ตอนที่ 139 ข้าจงใจทำ

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ณ โรงประมูลนครไป๋อวิ๋น

ราคาของศิลาวิญญาณกำลังพุ่งขึ้นสูงอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว จากราคาเริ่มต้นที่ห้าแสนเหรียญทอง บัดนี้กลับพุ่งสูงถึงสองล้านเหรียญทองและยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดแม้แต่น้อย

ถึงแม้จะเหลือผู้ร่วมประมูลที่ยังคงสู้ราคาอยู่จำนวนน้อยนิดแล้วก็ตาม แต่ทุกคนก็ยังคงสู้กันอย่างดุเดือด ในตอนนี้มีสามถึงสี่ขุมกำลังที่ยังคงขับเคี่ยวกันอยู่อย่างไม่ยอมแพ้

‘เยว่หลิงเซียว’–ผู้ดำรงตำแหน่งประธานสมาคมช่างหลอมคนปัจจุบันและเป็นบิดาของเยว่ชิงเฉิงต้องการศิลาวิญญาณนี้เป็นอย่างมาก แม้ว่าราคาจะขึ้นมาสูงถึงสองล้านเหรียญทองแล้ว ทว่าเขาก็ยังไม่หยุดเสนอราคาเข้าสู้

“2,100,000 !”

เยว่หลิงเซียวขานราคา เขาตัดสินใจไว้แล้ว ถ้าหากว่าราคาของมันยังไม่เกินสองล้านห้าแสนเหรียญทอง เขาก็จะขอสู้ต่อไป

“2,200,000 !”

ไม่ทราบว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ทว่าในตอนนี้หวังรั่วจวินได้เข้ามาร่วมในการประมูลศิลาวิเศษมูลค่าสูงนี้ด้วยแล้ว ยิ่งกว่านั้นดูเหมือนว่าเขาจะสนใจของประมูลชิ้นนี้มาก

“2,500,000 !”

หานโม่หยวนขานราคาต่อทันที ซึ่งก็ทำให้ราคาประมูลของศิลาวิญญาณทะยานขึ้นไปถึงสองล้านห้าแสนเหรียญทองเป็นที่เรียบร้อย

เยว่หลิงเซียวถอนหายใจออกมา ก่อนจะล้มเลิกการเสนอราคาแข่ง ที่ราคาสองล้านห้าแสนนี้ถือว่าเกินงบประมาณที่เขาตั้งเอาไว้

“2,600,000 !”

ทว่าหวังรั่วจวินยังไม่ยอมแพ้ กล่าวเลยว่าสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรนั้นร่ำรวยอย่างแท้จริง เพราะราคาในตอนนี้ยังคงอยู่ในระดับที่นายน้อยแห่งสมาคมมั่งคั่งรับได้ ยิ่งกว่านั้นชวี่เซียวเองก็เห็นด้วยกับหวังรั่วจวินที่ต้องการนำเอาศิลาวิญญาณนี้กลับสมาคมไปให้ได้ ตามความคิดของชวี่เซียว หากเขาพวกเขาได้ศิลาวิญญาณมา บางทีพวกเขาอาจจะดึงดูดช่างหลอมเก่ง ๆ ให้มาเข้าร่วมได้ ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้นพวกเขาก็จะไม่ต้องติดต่อซื้ออาวุธหรืออุปกรณ์อื่น ๆ จากสมาคมช่างหลอมอีกต่อไป

“3,000,000 !”

หานโม่หยวนไม่มีทีท่าว่าจะยอมแพ้ ดูเหมือนว่าศิลาวิญญาณนี้จะมีความสำคัญกับเขามากจริง ๆ

“บ้าจริง !”

หวังรั่วจวินกัดฟันกรอด แน่นอนว่าเขารู้ดีว่าผู้ที่กำลังเสนอราคาแข่งกับเขาอยู่ก็คือหานโม่หยวน แต่ศิลาวิญญาณก็สำคัญกับพวกเขาเช่นกัน ฉะนั้นพวกเขาจะไม่มีทางยอมแพ้ในการประมูลนี้ง่าย ๆ

“3,100,000 !”

เมื่อหันไปมองชวี่เซียว และเห็นอีกฝ่ายพยักหน้า เขาจึงขานราคาสู้

“3,500,000 !”

