ตอนที่ 552

Elixir Supplier

552 ในวันนั้น นกตายไปหนึ่งตัว

 

“คุณช่วยเขาได้ไหม หมอหวัง?” ชายที่ยืนอยู่ข้างๆซางกู้จื้อถาม

 

“ผมจะพยายามให้ดีที่สุดครับ” หวังเย้าพูด “ช่วยเตรียมห้องเงียบๆให้ผมห้องหนึ่งด้วยครับ”

 

“ได้ครับ ผมจะจัดห้องให้เดี๋ยวนี้เลย” ชายคนนั้นพูด

 

“ยังมีสมุนไพรที่ผมต้องการด้วย รวมถึงอุปกรณ์สำหรับการต้มยาด้วยนะครับ ช่วยเตรียมให้ผมเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ทีนะครับ” หวังเย้าส่งรายการทั้งหมดให้กับชายคนนั้น “จำไว้ด้วยว่า สมุนไพรทั้งหมดจะต้องเป็นสมุนไพรป่านะครับ”

 

“ไม่มีปัญหาครับ” ชายคนนั้นพูด

 

พวกเขาจัดหาสถานที่และนำสมุนไพรมาส่งให้อย่างรวดเร็ว

 

“ในตอนที่ทำยาอยู่ ห้ามเข้าไปรบกวนหมอหวังเด็ดขาด” ซางกู้จื้อพูด

 

“โอ้ ขอโทษด้วยครับ” ชายจากตระกูลหานพูด

 

“เสี่ยวเย้า ฉันจะปล่อยให้เธอทำยาอยู่ที่นี่ไปก่อนนะ” ซางกู้จื้อพูด หลังจากที่คนของตระกูลหานจากไปแล้ว

 

“ซางเหล่า ผมมีคำถามครับ” หวังเย้าพูด “ในเมื่อตระกูลหานก็อยู่ที่ยูนนาน ทำไมพวกเขาถึงไม่ไปเชิญราชายามารักษาน้องชายของพวกเขาล่ะครับ?”

 

“ราชายาเป็นพวกอารมณ์แปรปรวน เขาทำทุกอย่างตามแต่อารมณ์ ถ้าเขาอารมณ์ไม่ดี เขาก็จะไม่รักษาคน หานชิ่งกับพี่น้องของเขาดันไปในวันที่เขาอารมณ์ไม่ดีพอดี นกของราชายาตายในวันนั้น เลยทำให้ราชายาอารมณ์เสีย ดังนั้น พวกเขาก็เลยไม่มีโอกาสได้เจอกับเขา” ซางกู้จื้อพูด

 

“พูดจริงเหรอครับ?” หวังเย้าถามด้วยความประหลาดใจ

 

“เขาเป็นตาแก่คนหนึ่ง เมื่อเธอแก่ตัวลง อารมณ์ของเธอก็จะเป็นเหมือนกับเด็กคนหนึ่ง แล้วเขาก็คือเด็กในร่างคนแก่” ซางกู้จื้อพูด “บางครั้ง เวลาที่ฉันอารมณ์ไม่ดี ฉันก็รู้สึกไม่อยากรักษาคนไข้เหมือนกัน เอาล่ะ ฉันไปก่อนนะ”

 

“ครับ แล้วเจอกัน” หวังเย้าพูด เขาเริ่มลงมือทำยาในทันที

 

ยาตัวแรกมีหน้าที่ในการขับพิษออกจากร่างกายของคนไข้ มันมีส่วนผสมของหลินจือและหญ้าพิษ

 

ยาตัวที่สองมีหน้าที่ในการบำรุงร่างกาย มันมีส่วนผสมของโสม, ป่ายจื๋อ, กานเฉา หวังเย้าใส่หญ้าน้ำแข็งเพิ่มลงไปด้วย เพื่อฤทธิ์ของมันไปหักล้างกับความร้อนในตัวยา โสม, ป่ายจื๋อ, และการเฉาต่างก็มีฤทธิ์ร้อน คนไข้ได้รับพิษที่ส่งผลให้ร่างกายมีความร้อนสูง หากกินสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อนเข้าไป ก็จะทำให้ร่างกายของผู้ป่วยแย่ลงกว่าเดิม หญ้าน้ำแข็งจึงมีหน้าที่ในการเข้าไปดับความร้อนของสมุนไพรและความร้อนภายในร่างกายของผู้ป่วย

