ในที่สุดการประมูลอสูรมายาอันบ้าคลั่งก็สิ้นสุดลง ฉินอวี้โม่กลายเป็นสตรีผู้มั่งคั่งไปในชั่วพริบตา ในเวลานี้คุณหนูตระกูลฉินมีเงินมากกว่าสิบล้านเหรียญทองเลยทีเดียว
ต้องบอกเลยว่าการประมูลอสูรมายาในวันนี้ดุเดือดอย่างแท้จริง
อสูรมายาที่ฉินอวี้โม่จับมาถูกประมูลออกไปด้วยราคาที่สูงกว่ามูลค่าที่แท้จริงของมันทั้งหมด ตัวที่ราคาถูกที่สุดก็คืออสูรมายาตัวแรกที่นำออกประมูล*–เสือโคร่งสีรุ้ง* มันถูกขายออกไปในราคาหนึ่งแสนหกหมื่นเหรียญทอง และตัวที่ราคาสูงที่สุดคืออสูรเทวะราชันเก้าดาราซึ่งเป็นอสูรมายาประเภทพืชซึ่งว่ากันว่าหาได้ยากยิ่งกว่ายาก –‘ว่านรู้นอน’
ว่านรู้นอนแสนหายากนี้ถูกประมูลด้วยราคาที่สูงถึงหนึ่งล้านสองแสนเหรียญทอง แม้ว่ามันจะเป็นเพียงอสูรเทวะราชันเก้าดารา แต่ศักยภาพของมันก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าอสูรสวรรค์มากนัก ที่สำคัญมันยังเป็นอสูรประเภทพืชซึ่งเป็นประเภทที่หาได้ยากอย่างมาก เมื่อบวกรวมระดับอันสูงส่งแล้วมันจึงเป็นหนึ่งในอสูรหายากในหมู่หายาก
ยิ่งไปกว่านั้น ความน่าสนใจอีกประการของมันก็คืออสูรมายาประเภทพืชตัวนี้มีทักษะพิเศษอย่างหนึ่งที่จะส่งผลให้คู่ต่อสู้เกิดความสับสนและมึนงง
นั่นคือ มันสามารถปลดปล่อยไอพิษประหลาดออกจากร่างกายได้ ผู้ใดก็ตามไม่ว่าจะมนุษย์หรืออสูรมายาที่ถูกไอพิษนี้จะเกิดอาการเฉื่อยชาขึ้นชั่วขณะ ซึ่งนี่จะทำให้เจ้านายของมันมีเวลาเพียงพอที่จะกระทำการบางอย่างได้ในชั่วเวลาสั้น ๆ เมื่อตกอยู่ในสภาวะคับขันของการต่อสู้ เวลาเพียงชั่วพริบตาก็สามารถตัดสินความเป็นความตายได้ เสี้ยวลมหายใจจึงมีค่ามหาศาล อสูรมายาประเภทพืชตนนี้จึงเป็นที่หมายตาหมายใจของใครหลายคน
หลังจากสยบมันได้ เดิมทีฉินอวี้โม่ก็อยากจะเก็บว่านรู้นอนเอาไว้เอง ทว่าทั้งมังกรน้อยหานอวี้และมังกรเกล็ดหลิวหยาไม่ชอบเจ้าอสูรมายาชื่อคล้ายผักตัวนี้เอามาก ๆ ต้องทราบก่อนว่าเผ่าพันธุ์มังกรนั้นเป็นเผ่าพันธุ์อสูรที่ไม่ถูกกับอสูรมายาประเภทพืชอย่างสุดขั้ว ซึ่งนี่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้เพราะพวกมันเป็นกันมาตั้งแต่ในยุคสมัยของบรรพบุรุษแล้ว
