Ep.321 ซ้อนแผน
“มันเขียนว่าอะไร?” เฟิงจี้สิงเอ่ยถาม
หลินมู่อวี่ส่งต่อให้เฟิงจี้สิงอ่าน กระทั่งอ่านจบหน้าตาเขาเปลี่ยนไปพลางกัดฟันกรอด “น่ารังเกียจ…น่ารังเกียจที่สุด ทำเช่นนี้มันหยามเกียรติชาวหลันเยี่ยนชัดๆ”
“นี่คือกลยุทธ์อันเฉียบแหลมของหลงเซียนหลิน…” หลินมู่อวี่ถอนหายใจ
เฟิงจี้สิงถาม “มีว่าวแบบนี้ในเมืองอีกเท่าไร?”
ทหารอวี้หลินตอบ “นับไม่ถ้วน…ถูกส่งต่อกันเป็นทอดจนตอนนี้หยุดไม่ได้แล้วขอรับ”
“แบบนี้ต้องแย่แน่…” เฟิงจี้สิงขมวดคิ้ว “ประชากรในเมืองมีอยู่เนืองแน่น หากเกิดการก่อจลาจลขึ้นมามีหวังเมืองได้พังก่อนการสู้รบเป็นแน่”
จางเหว่ยกล่าว “ไม่เห็นยากขอรับ หากใครกล้าก่อปัญหาก็ฟันมันเสียให้หมด”
“อย่าประมาทไป”
เฟิงจี้สิงมองหลินมู่อวี่ “อาอวี่ เจ้าพอมีความคิดใดหรือไม่?”
“ขอรับ” หลินมู่อวี่มองกองทัพทหารอาสานอกกำแพง “สั่งให้ทหารคัดลอกข้อความหนึ่งแสนฉบับแสร้งว่ามาจากเมืองห้าหุบเขา โดยมีเนื้อความว่า…พวกทหารอาสานั้นหน้าซื่อใจคด พวกมันทำลายเมืองห้าหุบเขาที่มีประชาชนทั่วไปอาศัยอยู่จนราบคาบ…หากยอมแพ้ก็เท่ากับตาย จากนั้นให้กระจายข้อความเหล่านี้ไปให้ทั่วหลันเยี่ยนคงพอช่วยหยุดกลยุทธ์ทางจิตใจนี้ได้”
“เยี่ยมมาก”
เฟิงจี้สิงกล่าวด้วยแววตาแห่งความหวัง “พวกเจ้าได้ยินแล้วก็รีบไปจัดการเสีย”
“ขอรับท่านแม่ทัพ”
หลินมู่อวี่นั่งพิงกำแพงเปื้อนเลือดด้วยความกระวนกระวายในใจ จักรวรรดิอี้เหอส่งเสริมความเท่าเทียมและใช้อารยธรรมอันสูงส่งกว่าระบบกษัตริย์ที่ว่าเป็นเครื่องมือชักจูงผู้คน แต่กลับทำตัวมือถือสากปากถือศีล สิ่งที่พวกเขาทำอยู่นี้ถูกแล้วหรือ?
กระทั่งมองธงรบของกองทัพเทียนฉงและหลงฉวนที่ถูกเผาเป็นเถ้าอยู่ใต้เมืองแล้ว หลินมู่อวี่ก็เริ่มกระจ่าง…ที่บอกว่าทุกคนในอาณาจักรจะมีความเท่าเทียมกันนั้นเป็นเพียงอุบายลวงโลก หากเห็นว่าทุกคนเท่ากันจริง คงไม่สังหารกองทัพเทียนฉงและหลงฉวนที่มีภรรยาและลูกน้อยรออยู่ ความเท่าเทียมที่กล่าวอ้างนั้นคือสิ่งนี้หรือ?
