ตอนที่ 140 โอสถผสานสวรรค์

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

“เอาล่ะ มีใครอยากจะเสนอราคาอีกหรือไม่ ?”

เจียงหลิวเยว่ทราบดีว่าสิ่งที่นางถามออกไปไม่ต่างจากเรื่องเหลวไหล ทว่าตามหลักปฏิบัติที่ดีของการประมูลแล้ว โฉมงามอันดับหนึ่งยังคงต้องถามออกไป

ซึ่งก็แน่นอนว่ายิ่งได้ยินคำถามเช่นนั้น ใบหน้าของหานโม่หยวนก็ยิ่งดูอึดอัดและบิดเบี้ยว

“แม่นางเจียง เจ้าคิดหรือว่าจะมีใครขานราคาออกมาอีก ? รีบ ๆ ประกาศผลเร็วเข้าเถอะ”

ผู้เข้าร่วมการประมูลทุกคนได้ยินเสียงอันแสนเย็นเฉียบของหานโม่หยวนอย่างชัดเจน ความอดทนของคนผู้นี้ใกล้ถึงขีดจำกัดแล้ว

“คุณชายหานโปรดอย่าใจร้อน ข้าเพียงทำตามขั้นตอนเท่านั้น นี่เป็นกฎของโรงประมูล”

เจียงหลิวเยว่ไม่มีท่าทีที่เกรงกลัวหานโม่หยวนเลยแม้แต่น้อย เมื่อได้ยินวาจาราวกับหมดความอดทนของคุณชายรองตระกูลหาน นางก็เพียงกล่าวตอบไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนจะเริ่มนับอย่างช้า ๆ

“เจ็ดล้านเหรียญทองครั้งที่หนึ่ง !”

เจียงหลิวเยว่มั่นใจว่าจะไม่มีผู้ใดเสนอราคาเข้าสู้อีกแน่ ราคาประมูลที่เจ็ดล้านนี้เหนือกว่าความคาดหมายของทุกคนไปมากแล้ว ในโลกใบนี้คงจะหาบุคคลที่ยินยอมจ่ายเงินถึงเจ็ดล้านเหรียญทองเพื่อศิลาวิญญาณเพียงก้อนเดียวไม่ได้อีกแล้ว

“เจ็ดล้านเหรียญทองครั้งที่สอง !”

เจียงหลิวเยว่ยังคงนับต่อไปอย่างช้า ๆ แม้ว่าจะถูกหานโม่หยวนกล่าวกดดันก็ตามแต่นางก็ไม่มีความคิดที่จะเร่งรัดขั้นตอนนี้

“เจ็ดล้านเหรียญทองครั้งที่สาม ! ขอแสดงความยินดีกับคุณชายหานด้วยที่ชนะในการประมูลศิลาวิญญาณ และขอขอบคุณเป็นอย่างสูงสำหรับความกรุณาที่มอบให้โรงประมูลของเรา”

เจียงหลิวเยว่ประกาศผลการประมูลด้วยรอยยิ้มกว้าง อีกทั้งยังไม่ลืมที่จะกล่าวขอบคุณหานโม่หยวน ทว่านี่กลับทำให้ใบหน้าและอารมณ์ของหานโม่หยวนย่ำแย่ยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตามโฉมงามอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดินก็มิได้สนใจ นางยังคงทำหน้าที่ดำเนินการประมูลต่อไปด้วยความตั้งใจเต็มที่

“ลำดับต่อไปจะเป็นของชิ้นสุดท้ายที่เราจะนำออกมาประมูลในวันนี้ ขอย้ำว่าชิ้นสุดท้าย แน่นอนว่าของชิ้นนี้ไม่ทำให้ทุกท่านผิดหวังอย่างแน่นอน”

