ตอนที่ 134-3 แต่งองค์ทรงเครื่องให้แก่ไทเฮา กับ คำสั่งของฮ่องเต้

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

เมื่อไทเฮาเห็นรูปลักษณ์ที่มีขนาดเล็กของนางก็รู้ดีว่านางไม่ใช่คนที่ไม่รู้หน้าที่ของตน ตอนนี้ต่อหน้าอีกอย่าง ลับหลังอีกอย่าง นี่เป็นเพียงเอาอกเอาใจตนเท่านั้น ดูจากสีหน้าและท่าทางของนางแล้ว ประมาณการณ์ได้ว่าองค์ชายสามคงเอานางไม่อยู่ แม้จะมีความอดทน อดกลั้นในการควบคุมดูแล ก็คงตัดใจลงโทษไม่ลง ช่างเถิด หลานชายย่อมมีโชคของตน จึงไม่ได้พูดต่อ เพียงยิ้มพร้อมกับถอนหายใจ แล้วตบไปที่มือของนาง

 

 

ในขณะนี้เอง หม่ามอมอเข้ามาอีกครั้งโดยบอกว่างานเลี้ยงเตรียมเกือบจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว เชิญไทเฮาเข้าไปนั่งก่อน แล้วเรียกจูซุ่นส่งอวิ๋นหว่านชิ่นกลับจวน

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นกราบบังคมทูลลาไทเฮา แล้วเดินตามจูซุ่นออกจากตำหนักฉือหนิง

 

 

**

 

 

ณ ห้องหนังสือ พระที่นั่งหย่างซินเตี้ยน

 

 

เหยาฝูโซ่วเดินเข้าใกล้หนิงซีฮ่องเต้แล้วกระซิบว่า “ฮ่องเต้พะยะค่ะ ได้ยินมาว่าชั่วครู่ไทเฮาเรียกแม่นางอวิ๋นเข้าวัง ดูเหมือนจะกำลังช่วยดูแลเรื่องการแต่งหน้าสำหรับงานเลี้ยงอาหารค่ำของคืนนี้พะยะค่ะ”

 

 

พู่กันที่หนิงซีฮ่องเต้ใช้แก้การลงพระปรมาภิไธยหยุดชะงักชั่วครู่ แม้ว่าแม่นางอวิ๋นใกล้จะได้เป็นชายาของฉินอ๋องแล้ว แต่เมื่อเอ่ยชื่อนางขึ้นมา ก็ยังมีความกระเพื่อมอยู่ในใจเล็กน้อย เพราะทำให้พลันนึกถึงชิงเหยา เวลาผ่านไปชั่วครู่ ถึงจะอุทานออกมาว่า “อืม”

 

 

ในตอนท้าย หนิงซีฮ่องเต้วางพู่กันลงอีกครั้งแล้วตรัสถามอย่างไม่ใส่ใจว่า “อีกไม่กี่วันนางก็จะออกเรือนแล้ว พี่น้องสกุลอวิ๋นก็เหลือน้องชายร่วมมารดาเพียงคนเดียวแล้วล่ะสิ”

 

 

เหยาฝูโซ่วมองไปที่ใบหน้าของฮ่องเต้อย่างเงียบๆ อาจเป็นไปได้ว่าไม่ได้ตัวของแม่นางอวิ๋น จึงทำให้ไข้ใจของฮ่องเต้ยังไม่ลดเลือนหายไปและอยากที่จะดูแลบุตรอีกคนของสวี่ชิงเหยาหรือ เขาพยักหน้ารับคำ “ใช่พะยะค่ะ อวิ๋นเสวียนฉั่งมีภรรยาเอกหนึ่งคนกับอนุภรรยาสามคน มีบุตรสี่คน โดยบุตรสาวสามคน สองคนออกเรือนแล้ว อีกคนได้ข่าวมาว่าเสียชีวิตไปแล้ว บัดนี้ หลังบ้านเหลือ…บุตรชายที่ฮูหยินสวี่ซื่อให้กำเนิดเพียงคนเดียวแล้วพะยะค่ะ”

 

 

หนิงซีฮ่องเต้พยักหน้าและเขียนตัวหนังสืออีกสองถึงสามแถวแล้วตรัสอย่างเฉยเมยว่า “เรียนดีหรือไม่”

 

 

