ตอนที่ 135-1 เครื่องหอมสะกดจิตระลึกความทรงจำในอดีตชาติ

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

ในศาลากลาง น้ำชายหนุ่มรูปงามและสง่า สวมชุดสีแดงเข้มปักลายมังกรห้ากรงเล็บที่หน้าอก ท่าทางผ่อนคลายสบายเหมือนสายน้ำไหล เขาไม่สวมมงกุฎหรือปักปิ่นหยกล้ำค้า แต่ใช้ผ้าไหมสีฟ้าผูกมวยผมเท่านั้น พิงหลังด้วยท่าทีเฉื่อยๆ ดวงตาทรงดอกท้อที่ยาวงอเล็กน้อยดูยิ้มกระหย่อง เผยให้เห็นถึงอารมณ์ที่อ่อนไหวและโรแมนติก นั่งอยู่ริมโต๊ะหิน ก้มศีรษะ มือว่างอยู่บนเครื่องดนตรีกู่เจิง ท่าทางทั้งหมดนี้ล้วนดูเข้าไปกันดูดีไปเสียหมด

 

 

เมื่อนิ้วเรียวยาวทั้งสิบเคลื่อนไหว เกิดเสียงดนตรีจากกู่เจิงที่ไพเราะเสนาะหู ประหนึ่งน้ำพุที่รินไหลอยู่บนภูเขาสูง เสียงลมจากป่าลึก ต่อให้ผู้ที่ไม่เข้าใจในดนตรี ยังสามารถฟังจนลุ่มหลงและเคลิ้มจนตัวเบาเหมือนฝุ่นผง

 

 

ข้างกายชายหนุ่มมีหญิงสาวนั่งอยู่ด้วย มีนางในสี่ห้าคนคอยปรนนิบัตินางอยู่ ดูท่าแล้วคงจะเป็นเจ้านายคนหนึ่ง แต่นางแต่งตัวเต็มยศและดูมีเกียรติมากกว่าผู้หนุ่มมากนัก นางแต่งตัวด้วยชุดที่มีสีสันแพรวพราว ราวกับกลัวว่าผู้อื่นจะไม่ทราบสถานะของนาง สวมชุดสีกุหลาบสีม่วงเทา

 

 

มีผ้าไหมสีทองด้านหน้าคลุมชุดเข้ารูป มีปิ่นปักหยกอยู่บนผม ท่าทางนวยนาดดั่งนกยูงรำแพน ขณะนี้นางไม่แม้แต่จะก้าวขา และไม่กล้านั่งลง ในมือถือเสื้อคลุมนกกระเรียนเงินไว้ ยืนนิ่งอยู่ข้างชายนุ่ม ไม่กล้ารบกวนเขาที่กำลังดีดกู่เจิง ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงๆ

 

 

เมื่อสิ้นเสียงดนตรีเสนาะหู หญิงสาวเอ่ยเสียงออดอ้อน “ไท่จื่อ ด้านนอกนี้ลมหนาวนัก สวมเสื้อคลุมกายก่อนเถิดเพคะ” พลางกายเสื้อคลุมนกกระเรียนออก ยังไม่ทันคลุมไหล่ของชายหนุ่ม องค์รัชทายาทหันพระพักตร์ไปทางนอกศาลากลางน้ำ ลุกขึ้นยืนพูดว่า “ชิ่นเอ๋อร์ เจ้ามาถึงแล้ว”

 

 

หญิงสาวถือเสื้อคลุมกระเรียนเงินค้างกลางอากาศ รู้สึกขวยเขิน ดีที่สาวใช้ข้างกายรีบยื่นมือรับเสื้อคลุมไว้ได้ทันพอดี

 

 

นางเป็นสนมชั้นเหลียงตี้ของไท่จื่อ มีนามว่าอวี๋ จากสกุลเจี่ยง เป็นหลานสาวของเจี่ยงฮองเฮา และเป็นฮองเฮาเองที่เป็นผู้รับนางเข้าวังตงกงให้ไท่จื่อด้วยตนเอง เพื่อให้นางคอยปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายไท่จื่ออย่างดี ไท่จื่อยังไม่ได้อภิเษกกับใครเพื่อเป็นชายาเอก เจี่ยงเหลียงตี้จึงเป็นสนมที่มีสถานะสูงที่สุดแห่งตงกง