การเปลี่ยนผู้ปกครองในโลกนี้ก็เป็นเพียงแค่การเปลี่ยนคนอีกกลุ่มให้เป็นทาสของคนอีกกลุ่ม
หากยังยืนกรานสู้รบ ความหวังเดียวที่จะรอดไปคือรอกำลังเสริมเท่านั้น
…
สามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลินมู่อวี่ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของกำลังเสริม ประชาชนในเมืองก็เริ่มเกิดการจลาจล กระทั่งกระทรวงการคลังยังโดนปล้นถึงสองครั้ง
ทหารในตำหนักเจ๋อเทียนบางตาลงอย่างมาก
กลุ่มควันสีเขียวจากกระถางธูปลอยล่องไปในอากาศ ฉินอินตาแดงก่ำหลังทราบข่าวการพ่ายแพ้ของกองทัพที่เดินทางไปตะวันออก นางร้องไห้ติดต่อกันสามวัน ฉินอินเติบโตมาด้วยความรักของพ่อ เป็นความรักอันบริสุทธิ์ของตระกูลฉิน เมื่อรู้ว่าฉินจิ้นได้จบชีวิตลง ณ ทะเลสาบภูต โลกทั้งใบของฉินอินได้แหลกสลายลงครึ่งหนึ่ง เหลือเพียงหลินมู่อวี่ที่คอยประคองที่เหลือไว้
“สถานการณ์ฝั่งทหารอาสาเป็นอย่างไรบ้าง?” ฉินอินเงยหน้าถามคนที่อยู่โดยรอบ
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนถวายบังคมกล่าว “พวกมันไม่ได้บุกเข้าโจมตีเมืองอย่างไร้สติ แต่กลับใช้เครื่องยิงหินถล่มกำแพงเมืองจนได้รับความเสียหายหลายจุด หากยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป…เมืองหลันเยี่ยนคงรองรับได้ไม่นานและพังทลายลงในที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”
“ยังมีเรื่องน่ากังวลอีกพ่ะย่ะค่ะ” เฟิงจี้สิงกล่าว
ฉินอินชะงัก “เรื่องใดหรือผู้บัญชาการเฟิงจี้สิง?”
“เรามีอาหารเลี้ยงม้าไม่พอพ่ะย่ะค่ะ”
เฟิงจี้สิงกล่าวต่อ “กองทัพองครักษ์มีทหารม้าหนึ่งหมื่นนาย ทัพเขาเหินหนึ่งหมื่นเจ็ดพันนาย รวมกับม้าจากทัพไพรสัณฑ์อีกสี่พันตัว ม้าทั้งหมดสามหมื่นตัวในเมืองหลันเยี่ยนต้องการเสบียงอาหาร ทว่าพื้นที่ให้อาหารรอบเมืองกว่าสิบเก้าหลา ถูกพวกทหารอาสาเข้ายึดครองเรียบร้อยแล้ว ภายในรุ่งสางพรุ่งนี้อาหารที่มีอยู่จะหมด อีกนัยหนึ่งคือไม่เกินมะรืนนี้จะไม่มีทหารม้าอีกต่อไปพ่ะย่ะค่ะ”
“ได้อย่างไรกัน…” ฉินอินเคร่งเครียด “หากไม่มีทหารม้า เราจะไม่มีกองกำลังสู้กลับได้อีก”
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ” เฟิงจี้สิงกล่าวพลางยิ้มหัวเราะ
“ผู้บัญชาการเฟิง ท่านหัวเราะด้วยเหตุใดกัน?” ฉินอินถาม
เฟิงจี้สิงประสานกำปั้นคำนับก่อนจะตอบ “กระหม่อมหัวเราะ เพราะไม่เพียงแต่อาหารเลี้ยงม้าของเราไม่เพียงพอ ทว่าของพวกมันก็เช่นเดียวกันพ่ะย่ะค่ะ เท่าที่กระหม่อมทราบ…พวกมันใช้คนสามแสนห้าหมื่นคนล้อมรอบเมืองหลันเยี่ยนอยู่ กองทัพใหญ่เพียงนั้นต้องใช้เสบียงจำนวนมาก หากจะใช้เสบียงจากมณฑลดาราที่อยู่ไกลจากภูเขาและน้ำก็ค่อนข้างลำบาก ดังนั้นจึงต้องใช้เสบียงจากมณฑลชางหนานแทน เมื่อเดาจากความคิดพวกมันแล้ว อาหารและน้ำส่วนใหญ่ต้องนำมาจากเมืองฉิวเฟิ่งที่อยู่ไกลจากหลันเยี่ยนไปทางตะวันออกสามสิบไมล์อีกที หากเราเข้าเผาทำลายแหล่งเสบียงพวกมันได้ พวกมันคงเสียกำลังไปมากเช่นกัน”
ฉินอินกล่าว “ปัญหาคือเราจะเผาหญ้าและข้าวของเมืองฉิวเฟิ่งได้อย่างไร? ผู้บัญชาการเฟิงมีความคิดที่ดีกว่านี้หรือไม่?”