 

ยาตัวที่สามก็คือ ยาผงฟื้นฟูกล้ามเนื้อ ซึ่งมีส่วนผสมของ ชื่อฉือจือ, หวงเยว่เฟิ่น, กานเฉา, เป้ยหมู, หลงกู่, หญ้าว่านเหนียนชิง, หลิงชานจี, และกุยหยวน

 

ขั้นตอนการรักษานั้นคล้ายกับวิธีการรักษาซูเสี่ยวซวี จากความสำเร็จในการรักษาครั้งนั้น หวังเย้าจึงมั่นใจมากว่า เขาจะสามารถรักษาน้องชายของหานชิ่งได้เช่นกัน

 

ไม่นาน ทั่วทั้งบริเวณก็เต็มไปด้วยกลิ่นของสมุนไพร

 

ถึงแม้ว่าหวังเย้าจะไม่ได้ใช่น้ำแร่โบราณและหม้ออเนกประสงค์ อากาศของที่นี่ก็ค่อนข้างเหมาะสมสำหรับการต้มยา มันอบอุ่นและสะอาด ต่างจากในปักกิ่ง

 

หวังเย้าต้มยาเสร็จไปสองตัวในตอนบ่าย

 

“หมอหวัง!” เมื่อเวลาเริ่มเย็นลง ก็มีใครบางคนมาเคาะประตูเรียกเขา

 

“เชิญเข้ามาได้เลยครับ” หวังเย้าพูด เขาก็คือหานจื้อหยู ที่มาเพื่อเชิญหวังเย้าไปทานอาหารเย็น

 

“อาหารเย็นพร้อมแล้ว คุณพักสักหน่อยนะครับ” หานจื้อหยูพูด

 

“ดีครับ” หวังเย้าพูด

 

เขาค่อยต้มยาตัวที่สามตอนกลางคืนก็ได้

 

“ผมขอไปดูน้องชายของคุณก่อนนะครับ” หวังเย้าพูด

 

“ได้ครับ” หานจื้อหยูพูด

 

พวกเขาทั้งสองไปดูอาหารน้องชายคนเล็กของบ้าน ซางกู้จื้อก็อยู่ในห้องนั้นเช่นกัน หวังเย้าหยิบยาตัวแรกออกมา

 

“นี่เป็นยาที่จะช่วยขับพิษออกจากร่างกายของเขาครับ” หวังเย้าพูด

 

“ขอบคุณครับ” หานชิ่งพูด

 

“อย่าเพิ่งขอบคุณผมเลยครับ ยาตัวนี้มีราคาอยู่ที่ 50,000 หยวนครับ” หวังเย้าพูด

 

ตัวยามีสมุนไพรหลายตัวอยู่ในนั้น ทั้งหลินจือและหญ้าพิษสามใบ มันเรียบง่ายแต่ก็มีประสิทธิภาพสูง

 

“ตกลง!” หานชิ่งรู้สึกประหลาดใจ แต่เขาก็ยอมรับราคานั้น แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้ยินดีกับราคาที่ต้องจ่ายเลย ดังนั้น พวกเขาจึงแสดงความเคารพต่อหวังเย้าน้อยลงไปด้วย

 

“ให้เขากินยาตอนนี้ได้เลยครับ” หวังเย้าพูด

 

หานจื้อหยูเอายาให้น้องชายของเขากินเข้าไป หวังเย้านั่งรออยู่ภายในห้องเกือบ 30 นาที เขาจับชีพจรของคนไข้อยู่ตลอด และไม่ได้ออกไปทานอาหารเย็น