 

 

เพลานี้ เจี่ยงอวี๋วาดสายตาไปยังด้านนอก เห็นองค์หญิงฉางเล่อ ซย่าโหวถิงยืนคู่อยู่กับหญิงสาวนางหนึ่งใต้ศาลา เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย สาวใช้ด้านข้างรีบรายงานด้วยเสียงอันแผ่วเบาว่า “เหลียงตี้เพคะ นางก็คือบุตรีของเจ้ากรมอวิ๋นที่กำลังจะอภิเษกเข้าจวนฉินอ๋องภายในไม่กี่วันนี้เพคะ”

 

 

ที่แท้คือนางนั่นเอง เจี่ยงอวี๋หรี่ตาลงดูมืดหม่น ในงานเลี้ยงเสียเล่อไท่จื่อเดินทอดไปหอไจซิงเพื่อพบปะกับคุณหนูอวิ๋นตามลำพัง ทั้งสองพูดคุยกันอย่างออกรส ดูสนิทสนมกันยิ่ง ต่อมา นางได้แต่งหน้าแสดงให้แก่ไท่จื่ออย่างลับๆ และต่อมาอีก เมื่อครั้งที่นางโดนอวี้หรงจวงกลั่นแกล้ง ไท่จื่อยื่นมือเข้าช่วย โดยการเชิญตัวเด็กกำพร้าจากถังโจวมาช่วยนางคลี่คลายสถานการณ์ เรื่องราวเหล่านี้ นางได้รับฟังมาจากบรรดาไส้สืบที่นางแทรกซึมเข้าไปไว้อยู่ข้างกายไท่จื่อ หากไม่ใช่เพราะคุณหนูแห่งสกุลอวิ๋นนี้กำลังจะอภิเษกให้กับฉินอ๋องแล้ว เจี่ยงอวี๋คงจะคิดว่าจะมีคนมาแก่งแย่งความรักกับนางในตงกงเพิ่มแล้ว แต่วันนี้พอเห็นซย่าโหวถิงพานางเดินมาทางนี้ สีหน้ากลับแปรเปลี่ยนไปโดยพลัน

 

 

เป็นผู้หญิงที่จะแต่งงานอยู่แล้ว ยังมาพบปะกับไท่จื่ออีก เจี่ยวอวี๋เก็บสีหน้า หยิบเอาเสื้อคลุมนกกระเรียนเงินจากมือสาวใช้มา แล้วเดินไล่ตามหลังไท่จื่อไป “ไท่จื่อเพคะ…” ปากพูดไปก็คลุมเสื้อคลุมให้ไท่จื่อ จงใจใกล้ชิดกับชายหนุ่มต่อหน้าอวิ๋นหว่นชิ่นโดยการมัดสายรัดเอวของเสื้อคลุมให้ไท่จื่อ

 

 

ซย่าโหวถิงแนะนำด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “นี่คือหลานสาวของฮองเฮา และเป็นเจี่ยงเหลียงตี้แห่งตำหนักตงกง อยู่กับไท่จื่อมาหลายปีแล้ว”

 

 

อวิ๋นหว่านเชี่ยนมองดูเจี่ยวอวี๋ที่พยายามสวมเสื้อคลุมให้ไท่จื่อไปพลาง ส่งสายตามาทางตนไปพลางอย่างสนอกสนใจ สายตาเต็มไปด้วยความหึงหวงและความริษยา ประหนึ่งต้องการจะบอกว่า “องค์รัชทายาทกับเหลียงตี้เหนียงเหนียงผู้สูงส่งทั้งสอง ออกมาชมวิวทิวทัศน์กันอย่างออกรส ประหนึ่งคู่รักนกกระเรียน สนิทสนมกันหวานปานน้ำผึ้ง สามัญชนธรรมดาเดินมาทางนี้ ดูท่าไม่ค่อยจะถูกกาละเทศะนัก?”