หานโม่หยวนไม่มีความลังเลในการสู้ราคาเลย เขาต่อรองทันทีราวกับว่าเงินสามล้านห้าแสนเหรียญทองไม่ได้มากมายสำหรับเขา วันนี้เขาตัดสินใจแล้วว่าจะยอมทุ่มเงินไม่อั้น ขอเพียงได้ศิลาวิญญาณนี้มา เขาจะสามารถหลอมสุดยอดอาวุธขึ้นมาได้ ถึงตอนนั้นเขาก็จะมีพลังมากพอที่จะต่อกรกับหานโม่ฉืออย่างไม่เป็นรอง คุณชายตระกูลหานผู้อยู่ใต้เงาของพี่ชายมาโดยตลอดคิดจะใช้ศิลาวิญญาณนี้เป็นไพ่ตายใบสำคัญ

เมื่อได้ยินหานโม่หยวนเสนอราคาที่กระโดดไปถึงสามล้านห้าแสนเหรียญทอง ใบหน้าของหวังรั่วจวินก็บิดเบี้ยว เขารู้ตัวว่าไม่สามารถสู้ราคาต่อไปได้อีกแล้ว

ชวี่เซียวถอนหายใจและส่ายศีรษะ ราคาสามล้านห้าแสนเหรียญทองเกินกว่างบประมาณทั้งหมดที่สมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรตั้งไว้ไปมาก และจากท่าทีของบุรุษตระกูลหาน แม้ว่าพวกเขาจะสู้ราคาจนไปถึงสี่ล้านเหรียญทอง อีกฝ่ายก็คงจะไม่ยอมแพ้แน่ ตัวแทนสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรจึงยอมปล่อยให้หานโม่หยวนได้ศิลาวิญญาณไป

หวังรั่วจวินหยุดขานราคาแล้ว เมื่อได้ยินราคาที่หานโม่หยวนเสนอ ทุกคนภายในหอประมูลแห่งนั้นก็ได้แต่อ้าปากค้าง ราคาที่สามล้านห้าแสนเหรียญทองสำหรับศิลาวิญญาณหนึ่งก้อนถือว่าบ้าบอเกินไปแล้ว เงินจำนวนนี้แม้จะเอามาใช้ในการบริหารตระกูลใหญ่ ๆ ก็ยังกินอยู่ไปได้นานหลายปี แน่นอนว่าคงไม่มีขุมกำลังใดยอมใช้เงินมหาศาลเพียงนี้ซื้อศิลาวิญญาณเพียงก้อนเดียว แม้ว่าจะมีช่างหลอมหลายคนที่ฝันอยากจะได้มันใจแทบขาดแต่ก็ไม่มีใครกล้าลงทุนถึงเพียงนั้นและก็ไม่มีผู้ใดมีเงินมากมายขนาดนี้ด้วย

“มีใครอยากจะเสนอราคาอีกหรือไม่ ?”

เจียงหลิวเยว่ยิ้มพลางกล่าวอย่างพึงพอใจ ราคาสามล้านห้าสูงเกินกว่าที่นางคาดไว้เสียอีก นางคิดว่าเถ้าแก่เองก็คงจะเป็นปลื้มกับราคานี้อย่างแน่นอน

เมื่อไม่มีผู้ใดกล่าวคัดค้านหรือกล้าสู้ราคาอีกก็ดูเหมือนว่าศิลาวิญญาณก้อนนี้จะต้องถูกเก็บกลับไปยังตระกูลหานพร้อมกับหานโม่หยวน

“สามล้านห้าแสนเหรียญทองครั้งที่หนึ่ง !”

เจียงหลิวเยว่นับอย่างช้า ๆ แม้ว่าในใจจะไม่คิดว่ามีผู้ใดที่เสนอราคามากกว่านี้อีกแล้ว แต่หน้าที่ก็คือหน้าที่ โฉมงามอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดินต้องการทำหน้าที่ผู้ดำเนินการประมูลให้สมบูรณ์แบบ

“สามล้านห้าแสนเหรียญครั้งที่สอง !”

การประมูลในครั้งนี้คงจะจบเพียงเท่านั้น หลังจากนับมาจนถึงครั้งที่สองก็ยังไม่มีผู้ใดเสนอราคาที่สูงกว่าออกมา

“สามล้านหะ—”

“4,000,000 !”