เสี่ยวโร่วน้อยที่มักจะอยู่ข้างกายคุณหนูของนางเสมอก็ไม่ต้องการว่านรู้นอน เพราะสาวน้อยเองก็เกรงว่ามันอาจจะก่อให้เกิดปัญหาขึ้นได้ ในเมื่ออสูรมายาของคุณหนูไม่ชอบว่านตนนี้ หากนางดึงดันเป็นผู้เก็บมันไว้ ทั้งนางและคุณหนูคงไม่แคล้วต้องได้ปวดหัวหนักเป็นแน่ ดังนั้นในท้ายที่สุดฉินอวี้โม่จึงตัดสินใจนำมันออกมาประมูล
และราคาของว่านรู้นอนก็ไม่ทำให้ฉินอวี้โม่ผิดหวัง ราคาที่หนึ่งล้านสองแสนเหรียญทองถือว่าเหนือกว่าที่นางคาดการณ์เอาไว้ไม่น้อยทีเดียว
นอกเหนือจากว่านรู้นอนก็มีอสูรมายาเทวะราชันเก้าดาราอีกตัวนั่นก็คือ*‘ปักษาเรียกทรัพย์’*ซึ่งเป็นอสูรมายาประเภทความเร็วและโชคลาภ และอสูรตนนี้ก็ถูกประมูลออกไปในราคาที่สูงกว่าล้านเหรียญทองเช่นกัน โดยมันขายออกไปได้ที่ราคาหนึ่งล้านหนึ่งแสนเหรียญทองซึ่งเหนือกว่ามูลค่าจริงของมันถึงเกือบสองในสิบส่วนทีเดียว
ส่วนราคาประมูลของอสูรเทวะราชันตัวอื่น ๆ นั้น อยู่ระหว่างห้าแสนถึงแปดแสนเหรียญทอง ขณะที่อสูรเทวะมีราคาอยู่ระหว่างสองแสนถึงสี่แสนเหรียญทองซึ่งก็ไม่ได้ผิดไปจากที่อดีตนักฆ่าสาวคาดคะเนไว้ก่อนเริ่มการประมูล
อสูรมายาของฉินอวี้โม่ที่นำออกมาประมูลนั้นมีมากกว่าหกสิบตัว โดยทั้งหมดสร้างรายได้เป็นเงินที่มากกว่ายี่สิบล้านเหรียญทอง หลังจากเป็นค่าธรรมเนียมของโรงประมูลไปหนึ่งในสิบส่วนแล้ว ฉินอวี้โม่ก็ยังคงเหลือเงินถึงยี่สิบล้านเหรียญทองที่สามารถนำไปประมูลสิ่งที่ต้องการได้ ในเรื่องนี้อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูผู้กำลังทำการค้ารู้สึกอิ่มเอมใจจนบรรยายเป็นคำพูดไม่ได้ จู่ ๆ นางก็พบว่าเงินของตัวเองเพิ่มจากหนึ่งหมื่นมาเป็นยี่สิบล้านในชั่วพริบตา นี่เป็นสิ่งที่ยิ่งกว่าฝันไปเสียด้วยซ้ำ
ผู้ประมูลอสูรมายาไปก็รู้สึกพึงพอใจอยู่ไม่น้อย แม้ว่าพวกเขาจะต้องสูญเสียเงินจำนวนมาก ทว่าเมื่อแลกกับอสูรมายาที่ตนได้มานั้นก็นับว่าคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม ยิ่งไปกว่านั้น หากมองในอีกแง่มุม พวกเขายังนับว่าได้กำไรมาส่วนหนึ่งด้วยเพราะการทำพันธสัญญาช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งและระดับพลังของพวกเขาได้