เฟิงจี้สิงยิ้ม “เราต้องลองพ่ะย่ะค่ะ หากได้รับการช่วยเหลือจากอาอวี่…รับรองว่าผลที่ได้คุ้มค่าแน่นอน”
หลินมู่อวี่หัวเราะอยู่ข้างๆ “ท่านพี่เฟิงกำลังจะบอกว่าให้ข้าช่วยจู่โจมเมืองทางตะวันออกใช่หรือไม่?”
“ใช่”
เฟิงจี้สิงกล่าว “ข้าได้ทำการตรวจตราสถานการณ์โดยรอบของทหารอาสาแล้ว พวกมันส่วนใหญ่ไปกระจุกอยู่บริเวณกำแพงฝั่งเหนือ ส่วนฝั่งตะวันออกของเมืองมีคนเฝ้าอยู่เพียงสามหมื่นคนเท่านั้น จากที่ข้าคิด…เราสามารถส่งทหารม้าของเราเข้าจู่โจมพวกมันกลางดึกได้”
“ไม่”
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนแทรกขึ้น “ข้าเองก็ตรวจสอบมาแล้ว แม้ทางตะวันออกจะเห็นว่ามีเพียงสามหมื่นคน ทว่าในป่าในมีนกบินออกตลอดเวลา…เป็นไปได้ว่าจะมีการซุ่มโจมตีอยู่อีก ซึ่งต้องเป็นสิ่งที่หลงเซียนหลินวางแผนไว้แล้วเป็นแน่”
“ข้ารู้”
เฟิงจี้สิงหัวเราะ “ข้าจะนำทหารม้าหนึ่งหมื่นนายบุกทะลวงทางทิศตะวันออกเพื่อดึงดูดความสนใจ ส่วนเจ้า…ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน นำทัพออกไปทางประตูฝั่งใต้แล้วตรงไปยังเมืองฉิวเฟิ่ง”
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนหรี่ตามอง “คู่ต่อสู้เราคือหลงเซียนหลิน คิดว่ามันจะไม่ส่งคนไปดักซุ่มโจมตีสกัดทัพเขาเหินของข้าหรือ?”
