป็นอาวุธที่ไม่แข็งแกร่งมาก ทว่ามันก็รุนแรงและรวดเร็ว ฆ่าทหารได้นับสิบในครึ่งชั่วโมง โชคดีที่มีการเตรียมการมาอย่างดี ด้วยจำนวนลูกธนูมหาศาลทำให้เมืองหลันเยี่ยนต้านการรุกรานได้นานพอ

ทันใดนั้น บันไดหลังหนึ่งก็เข้าประชิดกำแพงเมืองจนได้ ทหารอาสาต่างจับดาบกรูขึ้นกำแพงอย่างรวดเร็ว

หลินมู่อวี่ชักกระบี่ยาวออกมา คมกระบี่สะท้อนแสงเจิดจ้าฟาดฟันแขนบรรดาทหารกล้าที่ปีนมาถึง ส่วนทหารคนอื่นๆ ก็ถูกพลธนูยิงจนกลายเป็นเม่น มีคนอีกมากมายที่คอยคุ้มกันกำแพงอยู่และอยากใช้กำลังเข้าสู้ เมืองนี้จึงต้องเข้าสู่สมรภูมิเลือดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

หลังการกระหน่ำโจมตีได้สองชั่วโมง ดูเหมือนทหารอาสาจะรู้แล้วว่าเป็นการกระทำที่ไร้ความหมายเพราะไม่สามารถเจาะผ่านกำแพงเมืองได้ กระทั่งเสียงแตรดังขึ้นจึงถอยทัพกลับอย่างรวดเร็วราวกับคลื่นน้ำ

ทหารฝั่งหลันเยี่ยนจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก จางเหว่ยถือดาบเปื้อนเลือดพลางหัวเราะอย่างสะใจใส่ทหารอาสาด้านล่าง “ข้าก็นึกว่าพวกเจ้าจะเป็นทหารฝีมือดียิ่งกว่านี้เสียอีก สุดท้ายก็แค่พวกสุนัขปลายแถว! หลงเซียนหลิน…เจ้าคงต้องวางแผนบุกเมืองใหม่แล้วล่ะ ข้าจะรอพวกเจ้าเอง…”

เว่ยโฉวและคนอื่นๆ ต่างก็หัวเราะเย้ยหยันไปตามกัน แม้ลูกธนูที่เตรียมไว้จะถูกใช้ไปหมดแล้ว ทว่าไม่เป็นปัญหาเพราะกองทัพองครักษ์เริ่มรวมกำลังพลเพิ่มแล้ว

หลงเซียนหลินที่อยู่ล่างกำแพง มองขึ้นไปด้วยสายตาแข็งกร้าว เขาไม่โต้ตอบอันใดนอกจากควบม้ากลับไปทันที

ไม่นานเวลาก็ล่วงเลยมาจนบ่าย เหล่าทหารที่คอยป้องกันเมืองต่างก็นั่งพักผ่อนกันอย่างอ่อนล้าตรงบริเวณทางเดิน สายลมร้อนพัดผ่านมาจากทางใต้ ขณะที่เว่ยโฉว เซี่ยโหวซางและทหารกลุ่มหนึ่งกำลังขำขันกันอยู่ “หากข้าป้องกันเมืองได้สำเร็จ ข้าจะหาเมียให้เจ้า”

เว่ยโฉวหน้าแดง “อย่ามาหลอกข้าเล่น…”

เซี่ยโหวซางยิ้ม “คนเดียวพอหรือไม่? หรืออยากได้สักสามคน ไม่สิ…ห้าไปเลย”

“มีชีวิตรอดไปรบได้ก่อนเถิด ฮ่าๆๆ”

ทันใดนั้นก็มีใครคนหนึ่งชี้ขึ้นไปบนฟ้า “นั่นมันอะไร?”

ทุกคนหันมองตามก่อนจะพบว่ามันคือเศษกระดาษปลิวว่อนอยู่กลางอากาศ ลอยลิ่วสู่เมืองหลันเยี่ยนตามแรงลม หลินมู่อวี่มองออกว่ามันคือว่าวจึงรีบสั่งการ “สอยว่าวนั่นลงมาเสีย!”

“ขอรับ!”

ทหารอวี้หลินคนหนึ่งวิ่งไปตามกำแพงเมืองก่อนจะสอยว่าวกระดาษที่มาข้อความเขียนติดด้านหลังลงมา หลินมู่อวี่รีบเข้าไปดูก่อนจะพบว่าตัวอักษรที่เขียนอยู่นั้นช่างเป็นลายมือที่หาได้ยากและน่าสะเทือนใจยิ่งนัก

ราชาเจิ้นหนานได้นำกองกำลังหลายล้านนายมุ่งหน้าไปทางเหนือ สาบานว่าจะล้มล้างสถาบันกษัตริย์และสถาปนาเป็นประเทศแห่งความเที่ยงธรรม สงบสุขและเท่าเทียม ที่ใดก็ตามที่ทหารผู้ชอบธรรมผ่านไป เหล่าขุนนางจะถูกลงโทษ แต่ละครัวเรือนจะได้รับการแบ่งเขตอย่างเท่าเทียมกันตามจำนวนประชากร อีกทั้งได้รับการลดหย่อนและยกเว้นภาษีสามปี เมืองหลันเยี่ยนอันเป็นเมืองหลวงแห่งจักรวรรดิ ขอประชาชนในเมืองจงเลิกต่อต้านและยอมยกเมืองให้เสีย เพื่อประชาชนและประเทศชาติ หากยังคงต่อต้านแบบไม่ลืมหูลืมตา เมื่อใดที่เมืองแตกพ่าย…ทุกผู้ที่อยู่ในเมืองไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์เลี้ยงจะต้องถูกสังหารอย่างราบคาบ