“ฮ่า ๆ แขกผู้มีเกียรติที่ไม่ได้อสูรมายาไปก็อย่าเพิ่งเศร้าเสียใจ พวกเรายังมีของดี ๆ เหลืออยู่อีก บางทีวาสนาของพวกท่านอาจจะตกอยู่ที่ของชิ้นต่อไปก็ได้”
เจียงหลิวเยว่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ยิ่งกว่านั้น ในวันข้างหน้าผู้ฝึกสัตว์อสูรผู้ทรงเกียรติท่านนี้อาจจะนำโอกาสมามอบให้พวกท่านอีกครั้งก็ได้ ถ้าเวลานั้นมาถึงโรงประมูลแห่งไป๋อวิ๋นของเราสัญญาว่าจะแจ้งข่าวให้พวกท่านทราบในทันที”
เมื่อได้ยินสิ่งที่เจียงหลิวเยว่กล่าว ผู้คนที่ตกอยู่ในความหดหู่เพราะไม่สามารถเอาอสูรมายาไปครอบครองได้ก็เริ่มอารมณ์ดีขึ้น จริงอย่างที่นางกล่าว พวกเขายังรอคอยการประมูลอสูรมายาในครั้งต่อไปได้ ตอนนี้รอชมการประมูลของชิ้นถัดไปดีกว่า
ทว่า*‘ผู้ฝึกสัตว์อสูรผู้ทรงเกียรติ’* ที่เจียงหลิวเยว่กล่าวถึงกลับทำได้เพียงยิ้มออกมา
ต้องบอกว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะจับอสูรมายาระดับสูงให้ได้ครั้งละหลาย ๆ ตัว ไม่เพียงแต่จะต้องมีพรสวรรค์ที่สูงส่งแต่ก็ยังต้องหาสถานที่ที่เหมาะสม และต้องอาศัยโชคช่วยด้วยส่วนหนึ่ง ฉินอวี้โม่คิดว่าหากนางจะให้ทำอีกครั้งก็คงจะไม่ง่ายดายเหมือนครั้งนี้อีกเป็นแน่
“เอาล่ะ เรามาประมูลของชิ้นถัดไปกัน”
ในตอนนี้บรรยากาศและอารมณ์ของแขกผู้เข้าร่วมการประมูลทั้งหลายถูกเร่งเร้าจนพุ่งขึ้นถึงจุดสูงสุดแล้ว เจียงหลิวเยว่จึงคิดว่านี่เป็นเวลาอันเหมาะสมที่จะเริ่มประมูลของล้ำค่าชิ้นต่อไป
“ของชิ้นไปต่อที่จะประมูลกันเป็นสิ่งที่นับว่าเลอค่าอย่างหาที่เปรียบไม่ได้สำหรับช่างหลอม แต่ข้าเชื่อว่าทุกท่านในที่นี้จะต้องสนใจมันมากแน่นอน”
หลังจากกล่าวจบผู้ดำเนินรายการสาวก็สะบัดผ้าคลุมถาดเพื่อเผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ด้านใน
บนถาดใบนั้นมีอัญมณีก้อนหนึ่ง ลักษณะใสราวกับแก้ว แวววาวดุจเพชรน้ำงาม ภายใต้แสงไฟที่สาดส่องลงไปนั้นมันสามารถสะท้อนและขับประกายแสงกลับออกมาเป็นจำนวนมาก ยิ่งดูก็ยิ่งหลงใหลยิ่งพินิจก็ยิ่งตรึงจิตต้องใจ
เมื่อเห็นอัญมณีงดงามก้อนนั้น ทั้งฉินอวี้โม่และเยว่ชิงเฉิงก็ตกตะลึง ก่อนจะอุทานชื่อของมันออกมาพร้อม ๆ กัน
“ศิลาวิญญาณ !”