 

“เขาเป็นใครเหรอ?” หานจื้อเกาถาม หลังจากที่หวังเย้าออกไปแล้ว

 

“เป็นคนที่หมอซางแนะนำมาน่ะ” หานจื้อหยูพูด

 

“เขายังเด็กมากเลยนะ” หานจื้อเกาพูด “แล้วยาอะไรถึงได้มีราคา 50,000 หยวนกัน? แม้แต่ยาของราชายาก็ยังไม่แพงขนาดนี้ พี่ว่าเขาจะเป็นพวกต้มตุ๋นรึเปล่า?”

 

“ไม่หรอก เขาเป็นคนที่หมอซางแนะนำมา แสดงว่า เขาต้องมีฝีมือพอตัว” หานชิ่งพูด

 

พี่น้องหานเลี้ยงอาหารหวังเย้าและซางกู้จื้อที่ร้านอาหารที่มีชื่อเสียงยาวนานร้านหนึ่ง พวกเขาปฏิบัติต่อหวังเย้าเป็นอย่างดี และยังพูดป้อยอเขาอีกหลายประโยค

 

หวังเย้าไม่ชอบทานอาหารกับคนแปลกหน้ามากมายแบบนี้

 

หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จ ซางกู้จื้อก็มานั่งคุยกับหวังเย้าในบริเวณลานบ้าน

 

“เธอไม่ชอบกินข้าวกับพวกเขาเหรอ?” ซางกู้จื้อถาม

 

“ไม่ชอบครับ?” หวังเย้าพูด

 

“ฉันก็เหมือนกัน แต่บางครั้งมันก็จำเป็นล่ะนะ” ซางกู้จื้อพูดด้วยรอยยิ้ม

 

“พวกเขาอาจจะคิดว่า ผมคิดเงินพวกเขาแพงเกินไปก็ได้นะครับ” หวังเย้าพูด

 

“ฉันได้คุยเรื่องนี้กับหานชิ่งแล้วล่ะ” ซางกู้จื้อพูด

 

เขารู้เรื่องนี้ ตั้งแต่ที่หวังเย้าไปรักษาโจวหวูยี่แล้วว่า ตัวยานั้นมีราคาสูงมาก แต่มันก็คุ้มค่าในทุกหยด

 

หานชิ่งและพี่น้องของเขาก็กำลังคุยถึงเรื่องนี้อยู่ในห้องนั่งเล่น

 

“หมอที่หมอซางแนะนำมา จะรักษาน้องของเราได้จริงเหรอ?” หานจื้อเกาถาม

 

“หมอคนนั้นได้รับความนับถือจากหมอซางมากเลยนะ” หานชิ่งพูด

 

“แต่ยาของเขาก็แพงเกินไป” หานจื้อเกาพูด

 

“หมอซางพูดเรื่องนี้ให้ฉันฟังตั้งแต่ก่อนที่จะพาเขามาที่นี่แล้ว เขาบอกกับฉันว่า ครั้งหนึ่งหมอคนนั้นเคยคิดเงินค่ายาแพงถึง 1 ล้านหยวนเลยล่ะ” หานชิ่งพูด

 

“ขอแค่เขารักษาน้องของเราได้ ฉันยินดีจ่ายเท่าที่เขาต้องการ” หานจื้อหยูพูด

 

“ฉันเห็นด้วย” หานชิ่งพูด

 

หวังเย้าลงมือทำยาตัวที่สาม ยาผงฟื้นฟูกล้ามเนื้อ ในคืนนั้นอยู่ภายในบริเวณลานบ้าน เมื่อไม่มีหม้ออเนกประสงค์ เขาก็จำเป็นต้องระมัดระวังในเรื่องของไฟ ที่จะส่งผลต่อสี, รส, และหนาแน่นของตัวยา ระยะเวลาในการใส่สมุนไพรลงไปแต่ละตัวก็เพิ่มมากขึ้นไปด้วย

 