เหยาฝูโซ่วกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “เกณฑ์สำหรับเข้าราชวิทยาลัยอยู่ในระดับสูง แม้ว่าบุตรหลานของขุนนางได้รับสิทธิพิเศษโดยไม่ต้องสอบเข้าก็ตาม แต่เมื่อเข้าไปแล้วก็ต้องผ่านการสอบทั้งข้อเขียนและการสัมภาษณ์ สามารถสอบเข้าราชวิทยาลัย ตั้งแต่อายุไม่ถึงสิบขวบ บุตรหลานของขุนนางสิบสอบผ่านได้ไม่ถึงครึ่ง นายน้อยแห่งสกุลอวิ๋นคงจะเป็นเด็กฉลาดแน่นอนและมีพี่สาวคนโตอย่างแม่นางอวิ๋น การเรียนคงไม่แตกต่างกันมากนักพะยะค่ะ”

 

 

“อืม” สีหน้าของหนิงซีฮ่องเต้ผ่อนคลายลงมากและความเหนื่อยล้าก็จางหายไป

 

 

เหยาฝูโซ่วคิดว่าตนตาลาย เพราะเหมือนจะมองเห็นมุมปากบนของฮ่องเต้โค้งขึ้นและเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย แต่ก็หายไปในพริบตาโดยไม่ทันได้ครุ่นคิดอะไรมากเลยและฟังหนิงซีฮ่องเต้ตรัสขึ้นอีกครั้งว่า

 

 

“เมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าก็ไปดูที หากเด็กนั่นมีผลการเรียนดีและมีความมุ่งมั่นตั้งใจ ก็ไปบอกเฉาจี้จิ่วเป็นนัยๆ ว่าให้โอกาสเด็กคนนั้นด้วย ให้ดูแลทั้งการสอบคัดเลือกและการเสนอชื่อขุนนางเข้ารับราชการ อายุของเขา สามารถเข้าสอบในระดับนักศึกษาเด็กได้แล้ว หากเฉลียวฉลาดและมีความสามารถในการเข้าใจอยู่ในระดับสูง จากนั้นก็จะสามารถเข้าสอบในระดับบัณฑิตชั้นสูงต่อ และค่อยๆ ไต่ระดับจนสามารถเข้ารับราชการและมีชื่อเสียงในที่สุด”

 

 

พูดถึงเพียงเท่านี้ เขากำหมัดแน่น โค้งตัวลง และไอสองที

 

 

เหยาฝูโซ่วรีบกล่าวว่า “ฮ่องเต้ไม่เป็นไรใช่หรือไม่พะยะค่ะ….”

 

 

“เราไม่เป็นไร” หนิงซีฮ่องเต้หยุดพักไปชั่วขณะแล้วกล่าวต่อว่า “ที่เราพูดเมื่อชั่วครู่ เจ้าฟังกระจ่างแล้วใช่หรือไม่” ร่างกายนับวันยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ เรื่องบางเรื่องต้องสั่งเสียไว้ก่อน เพราะเด็กคนนั้นอายุยังน้อยและบัดนี้ก็สมควรแก่เวลาแล้วที่จะต้องวางแผนอนาคตไว้ก่อนล่วงหน้า

 

 

เหยาฝูโซ่วถอนหายใจกล่าว “บ่าวทราบแล้วพะยะค่ะ ประเดี๋ยวบ่าวจะรีบไปที่ราชวิทยาลัยเพื่อไปสั่งเสียกับเฉาจี้จิ่วเป็นนัยๆ อันที่จริงแล้ว ฮ่องเต้ทรงค่อยๆ ช่วยเหลือสกุลที่ยากจนอย่างสกุลอวิ๋นมาโดยตลอด ขณะนี้ อวิ๋นเสวียนฉั่งดำรงตำแหน่งเป็นเจ้ากรมแล้ว นายน้อยอวิ๋นก็สามารถอาศัยตำแหน่งของบิดา รับสิทธิพิเศษทางการเมืองมากมาย ก็ต้องมีอนาคตไกลมากพออยู่แล้ว ถึงจะไม่มีฮ่องเต้คอยดูแล ก็คงจะโดดเด่นกว่าคนอื่นได้ไม่ยาก ฮ่องเต้โปรดวางใจเถิดพะยะค่ะ”

 

 

“เราไม่ต้องการฟังคำว่าคงจะ เราอยากได้คำว่าแน่นอน” หนิงซีฮ่องเต้ขมวดคิ้วและไออยู่หลายที “นอกจากมีสิทธิพิเศษจากบิดาแล้วคงไม่เพียงพอ ต้องได้รับการหนุนหลังจากราชสำนักด้วย เราต้องการให้เด็กนั่นเป็นหนึ่งในมังกรและหงส์ เป็นขุนนางระดับสูงของราชวงศ์ต้าเซวี่ยนเหนือราษฎรทั้งปวงและได้รับชื่อเสียงเกียรติยศและบารมีในทุกยุคทุกสมัยไป เจ้าเข้าใจหรือไม่”