ศิลาวิญญาณคือวัตถุดิบในการสร้างสิ่งหลอมที่หาได้ยากมาก ตามปกติแล้วการที่ช่างหลอมจะหลอมอาวุธระดับวิญญาณหรือระดับสมบัติออกมานั้นแม้ว่าจะยากมากแต่หากมีวัตถุดิบที่ดีพอบวกรวมกับฝีมือที่สูงส่งเข้าขั้นก็สามารถสร้างมันขึ้นมาได้แล้ว
ส่วนการจะหลอมอาวุธระดับวิจิตรให้สำเร็จนั่นนับเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่ายาก
ทว่าหากมีศิลาวิญญาณก้อนนี้อยู่สถานการณ์ก็จะเปลี่ยนไปทันที
ตามตำรากล่าวไว้ ขอเพียงแค่วัตถุดิบที่นำมาใช้ไม่มีปัญหา ตลอดจนฝีมือของช่างหลอมอยู่ในระดับที่สูงพอ เมื่อใช้ศิลาวิญญาณเป็นองค์ประกอบก็จะช่วยให้สามารถหลอมอาวุธระดับวิจิตรออกมาได้ และถึงแม้การจะทำให้ได้อาวุธระดับวิจิตรขั้นใดนั้นจะขึ้นอยู่กับวัตถุดิบอื่น ๆ ที่นำมาใช้ประกอบ แต่หากมีศิลาวิเศษนี้ก็จะสร้างอาวุธระดับวิจิตรได้อย่างแน่นอน
ด้วยเหตุผลเช่นนี้ ศิลาวิญญาณจึงเป็นของหายากและยังเป็นที่ใฝ่ฝันของช่างหลอมทั้งปวง
“ข้าจำได้ว่า ท่านปู่เคยกล่าวไว้ว่าการหลอมอาวุธระดับวิจิตรชิ้นแรกออกมานั้นจะยากยิ่งกว่ายากและยังต้องใช้ความพยายามนับครั้งไม่ถ้วน การหลอมอาวุธระดับวิจิตรเป็นงานที่ท้าทายช่างหลอมอย่างมาก แต่ถ้าหากสามารถสร้างอาวุธระดับวิจิตรจนสำเร็จในชิ้นแรกแล้ว การจะหลอมชิ้นที่สองหรือสามก็จะเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นมาก ลองคิดดูนะ หากมีศิลาวิญญาณ เจ้าก็จะสามารถหลอมอุปกรณ์ระดับวิจิตรชิ้นแรกขึ้นมาได้ หลังจากนั้น ถ้าเจ้าจะหลอมชิ้นต่อ ๆ ไปแม้ว่าจะไม่มีศิลาวิญญาณก็คงกลายเป็นเรื่องที่ไม่ยากเย็น เลยถูกไหม ?”
เยว่ชิงเฉิงเอ่ยปากกระตุ้น แม้ว่าพรสวรรค์ในการหลอมของนางจะจัดว่าธรรมดาจนน่าระอา แต่ในเรื่องของความรู้ความเข้าใจในสิ่งหลอมและวิธีการหลอม อย่างไรนางที่คลุกคลีกับวงการนี้มีชั่วชีวิตก็ต้องมีมากมากกว่าฉินอวี้โม่
เมื่อได้ฟังวาจาของเยว่ชิงเฉิง คุณหนูสี่ก็พยักหน้าเห็นด้วย นางเองก็อยากจะได้ศิลาวิญญาณนี้มาก
แต่กระนั้นฉินอวี้โม่ก็ไม่ได้มีแรงจูงใจสูงถึงขั้นจะต้องฝ่าฟันทุกอย่างเพื่อให้ได้มันมาสถานเดียว ถึงอย่างไรนางก็ยังเป็นเพียงช่างหลอมในระดับอาวุโส และการจะหลอมอาวุธระดับวิจิตรให้ได้จะต้องขึ้นเป็นช่างหลอมระดับเชี่ยวชาญเสียก่อน ซึ่งนางก็ทราบดีว่าการจะเลื่อนระดับทักษะการหลอมขึ้นแต่ละขั้นนั้นยากเย็นเพียงใด ดังนั้นถึงจะได้ศิลาวิญญาณนี้มา แต่นางก็ไม่ทราบอยู่ดีว่านางจะไปถึงระดับนั้นได้เมื่อไหร่