ในตอนที่เจียงหลิวเยว่กำลังจะนับในครั้งที่สามและเตรียมประกาศผู้ชนะในการประมูล ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาขัดเสียก่อน

สิ้นเสียงขานราคาอันสูงลิบลิ่ว ผู้คนมากมายทั่วทั้งหอประมูลก็พากันหยุดชะงัก ทุกสรรพเสียงมลายหายไปจนหมดสิ้น ทุกสายตาหันไปมองยังห้องชั้นที่สามด้วยสายตาที่ผสมผสานด้วยความอยากรู้อยากเห็นและยำเกรง

คราแรกหานโม่หยวนผ่อนคลายลงมามาก เขามั่นใจเสียยิ่งกว่ามั่นใจแล้วว่าจะต้องได้ศิลาวิเศษที่หมายปองมาครอบครองเป็นแน่ เขาจึงสั่งให้คนของเขาเตรียมเงินเพื่อเตรียมจ่ายให้ทางโรงประมูลและเตรียมตัวรับศิลาวิญญาณกลับไป ในตอนที่เจียงหลิวเยว่เริ่มนับครั้งที่สามเขาก็ลุกขึ้นยืนแล้ว ไม่คิดเลยว่าจู่ ๆ จะมีเสียงขานราคาดังมาจากห้องชั้นสาม เพียงพริบตาราคาก็กระโดดขึ้นไปอีกห้าแสนเหรียญ

“นี่เจ้าจงใจก่อกวนใช่หรือไม่ ?”

เมื่อได้ยินการราคาเสนอของคนจากชั้นสาม หานโม่หยวนก็โกรธเคืองแทบคลั่ง เขาหันไปมองกระจกห้องชั้นสามที่ฉินอวี้โม่และสหายอยู่พลางเอ่ยปากถามเสียงเดือดดาล

“มีกฎห้ามอย่างนั้นหรือ ?”

ฉินอวี้โม่ถามกลับไปอย่างยียวน ก่อนจะกล่าวต่อ “เหมือนว่าข้าจะยังไม่ได้ยินแม่นางเจียงนับถึงครั้งที่สามเลยนะ พอดีว่าก่อนหน้านี้ข้ามัวคิดเรื่องอื่นอยู่จึงไม่ได้เข้าร่วมต่อรองราคา แล้วตอนที่ได้ยินแม่นางเจียงกำลังจะนับครั้งที่สามข้าก็ได้สติพอดี ข้าเองก็ไม่อยากจะพลาดศิลาวิญญาณนี้เช่นกันจึงต้องรีบเสนอราคาออกไปเช่นนั้น ข้าไม่คิดว่าข้าทำผิดกฎข้อไหนเลยนะ”

หานโม่หยวนผู้ติดบัญชีดำเคยลงมือทำร้ายมนุษย์น้ำแข็งของนาง ฉินอวี้โม่จึงไม่คิดจะให้เขาสมหวังได้ศิลาวิเศษก้อนนี้ไปง่าย ๆ อย่างไรตอนนี้นางก็มีเงินมหาศาลอยู่แล้ว ถ้าหานโม่หยวนไม่สู้ราคาต่อ นางก็จะได้หินแสนวิเศษนี้มา แต่ถ้าหากเขาจะยังสู้ต่อก็ถือเป็นการตัดกำลังทรัพย์ของฝ่ายตรงข้ามได้ ไม่ว่าจะทางไหนฉินอวี้โม่ก็มีแต่ได้กับได้

ยิ่งได้เห็นการเสนอราคาประมูลอันแสนมุ่งมั่นไม่ลดละของหานโม่หยวนแล้ว คุณหนูตระกูลฉินก็มั่นใจว่าเขาจะไม่ยินยอมให้ผู้ใดแย่งศิลาวิญญาณนี้ไปได้แน่ไม่ว่าจะต้องจ่ายมากเท่าไหร่ ซึ่งถ้าหากเป็นเช่นนั้นก็ช่วยสงเคราะห์ให้เขาเปลืองเงินเยอะขึ้นกว่านี้หน่อยก็แล้วกัน

“แม่นางเจียง การขานราคาของข้าช้าไปแล้วใช่หรือไม่ ?”