เจียงหลิวเยว่ยิ้มแล้วกล่าวต่อ “เนื่องจากของชิ้นสุดท้ายเป็นของที่หาได้ยากอย่างเหนือคำบรรยายจึงอาจจะยั่วใจให้บางคนเกิดความไม่ประสงค์ดีขึ้นได้ ดังนั้นแล้วของชิ้นนี้จะให้ผู้อาวุโสที่แข็งแกร่งที่สุดของโรงประมูลเราเป็นผู้ดูแล ไม่ว่าผู้ใดจะได้มันไป ผู้อาวุโสของเราก็จะนำไปส่งมอบให้ด้วยตัวเอง”

เมื่อพวกเขาได้ยินคำอธิบายของเจียงหลิวเยว่ ฝูงชนก็ส่งเสียงโห่ร้องออกมาในทันที ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ความอยากรู้อยากเห็นและคาดหวังฉายชัดออกมาอย่างไม่ปิดบัง

เจ้าสิ่งนั้นมันคืออะไรกันแน่ ? ทั้งลึกลับและล้ำเลอค่าจนไม่สามารถนำออกมาให้ทุกคนดูได้ แม้แต่จะเรื่องที่ว่ายอดฝีมือคนใดบนเวทีที่เป็นผู้ถือมันอยู่พวกเขาก็จงใจปิดบังไว้ ทว่ากลับจะให้ทุกคนเริ่มการประมูลกันเสียแล้ว เรื่องเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ฉินอวี้โม่และเหล่าสหายในห้องชั้นสามเองก็อดนึกฉงนไม่ได้ มันมีของสิ่งใดกันที่จะลึกลับมากจนถึงขั้นที่ทางโรงประมูลต้องยอมใช้วิธีที่ผิดปกติถึงเพียงนี้ ?

“ของชิ้นสุดท้ายก็คือโอสถ และชื่อของโอสถนี้ ขอเพียงแค่ข้าเอ่ยมันออกไป ทุกท่านจะต้องตกตะลึงอย่างแน่นอน”

เจียงหลิวเยว่หยุดแล้วกวาดสายตามองผู้คนก่อนจะกล่าวประโยคต่อไปอย่างช้า ๆ “ชื่อของมันก็คือ ‘โอสถผสานสวรรค์’ ”

ทันทีที่สิ้นเสียงของเจียงหลิวเยว่ ทั่วทั้งหอประมูลก็ถูกความเงียบงันเข้าปกคลุมอย่างเฉียบพลัน มันเงียบเสียจนทุกคนสามารถได้ยินเสียงลมหายใจของคนที่อยู่ข้าง ๆ ได้

โอสถผสานสวรรค์คือโอสถในตำนาน แม้แต่ผู้หลอมโอสถระดับเชี่ยวชาญก็ยังไม่สามารถหลอมมันออกมาได้ ไม่อยากเชื่อเลยว่าโรงประมูลแห่งไป๋อวิ๋นจะเฟ้นหาโอสถล้ำค่าเช่นนี้มาได้และยังใจป้ำนำออกมาให้ผู้อื่นประมูล

กล่าวกันว่าโอสถผสานสวรรค์นี้สามารถทำให้จอมยุทธ์มายาบรรพชนเก้าดาราก้าวข้ามไปยังขอบเขตทูตสวรรค์ได้อย่างไร้เงื่อนไข แน่นอนว่าหากได้ก้าวไปอยู่ระดับนั้นคนผู้นั้นก็จะกลายเป็นหนึ่งในตัวตนระดับแนวหน้าของแผ่นดิน