“แน่นอนว่ามันต้องทำอยู่แล้ว”
เฟิงจี้สิงยิ้ม “แต่เรายังมีไพ่อีกใบอยู่ในมือ”
หลินมู่อวี่ยิ้ม “ข้ารู้แล้ว…มังกรผงาดสินะ”
“ใช่” เฟิงจี้สิงหัวเราะ “กองทัพที่แท้จริงของเราคือกลุ่มมังกรผงาด กององครักษ์และค่ายเขาเหินเป็นเพียงเหยื่อล่อ กลุ่มมังกรผงาดต้องไปทำลายแหล่งเสบียงของพวกมันให้สิ้น หลงเซียนหลินเป็นนักวางกลยุทธ์ มันคงนึกไม่ถึงว่าท้ายที่สุดเราจะกล้าซ้อนแผนมันถึงสองครั้ง”
เหล่ยหงพลันปรบมือและยิ้ม “พวกรุ่นใหม่ช่างน่ากลัวเสียจริง การที่จักรวรรดิมีแม่ทัพอย่างเฟิงจี้สิง ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน และอาอวี่เช่นนี้ คงได้เป็นเมืองที่ยิ่งใหญ่ขึ้นกว่าเดิมแน่”
ฉินอินเอ่ยด้วยความปีติ “ถ้าเช่นนั้น การบุกโจมตีกลางดึกยกให้เป็นหน้าที่ของผู้บัญชาการเฟิงจี้สิง”
“กระหม่อมจะไม่ทำให้องค์หญิงผิดหวังพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินอินหันไปมองยังเหล่าขุนนาง “ภารกิจนี้ขอให้เป็นความลับ ฉะนั้นพวกท่านอย่าได้มีใครออกจากตำหนักเจ๋อเทียนแห่งนี้จนกว่าเหล่าแม่ทัพจะกลับมาเช้าพรุ่งนี้”
“พ่ะย่ะค่ะองค์หญิง!”
…
ตอนบ่ายคล้อย หลินมู่อวี่ส่งสาส์นไปยังภูเขาหลงหยานโดยนกส่งสารที่ถูกฝึกของเหมืองหลันเยี่ยน มันสามารถบินไปมาได้โดยไม่ตกเป็นเป้าของศัตรู
กระทั่งพลบค่ำ หลินมู่อวี่ได้รับสาส์นตอบกลับจากหลัวอวี่ว่าทหารรับจ้างมังกรผงาดสองหมื่นนายไปถึงเมืองฉิวเฟิ่งและพร้อมจุดไฟทุกเมื่อตามคำสั่งของเขา
ยามตะวันลับฟ้าไปแล้ว เสียงเครื่องยิงหินถล่มกำแพงเมืองหลันเยี่ยนยังคงดังอย่างต่อเนื่อง หินยักษ์ถูกยิงใส่ทั้งในและนอกเมือง ส่งผลให้มีชาวเมืองบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน
กลางดึกมาเยือน บริเวณถนนกลางเมืองหลวงเงียบสงัด กองทัพองครักษ์หมื่นนายกำลังรออยู่ เฟิงจี้สิงในชุดเกราะเหล็กถือดาบสะบั้นวาโยไว้ในมือและใส่หมวกเหล็กเตรียมพร้อม เขาหันไปหาหลินมู่อวี่กับฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ข้าจะไปแล้ว หนึ่งชั่วโมงนับจากนี้พวกเจ้าจงบุกออกไปทางประตูตะวันออกพร้อมกับกองทัพค่ายเขาเหิน จำไว้ว่าอย่าหลงระเริงกับสงคราม เมื่อดึงความสนใจพวกทหารอาสาได้สำเร็จแล้วให้รีบกลับเข้าเมือง แม่ทัพตู้ไห่จะนำทหารเทียนฉงเข้าคุ้มกัน”
“แล้วเจอกันขอรับ” หลินมู่อวี่ยิ้มตอบ
เฟิงจี้สิงสูดหายใจลึกอย่างอาลัยก่อนจะกล่าว “พวกเจ้าทั้งสองต้องกลับมาอย่างปลอดภัย พวกเจ้าจะเป็นพี่น้องของเฟิงจี้สิงผู้นี้ตลอดไป…”
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนกำหมัดคำนับ “อย่าห่วงเลย พวกข้าไม่ตายง่ายๆ แน่”
หลินมู่อวี่ยิ้ม “ท่านพี่เฟิงเองก็ต้องกลับมาอย่างปลอดภัยและรอไปเลี้ยงฉลองพร้อมกัน”
“ได้เลย”
ประตูเมืองตะวันออกแปดชั้นค่อยๆ ถูกยกขึ้น กองทัพทหารจักรวรรดิควบม้าออกไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับอาวุธในมือ ม้าศึกที่ใช้เป็นม้าที่ดีที่สุดในจักรวรรดิ ทำให้กำลังรบแข็งแกร่งขึ้นจนดูถูกไม่ได้
…
หลังจากเฟิงจี้สิงออกไปแล้ว หลินมู่อวี่จึงเอ่ยขึ้น “เราไปกันเถิดท่านพี่ แล้วจากนี้…ข้าจะดูแลท่านพี่ฉู่เหยาให้เอง”
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนยิ้ม “ไอ้เด็กชั่ว เจ้าคิดว่าพวกข้าจะไม่กลับมาแล้วรึ?”