ฉินอวี้โม่เอ่ยถามเจียงหลิวเยว่

โฉมงามอันดับหนึ่งส่ายศีรษะ ในตอนนี้นางยิ่งสงสัยมากขึ้นว่าแขกพิเศษที่ชั้นสามคือผู้ใดกันแน่ แต่ไม่ว่าจะเป็นใคร คนผู้นั้นก็ได้สร้างความประทับใจที่ดีไว้ให้นางอย่างยิ่ง

“ไม่อย่างแน่นอน ขอเพียงขานก่อนที่ข้าจะนับครั้งที่สามก็ถือว่ายังทัน การขานราคาของท่านครั้งนี้ยังไม่สายเกินไป ข้ามั่นใจว่าทุกคนเองก็ได้ยินชัดเหมือนกับข้า”

เมื่อได้ยินคำตอบของผู้เดำเนินรายการสาวงาม คุณหนูสี่ตระกูลฉินก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม

“คนที่ชั้นสอง หากว่าเจ้ายังอยากจะเสนอราคาก็เชิญว่าต่อ แต่ถ้าหากเจ้าสู้ราคาไม่ไหวก็จงอยู่เงียบ ๆ แล้วให้แม่นางเจียงได้ประกาศผู้ชนะการประมูล ศิลาวิญญาณก้อนนั้นจะได้เป็นของข้า”

หลังเอ่ยวาจาเช่นนั้นฉินอวี้โม่ก็ไม่กล่าวสิ่งใดอีก นางเงียบนิ่งเพื่อรอคอยการตัดสินใจของฝ่ายตรงข้าม

สีหน้าของหานโม่หยวนเปลี่ยนไปเล็กน้อย ทว่าเขากลับหัวเราะออกมาแทนการระเบิดโทสะ

“ฮ่า ๆ ๆ น่าสนใจดีนี่”

หานโม่หยวนยิ้มเย็นชาก่อนจะขานราคาอีกครั้ง และครั้งนี้น้ำเสียงที่เขาใช้ก็ฟังดูสบาย ๆ ไม่ต่างจากการกล่าวเรื่องสัพเพเหระ

“4,500,000 !”

ในเมื่อมีคนอยากจะเสนอราคาแข่งกับเขา เขาก็พร้อมจะสู้สุดชีวิต ในเมื่อพร้อมจะทุ่มสุดตัวแล้ว ต่อให้อีกฝ่ายเป็นแขกพิเศษที่นั่งอยู่บนชั้นสามเขาก็ไม่หวาดหวั่นแม้แต่น้อย

“5,500,000 !”

ฉินอวี้โม่ยิ้มชอบใจ ก่อนจะเสนอราคาเกทับเขาไปอีกหนึ่งล้านเหรียญทองในครั้งเดียว

เยว่ชิงเฉิงและโอวหยางชิงเฟิงจ้องมองฉินอวี้โม่ด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง คนทั้งสองคิดเห็นตรงกันว่าสหายตระกูลฉินผู้นี้คงจะบ้าไปแล้วแน่ ๆ อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ไม่ได้คิดจะหยุดนาง พวกเขาทั้งคู่อยากจะรอดูว่าคุณหนูคนงามผู้นี้จะทำอะไรกันแน่

“6,000,000 !”

หานโม่หยวนขานราคาต่อทันทีด้วยน้ำเสียงที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยสักนิด

“6,500,000 !”

ฉินอวี้โม่ยิ้มออกมา นางก็สู้ราคาต่อโดยไม่ลังเลเช่นกัน

เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่สงบของทั้งฉินอวี้โม่และหานโม่หยวนแล้ว ทุกคนในหอประมูลแห่งนี้ก็อึ้งไปในฉับพลัน พวกเขารู้สึกว่าคนธรรมดาอย่างพวกเขาคงไม่มีทางเข้าใจโลกของคนมั่งคั่งผู้ร่ำรวยล้นฟ้าจนเอาเงินมาเล่นเป็นของเล่นกันเช่นนี้ได้

“เจ็ดล้าน ! ข้าขอบอกไว้เลยว่าถ้าหากเจ้ายังขานราคาต่ออีก งั้นเจ้าก็เอาศิลามายานี้กลับไปได้เลย !”

ในตอนนี้ หานโม่หยวนเองก็มาถึงขีดจำกัดแล้วเช่นกัน หากว่าอีกฝ่ายยังกล้าเสนอราคาเกินกว่าเจ็ดล้านเหรียญทอง เขาก็จะขอยอมล้มเลิกความคิดที่จะสร้างสุดยอดอาวุธและให้อีกฝ่ายเอามันกลับไป

“เอาแบบนั้นจะดีหรือ ?…..ก็ได้ งั้นเจ้าเป็นฝ่ายชนะ”

ฉินอวี้โม่ยิ้มพลางกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ แล้วหยุดขานราคาไปเสียเช่นนั้น

“พะ พรวด~ ฮ่า ๆ ๆ ๆ”