ถึงตอนนั้นไม่แน่ว่านางอาจจะหาศิลาวิญญาณมาได้ด้วยตัวเองแล้วก็เป็นได้
เช่นนั้นแล้วศิลาวิญญาณก้อนนี้ นางก็คงจะปล่อยให้ผู้ที่ต้องการแย่งชิงกันและเลือกชมดูอยู่เงียบ ๆ จะดีกว่า
“ข้ามั่นใจว่าหลายท่านคงจะจดจำรูปลักษณ์ของมันได้ ใช่แล้วนี่ก็คือศิลาวิญญาณ มันเป็นวัตถุดิบที่สำคัญมากในการหลอมสิ่งหลอมระดับวิจิตร แม้ว่าหลายท่านที่อยู่ที่นี่อาจจะไม่ใช่ช่างหลอมระดับเชี่ยวชาญ แต่ข้าเชื่อว่าพวกท่านอาจจะมีคนรู้จักหรือสหายที่อยู่ในระดับนั้น หากอยากจะได้อาวุธระดับวิจิตรมาครอบครอง ศิลาวิญญาณก็ถือเป็นสิ่งจำเป็นมาก ลองคิดสิดูว่าหากท่านมีอาวุธระดับวิจิตรอยู่ในมือ จะเสริมความแข็งแกร่งได้มากเพียงใด แล้วทั้งแผ่นดินนี้จะมีผู้ใดหาญกล้ามาต่อกรกับท่านได้”
เจียงหลิวเยว่กำลังปลุกปั่นอารมณ์ของผู้คนอยู่ นางเชื่อมั่นอย่างมากว่าศิลาวิญญาณจะถูกประมูลในราคาที่สูงจนไม่น่าเชื่ออย่างแน่นอน
“ราคาเริ่มต้นที่ 500,000 เหรียญทอง ขานราคาเพิ่มขึ้นขั้นต่ำครั้งละ 50,000 เหรียญทอง การประมูลศิลาวิญญาณเริ่มต้นขึ้น ณ บัดนี้ !”
โรงประมูลใหญ่แห่งนครไป๋อวิ๋นไม่ได้แจ้งข้อมูลอะไรมากเกี่ยวกับศิลาวิญญาณก้อนนี้ พวกเขาตั้งราคาเริ่มต้นขึ้นไปสูงถึงห้าแสนเหรียญทองในทันที ทำเช่นนี้เสมือนไม่กลัวเลยว่ามันจะขายไม่ออก
และผลก็เป็นดังที่ทางโรงประมูลได้คาดการณ์เอาไว้ไม่ผิดเพี้ยน เพราะศิลาวิญญาณทำให้ฝูงชนบ้าคลั่งได้อย่างแท้จริง
“1,000,000 !”
ผู้เข้าร่วมประมูลในห้องห้องหนึ่งบนชั้นที่สองขานราคาออกมาในทันที เมื่อได้ยินเสียงของคนผู้นั้นทั้งฉินอวี้โม่และเยว่ชิงเฉิงก็ผงะไป
“นั่นไม่ใช่ท่านลุงเยว่หรอกหรือ ?”
ฉินอวี้โม่หันไปมองเยว่ชิงเฉิงพลางเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
เยว่ชิงเฉิงพยักหน้า นั่นคือเสียงบิดาของนาง
แม้ว่าฝีมือประธานสมาคมช่างหลอมคนปัจจุบันจะไม่ได้สูงส่งเท่ากับปรมาจารย์ผู้เฒ่าเยว่เหยา ทว่าในเวลานี้เขาก็เป็นช่างหลอมระดับเชี่ยวชาญและยังใกล้จะก้าวข้ามไปยังระดับถัดไปแล้ว
เขาคงต้องการศิลาวิญญาณนี้มาก เพราะมันมีส่วนช่วยในการก้าวข้ามระดับของเขาได้ เท่านั้นยังไม่พอศิลาวิญญาณนี้ยังช่วยให้ปรมาจารย์เยว่เหยาสร้างสิ่งหลอมระดับวิจิตรขั้นสูงได้หลายชิ้น และทั้งหมดนี้ก็จะช่วยเพิ่มชื่อเสียงให้กับสมาคมช่างหลอมของพวกเขาได้ไม่น้อยทีเดียว
“1,100,000 !”
แต่อย่างไรการจะได้ของชิ้นนี้มาก็ไม่ง่ายเลย ทันทีที่เสียงของผู้นำตระกูลเยว่เงียบไป บุรุษอีกคนก็เสนอราคาเข้าสู้ทันที
“1,200,000 !”