หลินมู่อวี่พยักหน้า “ข้าก็แค่เป็นห่วง”
“ไม่ต้องห่วง เราต้องรอดกลับมาให้ได้เพื่อไม่ให้อาเหยากังวล ตอนนี้นางเข้าร่วมกับสมาพันธ์โอสถช่วยรักษาคนเจ็บอยู่”
“เยี่ยมเลย”
ไม่นานนักเสียงสู้รบก็ดังขึ้นนอกเมืองหลันเยี่ยนฝั่งตะวันออก แสดงว่าเฟิงจี้สิงและกองทัพองครักษ์เข้าปะทะกับทหารอาสาแล้ว ทหารอาสาจากทั่วทุกทิศเข้ามารุมล้อมทันทีราวกับต้องการฉีกทหารองครักษ์ทั้งหมื่นนายให้เป็นชิ้น
เสียงม้าวิ่งสะเทือนไปทั้งแผ่นดิน ราวกับการสู้รบที่เมืองหลันเยี่ยนสั่นคลอนทั้งโลก
หลินมู่อวี่กระชับกระบี่วิญญาณมังกร เจี๋ยดี่ที่ขี่อยู่ส่งเสียงร้องวิ่งเร็วราวกับรถบีเอ็มบลิวพาเจ้านายของมันมุ่งสู่สนามรบเคียงข้างฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน ค่ายทหารอาสาปรากฏขึ้นท่ามกลางแสงจันทร์ไกลออกไป พลทหารถือโล่เมื่อเห็นกองทัพหลินมู่อวี่ก็ตะโกนขึ้น “สุนัขรับใช้จักรวรรดิมา พร้อมรบ”
“บุกได้!”
หลินมู่อวี่ควบม้าไปอย่างรวดเร็วพลางเรียกกำแพงน้ำเต้าออกมาป้องกันการโจมตีให้กองทัพค่ายเขาเหินด้านหลัง กองทัพตั้งขบวนเรียงแถวเข้าไป “เคร้ง…เคร้ง!” หอกยาวถูกขว้างโดยทหารอาสา กองทัพแนวหน้าของทั้งคู่เข้าปะทะกัน ท่ามกลางควันโขมงบดบังท้องฟ้า หลินมู่อวี่ควบม้าเข้าไปพร้อมกับตวัดกระบี่แสงจนทหารอาสาเบื้องหน้าถูกฟันแหลกเป็นชิ้น
เลือดสดสาดกระเซ็นขึ้นกลางอากาศ เสียงโอดร้องโหยหวนดังไปทุกหนแห่ง ทหารม้าเข้าปะทะกับพลโล่ของฝ่ายตรงข้ามเต็มกำลัง! ทหารม้าจากจักรวรรดิที่ได้รับการฝึกฝนมาดีกว่า สามารถทะลวงโล่ของทหารอาสาจนแหลกได้แทบจะทันที กองทัพเขาเหินตวัดดาบฟาดฟันไล่ไปจนถึงค่ายพักทหารอาสา
“ฮ่า!”
กระบี่วิญญาณมังกรใช้วิชาธาตุแสงเปล่งประกายออก! ทหารอาสานายหนึ่งยืนอึ้งอยู่กับที่ วินาทีต่อมาหอกยาวในมือถูกซัดปลิวและตามมาด้วยเสียงครวญครางอย่างเจ็บปวด…นายทหารทรุดลงกับพื้นและถูกเกือกม้าเหล็กเหยียบย่ำจนจมโคลน