ในตอนที่ได้ยินคำพูดแรกของฉินอวี้โม่ทุกคนต่างก็คิดว่านางคงจะสู้ราคาต่ออีกครั้ง แต่ไม่คิดเลยว่าจู่ ๆ นางจะหยุดไปเสียดื้อ ๆ เช่นนี้

ในตอนนั้นเองทั่วทั้งหอประชุมก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะอย่างขบขัน

ภายในห้องบนชั้นสามที่ฉินอวี้โม่อยู่ โอวหยางชิงเฟิงและเยว่ชิงเฉิงตอบสนองก่อนผู้อื่น พวกเขาทั้งคู่ลงไปนอนหัวเราะอยู่บนพื้นตั้งนานแล้ว

ในตอนแรกพวกเขาก็เผลอคิดว่าฉินอวี้โม่อาจจะบ้าไปแล้วจริง ๆ ที่คิดแย่งชิงศิลาวิญญาณด้วยราคาที่สูงเหนือสามัญสำนึกขนาดนั้น แต่เมื่อได้ยินวาจาเมื่อครู่ของนาง พวกเขาก็เข้าใจในทันที

ถึงแม้จะคาดไว้แล้วว่านี่คงเป็นแผนของฉินอวี้โม่ที่จะปั่นป่วนอีกฝ่าย แต่พวกเขาก็ยังอดหัวเราะไม่ได้อยู่ดี

“คุณหนู ท่านนี่สุดยอดจริง ๆ”

เสี่ยวโร่วหัวเราะไปพลางเช็ดน้ำตาไปพลาง สองมือเช็ดหัวตาป้อย ๆ สาวใช้น้อยนั่งขำเสียจนน้ำตาเล็ด นางมองคุณหนูของตนด้วยแววตาแสนเทิดทูน ไม่คิดเลยว่าคุณหนูของนางจะร้ายกาจถึงเพียงนี้ อย่างไรก็ตามสาวน้อยก็ยังมิวายหัวเราะต่อไปอย่างต่อเนื่อง

ฉินอวี้โม่ยิ้มกว้าง แม้จะไม่ได้แสดงออกว่ามีความสุขหรือสะใจมากมายเหมือนกับเหล่าสหาย แต่ในใจของนางก็รื่นเริงไม่แพ้พวกเขา สามารถทำให้หานโม่หยวนเสียเงินมากขึ้นถึงเท่าตัวได้ในชั่วพริบตา เช่นนี้จะไม่ให้นางรู้สึกสะใจได้อย่างไร

“ฮ่า ๆ ๆ มหัศจรรย์จริง ๆ ไม่คิดเลยว่าแท้จริงแล้วแขกพิเศษที่ชั้นสามจะจงใจเล่นงานอีกฝ่าย การที่จู่ ๆ นางก็เปลี่ยนท่าทีทำให้ข้าขำจนท้องแข็งไปหมดแล้ว ฮ่า ๆ ๆ”

มีบางคนกล่าวออกมาทั้ง ๆ ที่ยังคงหัวเราะอยู่ เมื่อนึกถึงคำพูดของสตรีในชั้นสามและจินตนาการถึงใบหน้าของหานโม่หยวนในตอนนี้ เขาก็หยุดหัวเราะไม่ได้จริง ๆ

“ใช่ ๆ ข้าก็คิดว่านางตั้งใจจะเสนอราคาแข่งกับหานโม่หยวนจริง ๆ เสียอีก ที่ไหนได้นางแค่จงใจจะป่วนการประมูลของหานโม่หยวนต่างหาก ตอนแรกข้าก็รอฟังราคาที่นางจะเสนอ แต่ จู่ ๆ นางก็เปลี่ยนท่าทีในไปเสียดื้อ ๆ ข้านี่ขำพรวดเลย ฮ่า ๆ ๆ”

อีกคนกล่าวสนับสนุน ก่อนจะกลับไปหัวเราะต่อ

แม้แต่เจียงหลิวเยว่ที่อยู่บนเวทีก็ยังแทบจะกลั้นขำไม่ได้ แม้ว่านางจะพยายามเอามือปิดปากเอาไว้อย่างเต็มที่ ทว่าก็เห็นชัดว่านางยังคงแอบยิ้มอยู่ดี ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอารมณ์ของนางในตอนนี้นั้นสุขล้นขนาดไหน