ในเวลานี้แม้แต่คนที่อยู่ในชั้นที่หนึ่งก็ยังไม่ยอมแพ้ ความต้องการที่มีต่อของล้ำค่าชิ้นนี้สูงเป็นอย่างยิ่ง
แม้ว่าจะนั่งอยู่ในชั้นแรกก็จริง แต่เป็นเพราะไม่ทราบว่าผู้ใดมาจากขุมกำลังใดบ้าง อีกทั้งทุกวันนี้ยังมีหลายขุมกำลังที่ยังหลบซ่อนอยู่ในเงามืดไม่เปิดเผยตัว และขุมกำลังลึกลับเหล่านั้นก็ไม่ได้ขาดเงิน
“1,300,000 !”
ใครบางคนจากห้องที่หนึ่งบนชั้นที่สองขานราคาออกมา ทว่าฉินอวี้โม่และเยว่ชิงเฉิงจดจำเสียงนั้นได้ดี
“นั่นหานโม่หยวนจากตระกูลหานนี่ ! ไม่คิดเลยว่าเขาจะมาเข้าร่วมการประมูลในครั้งนี้ด้วย”
เป็นโอวหยางชิงเฟิงที่กล่าวออกมาในทันทีที่ได้ยินเขาก็จำเสียงนั้นได้
ฉินอวี้โม่และเยว่ชิงเฉิงพยักหน้า นั่นเป็นเสียงของหานโม่หยวนจริง ๆ พวกเขาไม่มีทางฟังผิดไปอย่างแน่นอน
“อวี้โม่ เจ้าลืมเรื่องที่เราเคยคุยกันก่อนหน้านี้ไปแล้วหรือ ? ข้าก็บอกแล้วว่าให้เจ้าพาหานโม่ฉือมาด้วย เหตุใดวันนี้ถึงมีแต่เจ้าที่มาแต่ไม่เห็นหานโม่ฉือเลยล่ะ ?”
เมื่อได้ยินเสียงของคุณชายรองตระกูลหาน เยว่ชิงเฉิงก็นึกบางอย่างขึ้นได้ นางจึงหันไปถามสหายด้วยความสงสัย
“ใช่ ยิ่งกว่านั้นการประมูลในวันนี้กลับไม่มีคนจากสมาคมทหารรับจ้างเข้าร่วมเลย ข้านั่งสังเกตดูตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว แม้แต่หลินจิ้งหงที่ชื่นชอบความครื้นเครงอย่างมากก็ยังไม่ปรากฏตัวหรือนี่”
โอวหยางชิงเฟิงพยักหน้า โดยปกติแล้วหลินจิ้งหงไม่เคยพลาดงานประมูลประจำปี ไม่ทราบเหมือนกันว่าเหตุใดงานในวันนี้เขาถึงไม่มา
เมื่อได้ยินสิ่งที่คุณชายตระกูลโอวหยางและคุณหนูตระกูลเยว่กล่าว ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกประหลาดใจ
หากสหายทั้งสองไม่เอ่ยเรื่องนี้ นางเองก็คงจะไม่ได้สังเกต
การที่หานโม่ฉือไม่มาเข้าร่วมก็ถือเป็นเรื่องปกติเพราะมนุษย์น้ำแข็งผู้นั้นมีธุระมากมายที่ต้องจัดการ อีกทั้งฉินอวี้โม่ก็ไม่เห็นหน้าเขามาหลายวันแล้ว นางจึงคิดว่าเขาคงจะยุ่งอยู่กับเรื่องงานและไม่คาดหวังว่าจะได้พบเจอเขาในงานประมูล
ทว่าหลินจิ้งหงนั้นต่างออกไป คุณชายเจ้าสำราญอย่างหลินจิ้งหงไม่ควรจะพลาดงานใหญ่แสนคึกคักแบบนี้ แต่เหตุใดจึงไม่เห็นเขาในงานเลยเล่า ?
‘หรือว่าเวลานี้จะมีสิ่งใดเกิดขึ้น ?’