 

 

ไท่จื่อเปิดพระโอกษฐ์เอ่ยขึ้นว่า “เหลียงตี้ เจ้ากลับตำหนักไปก่อนเถิด”

 

 

เจี่ยงอวี๋เห็นว่าพออวิ๋นหว่านชิ่นมา ตนกลับถูกไท่จื่อต้อนให้กลับไป รู้สึกไม่พอใจยิ่งนัก อาศัยความที่ตนมีสถานะอยู่ในตงกงมานาน ออดอ้อนเบาๆ ว่า “องค์รัชทายาทพูดคุยสนทนากับคุณหนูอวิ๋นไปเถิด หม่อมฉันจะอยู่ปรนนิบัติอยู่ข้างๆ”

 

 

ไท่จื่อขมวดคิ้วเป็นปม แสดงให้เห็นว่าไม่พอพระทัย ไม่ได้ตรัสวาจาใดให้มากความ แต่ตอบกลับไปยังเฉียบคมว่า “กลับไปซะ”

 

 

แม้ดูจะไม่ใช่การตำหนิ แต่นี่สาหัสกว่าการกล่าวตำหนิยิ่งนัก แม้ว่าอวิ๋นหว่านชิ่นกับไท่จื่อจะรู้จักกันได้ไม่นาน แต่นับได้ว่านางเข้าใจนิสัยใจคอของเขา ไท่จื่อไม่ใช่คนที่จะโกรธเคืองใครได้ง่ายๆ ปฏิบัติต่อบ่าวใช้แทบจะเทียบเท่ากับคนสนิทใกล้ชิด ปฏิบัติต่อหญิงสาวเทียบเท่ากับบุรุษทั่วไป คาดไม่ถึงว่าตอนนี้เขาจะมีท่าทีต่อเจี่ยงอวี๋เช่นนี้

 

 

ติดตามองค์ชายมานานขนาดนี้ ไท่จื่อมีนิสัยใจคอเช่นใด เจี่ยงอวี๋จะไม่ทราบได้เช่นไร ภายนอกดูผ่อนคลายสบายๆ แต่แท้จริงแล้วเป็นคนที่เข้มงวดยิ่งนัก เสมือนเป็นอีกคน คำพูดใดก็ตามเขาจะไม่ยอมกล่าวเป็นรอบสองอย่างเด็ดขาด เจี่ยงอวี๋เต็มไปด้วยความไม่พอใจ “เพคะ” ก่อนจะเดินละจากไป ก็ไม่ลืมสาดสายตาไปทางอวิ๋นหว่านชิ่นอีกหนึ่งที

 

 

ซย่าโหวถิงพอเห็นว่าเหลียงตี้เดินจากไปแล้ว แลบลิ้นอย่างซุกซน ไขว้มือไว้ด้านหลัง ตรัสยิ้มๆ ว่า “หน้าที่ของฉางเล่อสิ้นสุดลงแล้ว งั้นข้าไปก่อนล่ะ”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นมองตามแผ่นหลังที่เดินจากไปของซย่าโหวถิง เดินเข้าไปนั่งภายในศาลากลางน้ำกับเขา เพ่งสายตาไปที่กู่เจิง ยิ้มก่อนจะกล่าวว่า “ขอบพระทัยไท่จื่อ”

 

 

ไท่จื่ออึ้งไปเล็กน้อย “ข้าทำอะไรหรือ เจ้าขอบคุณเราเนื่องด้วยเหตุใด”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นหัวเราะพร้อมกล่าวว่า “เมื่อครู่ฝ่าบาทเพิ่งจะบรรเลงเพลงไป่เหนียนเหอ ไม่ใช่เป็นการอวยพรหม่อมฉันหรือเพคะ”

 

 