ในที่สุด ตัวยาก็ทำออกมาได้สำเร็จ มันเหนียวหนืดคล้ายน้ำผึ้งและเขียวราวกับหยก

 

ซางกู้จื้อแวะมาดูอาการคนไข้ตั้งแต่เช้าตรู่

 

“อืม ชีพจรของเขาเต้นได้ดีขึ้น” ซางกู้จื้อพูด

 

“เยี่ยม” พี่น้องหานพูด

 

“หมอหวังยังไม่มาอีกเหรอ?” ซางกู้จื้อถาม

 

“ผมให้คนไปเชิญเขามาแล้ว อีกเดี๋ยวก็น่าจะมาครับ” หานจื้อหยูพูด

 

หวังเย้ามาถึงในเวลาไม่นาน และเขาก็เข้าไปจับดูชีพจรของคนไข้

 

“ให้เขากินยาต่อไปนะครับ แล้วผมก็ทำยามาให้เขาอีกตัวด้วย” เขาหยิบยาที่ช่วยเรื่องการฟื้นฟูสุขภาพออกมา “ยาตัวนี้มีราคาอยู่ที่ 20,000 หยวน ให้เขากินพร้อมกันทั้งสองตัวเลยนะครับ”

 

“ตกลงครับ” หานจื้อหยูพูด

 

เขาเอายาทั้งสองตัวป้อนให้น้องชายของเขากินเข้าไป

 

หวังเย้านั่งอยู่ข้างเตียงเป็นเวลา 30 นาที ก่อนที่จะจับดูชีพจรของคนไข้อีกครั้ง เขารอต่อไปอีก 30 นาทีและจับดูชีพจรอีกรอบ เขาทำซ้ำๆแบบนี้อยู่นานถึง 2 ชั่วโมง

 

“เขาเป็นยังไงบ้างครับ?” หานจื้อหยูถาม

 

“เขาเริ่มดีขึ้นแล้วครับ” หวังเย้าพูด

 

“เยี่ยม! เยี่ยม!” หานจื้อหยูรู้สึกยินดีอย่างมาก

 

“ผมมีเรื่องอยากจะถามพวกคุณหน่อยครับ” หวังเย้าพูด

 

“ได้สิครับ เราออกไปคุยกันข้างนอกดีไหม?” หานจื้อหยูเสนอ

 

พวกเขาพากกันออกไปจากห้องคนไข้ และเดินไปที่ห้องนั่งเล่น ชาถูกนำออกมาเสริฟอย่างรวดเร็ว

 

“เขาป่วยได้ยังไงเหรอครับ?” หวังเย้าถาม

 

หลังจากที่ตรวจดูอาการของคนไข้อย่างละเอียดแล้ว เขาก็ค่อนข้างมั่นใจว่าอาการของคนไข้นั้นเหมือนกับอาการของซูเสี่ยวซวี เขาเคยถามซูเสี่ยวซวีมาก่อนแล้ว ว่าเธอได้รับพิษมาได้ยังไง แจ่ก็ไม่มีใครรู้เลย

 

“เอ่อ เราไม่รู้เหมือนกันครับ” หานจื้อหยูพูด

 

“น้องชายของเราเริ่มมีอาการป่วยหลังกลับมาจากเดินทางไปทำธุระครับ เริ่มแรก เขามีไข้ก่อน แล้วไม่นาน เขาก็เริ่มอาเจียนและท้องเสีย ต่อมา น้ำหนักของเขาก็ลดลงเรื่อยๆ” หานชิ่งพูด “เราเลยพาเขาไปที่โรงพยาบาล ทางโรงพยาบาลก็ทำการตรวจทั้งจากเลือดและปัสสาวะของเขา ทั้งหมดล้วนมีผลออกมาว่าผิดปกติ น้องชายของเขาเลยได้เข้ารับการรักษาอยู่ที่โรงพยาบาล แต่อาการของเขาก็ไม่ดีขึ้นเลย ตรงกันข้าม มันกลับแย่ลงกว่าเดิมด้วยซ้ำ”