ทั้งเถ้าแก่และผู้ฝึกสัตว์อสูรของโรงประมูลเองก็หัวเราะเสียงดังลั่น เหตุผลหนึ่งก็เพราะว่าพวกเขาถูกใจฉินอวี้โม่เป็นอย่างมาก อีกเหตุผลก็เป็นเพราะหานโม่หยวนต้องใช้เงินถึงเจ็ดล้านเหรียญทองในการประมูล งานนี้โรงประมูลของเขาได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ

ภายในห้องของหานโม่หยวนบนชั้นที่สองแม้แต่คนที่มากับเขาบางคนก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้ และถึงจะพยายามกลั้นเอาไว้อย่างเต็มที่แล้ว แต่หากดูจากการสั่นโขยกเขยกของหัวไหล่แล้วก็จะทราบทันทีว่าพวกเขารู้สึกขบขันเพียงใด

ขณะนี้ใบหน้าของหานโม่หยวนบิดเบี้ยวจนน่าเกลียดน่ากลัว ความแค้นเคืองจุกอกจนแทบจะเอ่ยสิ่งใดไม่ออก เขาถูกบุคคลปริศนาบนชั้นที่สามปั่นหัวเล่น สำหรับเขาแล้วการกระทำเช่นนี้ถือว่าน่ารังเกียจอย่างแท้จริง

“ไปหามาให้ได้ว่าไอ้คนที่มันอยู่บนชั้นสามนั่นมันเป็นใคร ! กล้าดียังไงมาเล่นตลกกับข้า ? ข้าต้องให้มันได้ชดใช้อย่างสาสม”

หานโม่หยวนสั่งบุรุษที่ยืนอยู่ข้างกายด้วยความเดือดดาล เขาต้องการจะรู้ว่า คนน่ารังเกียจที่เจตนากลั่นแกล้งเขาคือผู้ใด

คนผู้นั้นพยักหน้า สีหน้าของเขาดูเหมือนจะโล่งอกขึ้นมาไม่น้อย พอได้รับคำสั่งเขาก็รีบวิ่งออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว และในทันทีที่พ้นสายตาผู้เป็นนายเขาก็หัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่

“เจ้าจงใจใช่หรือไม่ ?!”

หานโม่หยวนมองไปยังห้องบนชั้นสามก่อนจะกล่าวอย่างโกรธเคือง

แม้ว่าฉินอวี้โม่จะไม่เห็นใบหน้าของเขาแต่ก็พนันได้เลยว่ามันคงจะน่าเกลียดเป็นอย่างมาก นางยิ้มออกมาบาง ๆ ก่อนจะเอ่ยตอบเสียงใสซื่อ

“ใช่ ข้าจงใจ”

“ฮ่า ๆ ๆ ๆ !”

สิ้นคำตอบของฉินอวี้โม่ คนที่กลั้นหัวเราะได้ในคราแรกก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เสียงฮาครืนดังก้องโถงกว้างของหอประมูลอีกครั้ง

อีกฝ่ายถามถึงจุดประสงค์ นางกลับตอบกลับไปตรง ๆ ว่าจงใจ ไม่คิดเลยว่าสตรีปริศนาบนชั้นที่สามจะกล้าตอบอย่างหน้าตาเฉย แถมยังใช้น้ำเสียงที่สงบและดูไร้เดียงสาได้ถึงเพียงนี้

การกระทำของนางเหมือนกับการตบคนอื่นเข้าที่ใบหน้าอย่างเจ็บแสบ ก่อนจะบอกอีกด้วยว่า ‘ข้าตั้งใจตบจริง ๆ เจ้ามีปัญหาอะไรหรือไม่ ?’

ในเวลานี้นอกจากหานโม่หยวนแล้ว คนอื่น ๆ ต่างก็หัวเราะกันอยู่ ยิ่งไปกว่านั้น หลายคนก็ยังรู้สึกชื่นชมแขกพิเศษที่อยู่ในห้องชั้นที่สามเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย

สีหน้าและอารมณ์ของหานโม่หยวนเลวร้ายลงไปเรื่อย ๆ เขาไม่รู้ว่าควรจะกล่าวสิ่งใดออกไปดี แต่ที่รู้คือ เขาได้จดบัญชีแค้นในครั้งนี้เอาไว้แล้ว

ไม่ว่าคนที่อยู่บนชั้นสามจะเป็นใครมาจากไหน ขอเพียงได้รู้ เขาสาบานจะเอาคืนมันผู้นั้นอย่างเจ็บแสบ !

.