เมื่อเกิดความคิดดังกล่าว ฉินอวี้โม่ก็วนเวียนทบทวนเรื่องนี้อย่างจริงจังอยู่หลายครั้ง ทว่าโชคร้ายที่หลังจากเวลาผ่านไปนานนางก็ยังคิดไม่ออก ไม่รู้เลยว่าตอนนี้สหายคุณชายผู้นั้นไปทำอะไรที่ไหนและจะมีสิ่งใดที่เกี่ยวข้องกับหานโม่ฉือหรือไม่ ?
เกือบทุกครั้งที่ฉินอวี้โม่ได้เจอหลินจิ้งหง นายน้อยแห่งสมาคมทหารรับจ้างก็ดูเหมือนจะว่างแสนว่าง ว่างจนไม่มีอะไรทำเลยเสียทุกครั้งไป แล้ววันนี้เขาไปอยู่ที่ไหน ?
“คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก อาจจะเป็นเพราะว่าเขาคงรู้อยู่ก่อนแล้วว่าสิ่งที่จะถูกนำออกมาประมูลคืออะไร ในเมื่อไม่มีของที่เขาต้องการเขาก็เลือกที่จะไม่มา”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและไม่คิดถึงเรื่องนี้อีก ไม่ว่าหานโม่ฉือหรือหลินจิ้งหงก็คงมีเหตุผลของพวกเขาเอง ดังนั้นเรื่องนี้นางก็ไม่ควรจะเป็นกังวล
…
ในเวลาเดียวกัน ณ สถานที่แห่งหนึ่งซึ่งไกลออกไปจากโรงประมูลใหญ่แห่งไป๋อวิ๋น
หลินจิ้งหงกำลังไล่ตามความเร็วของหานโม่ฉือไปติด ๆ ไม่มีใครทราบว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือกำลังจะไปที่ไหน
“เฮ้ โม่ฉือ ข้าก็บอกเจ้าไปแล้วว่าวันนี้ที่นครไป๋อวิ๋นมีงานใหญ่ เจ้าไม่เข้าร่วมไม่พอยังให้ข้ามาที่บ้า ๆ นี่อีก ข้าเลยอดไปดูอะไรสนุก ๆ เลย”
หลินจิ้งหงบ่นสหายสนิทด้วยน้ำเสียงไม่กึ่งหงุดหงิดกึ่งหดหู่
ก่อนหน้านี้เขาอยู่ในเหตุการณ์ตอนที่ฉินอวี้โม่จับอสูรมายาไปเป็นจำนวนมาก เขาเองก็อยากจะเข้าไปดูปฏิกิริยาของฝูงชนที่ได้เห็นอสูรมายาระดับสูงจำนวนมากมายเหล่านั้นให้เห็นกับตา แต่น่าเสียดายที่ช่วงเช้ามืดของวันเขาดันถูกหานโม่ฉือลากตัวออกมาจากจวนเสียก่อน โดยที่อีกฝ่ายบอกแค่ว่ามีเรื่องสำคัญต้องให้เขาช่วย
แม้ร่างกายจะอิดออดและในหัวก็ต้องการจะปฏิเสธมากเพียงใด แต่ในท้ายที่สุดหลินจิ้งหงก็พาตัวเองติดตามหานโม่ฉือมาจนได้
“ถ้าเจ้าอยากจะรีบกลับไปดูอะไรสนุก ๆ ที่เจ้าว่า ก็รีบช่วยข้า แค่ช่วยข้าหาสิ่งนั้นก็พอ แล้วพวกเราจะได้กลับกัน ไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะกลับไปทันก่อนที่งานประมูลจะเลิกก็ได้”
หานโม่ฉือที่กำลังเคลื่อนที่อยู่ด้านหน้ากล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบโดยไม่คิดจะหันกลับมามอง ไม่เพียงแต่จะไม่ยอมผ่อนฝีเท้าลงเท่านั้น แต่บุรุษร่างสูงใหญ่ยังรีบเร่งความเร็วของตนขึ้นอีกด้วย
เมื่อเห็นเช่นนั้น คุณชายหลินผู้ถูกกำลังหน้าบูดก็ทำได้เพียงถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะเร่งติดตามสหายมนุษย์น้ำแข็งไปอย่างไม่ลดละ