 

“เรายังเคยพาเขาไปรักษาที่ปักกิ่งกับเซี่ยงไฮ้มาแล้ว” หานจื้อหยูพูด “แต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย เราก็เลยพาเขาไปหาราชายา แต่โชคร้ายที่วันนั้น ราชายาเกิดอารมณ์เสียขึ้นมาพอดี เราก็เลยไม่ได้เจอเขา”

 

“โชคยังดีที่เรารู้จักกับหมอซาง และเขาก็แนะนำคุณให้พวกเรา” หานชิ่งพูด

 

“สรุปแล้ว ในพวกคุณไม่มีใครรู้ว่าเขาป่วยได้ยังไงสินะครับ” หวังเย้านวดขมับของตัวเอง

 

“มีอะไรเหรอ?” ซางกู้จื้อถาม

 

“พิษในร่างกายของเขา เป็นพิษที่ได้รับจากภายนอกครับ” หวังเย้าพูด

 

“ถ้าอย่างนั้น เขาตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่ ผมจะลองถามเขาดูให้นะครับ” หานชิ่งพูด

 

“ได้ครับ” หวังเย้าพูด

 

หวังเย้าปฏิเสธคำเชิญทานอาหารที่บ้านตระกูลหานไป และเลือกที่จะไปทานอาหารที่ร้านเก่าแก่ร้านหนึ่งในตัวเมืองกับซางกู้จื้อแทน พวกเขาสั่งอาหารมาสองสามจานและเหล้าอีกหนึ่งโถ ทั้งสองทานอาหารและพูดคุยกันไปด้วย

 

“ผมเคยเจอคนที่มีอาการแบบเดียวกันมาแล้วครับ” หวังเย้าพูด

 

“จริงเหรอ?” ซางกู้จื้อถามด้วยความประหลาดใจ

 

“เด็กผู้หญิงที่ผมไปรักษาที่ปักกิ่ง เธอมีอาการคล้ายกับน้องชายของหานชิ่งมาก” หวังเย้าพูด

 

“หรือจะเป็นพิษแบบเดียวกัน?” ซางกู้จื้อถาม

 

“ก็อาจจะเป็นไปได้ครับ” หวังเย้าพูด

 

คนหนึ่งอยู่ที่ต้าหลี่ ส่วนอีกคนอยู่ที่ปักกิ่ง คนหนึ่งอยู่เหนือ อีกคนอยู่ใต้ พวกเขาดูเหมือนจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันได้เลย

 

เมื่อไหร่ที่ได้ไปปักกิ่ง ฉันจะลองถามคนที่บ้านของซูเสี่ยวซวีดู

 

“แล้วตอนนี้ เด็กผู้หญิงคนนั้นเป็นยังไงบ้าง?” ซางกู้จื้อถาม

 

“ตอนนี้ เธอหายดีแล้วครับ” หวังเย้าพูด

 

“จริงเหรอ?” ซางกู้จื้อดวงตาเป็นประกายขึ้นมา

 

“ครับ แต่ขออย่าพูดเรื่องนี้ต่อหน้าพี่น้องหานนะครับ” หวังเย้าพูด

 

“ได้สิ ฉันเข้าใจ” ซางกู้จื้อ

 

ทั้งสองพูดคุยกันอยู่หลายเรื่อง หลังผ่านไปได้สักพัก หวังเย้าก็สังเกตเห็นว่า ซางกู้จื้อดูเหนื่อยเล็กน้อย เขาจึงเดาว่า ซางกู้จื้อน่าจะต้องงีบพักในทุกๆวัน

 

“อืม ผมอิ่มแล้วครับ” หวังเย้าพูด “คุณล่ะ?”

 

“ฉันก็อิ่มแล้วเหมือนกัน” ซางกู้จื้อพูด

 

“เราไปกันเลยไหมครับ?” หวังเย้าถาม

 

“เอาสิ” ซางกู้จื้อพูด