 

 

เหยาฝูโซ่วตะลึงกับคำพูดดังกล่าว จนรู้สึกว่าสกุลอวิ๋นทุกวันนี้อยู่ดีกินดี ได้รับการเลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่ง อวิ๋นเสวียนฉั่งได้รับการเลื่อนขั้นจากขุนนางชั้นผู้น้อยเป็นรองเจ้ากรมกลาโหม โดยได้รับความดีความชอบมากมายจนทำให้ได้รับตำแหน่งนี้ บัดนี้ได้รับการเลื่อนขั้นเป็นเจ้ากรมกลาโหมแล้ว…ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการปูทางให้กับเด็กคนนั้นอย่างนั้นหรือ

 

 

หากเป็นเช่นนั้นจริง หมากเกมนี้ของฮ่องเต้นั้น นับว่ายิ่งใหญ่เกินไปมาก ลาภยศของอวิ๋นเสวียนฉั่งล้วนผูกไว้กับบุตรชายของเขาทั้งหมดเลยหรือ

 

 

แม้ว่านายน้อยจะเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของนางสวี่ซื่อ แต่ก็เป็นบุตรชายแห่งสกุลอวิ๋น ต่อให้ฮ่องเต้จะทรงคิดถึงนางที่ทรงโปรดปรานเช่นไร พระราชทานชีวิตที่อยู่ดีกินดีและไร้กังวลแก่เด็กชายคนนั้นไปตลอดชั่วอายุขัยก็เพียงพอแล้ว คาดไม่ถึงว่าจจะทรงเปล่งวาจาเฉกเช่นทองคำเช่นนี้ ทรงต้องการให้เด็กคนนั้นอยู่เหนือราษฎรทั้งปวง

 

 

เหยาฝูโซ่วรู้สึกสับสนมึนงงนัก แต่ก็ทำได้เพียงพยักหน้าและน้อมรับคำสั่ง “พะยะค่ะฮ่องเต้”

 

 

หนิงซีฮ่องเต้ได้ยินเช่นนั้น สีหน้าก็เริ่มดีขึ้น

 

 

**

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเดินตามกำแพงสูงสีแดงไปทางประตูพระราชวัง โดยเดินไปด้วยและอาศัยเวลาที่จูซุ่นไม่ทันสังเกต มองสำรวจรอบๆ ไปด้วย

 

 

วันนั้น นางได้ยินมาว่ามู่หรงไท่ถูกควบคุมตัวอยู่ที่คุกหลวงแห่งกรมอาญาและนางได้สอบถามบริเวณที่ตั้งที่แน่นอนของคุกหลวงไว้แล้ว บัดนี้ สมควรแก่เวลาแล้วที่จะหาข้ออ้างสลัดจูซุ่นไปก่อน ทว่า ยังไม่ทันถึงทางออก ก็ได้พบกับหญิงสาวที่แต่งองค์ทรงเครื่องเต็มยศพร้อมกับสาวกำนัลสองคนและขันทีสองคนคอยติดตามอยู่ด้านหลัง กำลังเดินเข้ามาและเดินผ่านไปในที่สุด

 

 

หญิงสาวอายุราวสิบสี่สิบห้าปี สวมเสื้อคุมด้านนอกทรงยาวคอเสื้อทับไขว้กันสีเหลืองอมขาวที่ทำจากผ้าซาตินและกระโปรงร้อยจีบปักลายดอกไม้ต้อนรับฤดูใบไม้ผลิสีฟ้าทะเลขลิบทอง คิ้วสวยงามและดูเอาแต่ใจเล็กน้อย เมื่อมองสำรวจดูแล้ว ก็รู้ว่าสถานะต้องสูงแน่และไม่เหมือนนางสนมแห่งวังหลวงที่ระมัดระวังตัวมากจนเกินไป

 

 

เมื่ออวิ๋นหว่านชิ่นเห็นหน้าก็พลันนึกขึ้นได้ว่านี่ไม่ใช่องค์หญิงฉางเล่อซย่าโหวถิงหรอกหรือ สาวใช้ข้างๆไม่ใช่หยินเชวี่ยแล้วเป็นใครกัน ดวงตาของนางสว่างขึ้นในพริบตา แล้วตะโกนเรียกด้วยเสียงแผ่วเบาพร้อมกับโบกมือว่า “องค์หญิงฉางเล่อเพคะ”

 

 