ไท่จื่อเผยรอยยิ้ม แต่ในรอยยิ้มนั้นกลับมาพร้อมความเหงาเล็กน้อย แล้วเห็นนางยื่นข้อมือออกมา วางนิ้วเรียวยาวบนไม้ท้อที่เงาวับ ใช้แผ่นไผ่บางดึงสายกู่เจิงขึ้นมาสองสามสาย ปรากฏเสียงดนตรีใสดังขึ้นเบาๆ เสียงใสก้อง เคล้าคลอกับรอยยิ้มของหญิงสาว เสียงนี้ยิ่งทำให้ผู้คนหวั่นไหวขึ้น “กู่เจิงทุกเครื่องมีเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ของมันเอง สำหรับกู่เจิงนี้เหมาะกับบทเพลงที่มีจังหวะเร็วและเสียงแหลมสูง แต่ไม่เหมาะกับการบรรเลงเพลงรักที่อ่อนโยน หรือเพลงอวยพรให้สงหวัง” กล่าวพลางเงยหน้าขึ้นยิ้ม “ไท่จื่อใช้กู่เจิงผิดตัวไปแล้วเพคะ”

 

 

รอยยิ้มสดใสและสวยงาม ราวกับดวงอาทิตย์อันอบอุ่นย์ในฤดูหนาว และราวกับดอกเหมยในสวนดอกไม้พระราชวัง

 

 

ไท่จื่อจ้องมองหน้าด้วยรอยยิ้มที่สดใส ใบหน้าที่ดูอ่อนเยาว์และหล่อเลาก็ดูงดงามมากขึ้นกว่าเดิม “ข้าบอกแล้วว่า ไม่มีใครรู้ใจข้าเท่าชิ่นเอ๋อร์อีกแล้ว เพียงแต่ข้าไม่ได้ใช้กู่เจิงผิดตัวหรอก เมื่อครู่ก่อนที่เจ้าจะมาถึงนั้น ข้าก็บรรเพลงเพลงหนึ่งในบทละครอยู่ เป็นบทเพลงที่มีจังหวะรวดเร็วและมีเสียงสูงเหมือนที่เจ้าพูดไม่มีผิด”

 

 

สายตาของอวิ๋นหว่านชิ่นกวาดตามสายตาของเขาที่มองไปทางอีกด้านหนึ่งของโต๊ะ มีหนังสือเล่มหนึ่งที่กางอยู่ นางหยิบขึ้นเปิดดู เป็นบทละครจริงด้วย ตรงปกนั้นเขียนไว้ว่า “เฉินเซียงช่วยชีวิตมารดา”

 

 

“ในเวลาอีกสองเดือนจะเป็นวันเลี้ยงเฉลิมฉลองวันพระราชสมภพของฮองเฮา ไท่จื่อกำลังฝึกซ้อมล่วงหน้าเพื่อถวายในวันพระราชสมภพพะยะค่ะ” ขันทีน้อยที่ยืนอยู่ด้านหลังไท่จื่อรู้ว่าคุณหนูสกุลอวิ๋นกับเจ้านายของตนนั้นมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน จึงเอ่ยปากกล่าวเสริมขึ้น

 

 

เรื่องราวในบทละครนี้บอกเล่ากันเป็นเวลาหลายร้อยพันปีในหมู่ชาวบ้าน ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ตามถนนใหญ่และตรอกซอย แน่นอนว่าอวิ๋นหว่านชิ่นต้องรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว นิทานนี้บอกเล่ากันมาหลายราชวงศ์และเนื้อเรื่องก็ปรับแก้กันไปหลายครั้ง ที่เล่ามาจนถึงปัจจุบันคือ เทพยธิดาซานเหนียงกับนักศึกษาชาวบ้านที่ชื่อหลิวเซี่ยงรักใครกัน อยู่กินกันจนให้กำเนิดเฉินเซียง ภายหลังเมื่อเกิดเรื่องขึ้นกับซานเหนียง นางถูกเอ้อร์หลางเสินหยางเจี้ยนพี่ชายของนางขังไว้บนยอดเขาทิศตะวันตกของหวาซาน เฉินเซียงต่อสู้กับศาลสวรรค์ ต่อสู้กับเอ้อร์หลางเสินอย่างไม่ลังเล ท้ายที่สุดสามารถแหวกหุบเขาช่วยเหลือมารดาที่ถูกกักขังอยู่เป็นเวลา 16 ปีออกมาได้ ช่วยให้มารดาผู้ให้กำเนิดไม่ต้องทนทุกข์อีกต่อไป