ซย่าโหวถิงหยุดมองไปที่อวิ๋นหว่านชิ่นและเดินไปอย่างรวดเร็วแล้วหัวเราะว่า “โอ้ แม่นางอวิ๋นไม่ได้อยู่ที่จวนรอออกเรือนหรือ เหตุใดวันนี้ถึงเข้าวังได้เล่า”

 

 

จูซุ่นอธิบายถึงเหตุผลที่อวิ๋นหว่านชิ่นเข้าวัง สีหน้าของซย่าโหวถิงดูเหมือนจะสนใจยิ่งนัก หยินเชวี่ยจึงรีบพูดกับจูซุ่นว่า “จูกงกง องค์หญิงของข้ารู้จักกับแม่นางอวิ๋นตอนฤดูล่าสัตว์ช่วงฤดูใบไม้ร่วง เมื่อเห็นว่าแม่นางอวิ๋นยากมากที่จะได้เข้าวังสักครั้งหนึ่ง จึงจะขอยืมตัวแม่นางอวิ๋นให้พูดคุยกับองค์หญิงของพวกเราสักครู่จะได้หรือไม่เจ้าคะ”

 

 

จูซุ่นค่อนข้างลำบากใจ “คือ…ไทเฮาสั่งมาว่าให้ข้าส่งแม่นางอวิ๋นกลับจวนโดยตรงเลย”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นจึงใช้โอกาสนี้ให้เกิดประโยชน์ “จูกงกง ไม่เป็นไรหรอก ประเดี๋ยวองค์หญิงคงมอบหมายให้คนไปส่งข้า” หยินเชวี่ยก็ตีเหล็กเมื่อร้อนเช่นกันและหัวเราะว่า “ใช่แล้วใต้เท้าจู น้องสาวสามีกับพี่สะใภ้ในอนาคตจะผูกสัมพันธ์กันเป็นหลักการของฟ้าดิน หากไทเฮาทรงทราบเข้าก็คงจะดีใจด้วยเช่นกัน ท่านกลัวน้องสามีจะกลืนกินพี่สะใภ้อย่างนั้นหรือเจ้าคะ”

 

 

จูซุ่นยิ้มอย่างขมขื่น ทำได้เพียงปล่อยให้อวิ๋นหว่านชิ่นเดินตามซย่าโหวถิงไป

 

 

เมื่ออวิ๋นหว่านชิ่นเห็นจูซุ่นเดินจากไปแล้ว นางกับซย่าโหวถิงจึงเดินตามหยินเชวี่ยไป ทั้งสองพูดคุยไปด้วยและเดินไปทางสวนหลวงไปด้วย

 

 

สวนหลวงในช่วงฤดูหนาว แม้ดอกไม้จะเ**่ยวเฉาไปบ้าง แต่อากาศช่างสดชื่นและสะอาดนัก ทั้งสะอาดและเย็นปะปนกันไป ขณะนี้ ลมหนาวพัดโชยมากระทบแก้มเล็กน้อย ทำให้ผู้คนจิตใจเบิกบานผ่อนคลาย ทะเลสาบเฉิงเทียนที่ตั้งอยู่ไม่ไกล ส่องแสงระยิบระยับ ก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบหนึ่ง

 

 

หลังจากเดินเข้าไปในสวนหลวงและพูดคุยกันอยู่สักพักหนึ่ง อวิ๋นหว่านชิ่นก็พยายามหาข้ออ้างบอกลาเพื่อจะออกจากประตูวังเพียงคนเดียว แล้วค่อยหาวิธีไปคุกหลวงก่อนออกจากวัง ทว่า ซย่าโหวถิงกลับดึงนางไว้ “รอก่อน เจ้าไปสถานที่หนึ่งกับข้าก่อน มีคนอยากพบเจ้า”

 

 

มีคนอยากพบตนหรือ อวิ๋นหว่านชิ่นรู้จักคนในวังหลวงมากมาย แต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยอยากเจอหน้านางสักเท่าไหร่ นางกำลังครุ่นคิดอยู่ ก็ถูกซย่าโหวถิงจูงมือไปถึงขั้นบันไดของศาลาปทุมหอมแห่งทะเลสาบเฉิงเทียนแล้ว

 

 

น้ำบริเวณของศาลาเงียบสงบและไม่มีข้าหลวงแม้แต่คนเดียว ดูจากสถานการณ์ตรงหน้าแล้ว น่าจะมีคนจัดเตรียมสถานที่ไว้ล่วงหน้าแล้ว อวิ๋นหว่านชิ่นเงยหน้าขึ้นแล้วมองไปทางเงาของคนที่อยู่ในศาลา