ต้องทราบก่อนว่าในแผ่นดินนี้ แม้จอมยุทธ์ระดับมายาบรรพชนจะหาได้ยากแต่ก็ยังมีให้เห็นอยู่บ้าง ทว่าจอมยุทธ์ระดับทูตสวรรค์นั้นกลับมีอยู่เพียงหยิบมือ การได้ก้าวขึ้นไปถึงระดับนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ว่าผู้ใดก็ต้องใฝ่ฝัน หากแต่มีจอมยุทธ์มายาบรรพชนเพียงไม่ถึงหนึ่งส่วนสิบเท่านั้นที่ไปยังจุดนั้นได้ จอมยุทธ์มายาบรรพชนมากมายติดอยู่ในขอบเขตนี้ไปจนวาระสุดท้ายแห่งชีวิต อย่างไรก็ตามการได้ครอบครองโอสถผสานสวรรค์จะทำให้สถานการณ์ต่างออกไป

ขอเพียงแค่ได้โอสถผสานสวรรค์นี้มาก็จะสามารถทะลวงเข้าสู่ขอบเขตทูตสวรรค์ได้ทันทีในตอนที่อยู่ขอบเขตมายาบรรพชนเก้าดารา โอกาสเช่นนี้ชั่วชีวิตของจอมยุทธ์ผู้หนึ่งไม่ว่าจะแข็งแกร่งและมีอายุยืนยาวมากเท่าใดก็คงจะไม่มีวันได้พบเจออีกแล้ว ดังนั้นไม่ว่าตอนนี้จะอยู่ในระดับพลังใด ขอเพียงได้มีมันไว้ในครอบครองก่อนก็นับว่าเกินจะคุ้มค่าแล้ว

หลังจากถูกความเงียบครอบงำไปชั่วขณะหนึ่ง เมื่อผู้คนได้สติรู้ตัวจากความตื่นตะลึง ทั่วทั้งโถงกว้างแห่งโรงประมูลก็เต็มไปด้วยเสียงอึกทึก

“แม่นางเจียง โปรดประกาศราคามาเถิด ไม่ว่ามันจะราคาเท่าไหร่พวกเราก็พร้อมจะทุ่มสุดตัว ต่อให้ต้องขายบ้านขายที่ทำกินพวกเราก็จะเอามันมาให้ได้”

บุรุษผู้หนึ่งอดทนรอไม่ไหวจนต้องรีบกล่าวเร่งเจียงหลิวเยว่ เขาพร้อมจะทุ่มเททรัพย์สินทั้งหมดที่มีเพื่อให้ได้โอสถในตำนานที่แสนล้ำค่านั้นมา

“ใช่ โปรดประกาศราคามาด้วย เราจะได้เริ่มเสนอราคา อย่ามัวแต่รีรอให้เสียเวลาเลย !”

กระแสเสียงมากมายในฝูงชนเริ่มเอ่ยเร่งรัดมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว ใบหน้าของทุกผู้คนบ่งชี้ถึงแรงปรารถนาอันเปี่ยมล้น

ในที่สุดฉินอวี้โม่ก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดโรงประมูลถึงได้ทำให้การประมูลสุดท้ายของงานนั้นยุ่งยากนัก นั่นก็เพราะว่าของที่จะนำออกมาประมูลคือโอสถผสานสวรรค์ คุณค่าของมันเหนือคำบรรยาย หากนำมันออกมาจัดแสดงสุ่มสี่สุ่มห้าอย่าว่าแต่จะประมูลกันต่อเลย เพราะเพียงแค่ควบคุมความโกลาหลและระงับความบ้าคลั่งของฝูงชนให้ได้ก็ลำบากแล้ว

วันนี้ไม่ว่าผู้ใดจะได้มันไปครอบครองก็ถือว่าอันตรายอย่างมากเพราะมันคือสิ่งที่ทุกคนปรารถนา ความเย้ายวนใจของมันสามารถชักนำให้มนุษย์ยอมทำทุกวิถีทางและถูกความมืดมนเข้าครอบงำจิตใจได้โดยง่าย เป็นไปได้สูงว่าในตอนที่นำมันกลับออกไปจากโรงประมูลอาจจะมีผู้ไม่ประสงค์ดีจำนวนไม่น้อยดักซุ่มรอกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดอยู่ เมื่อถึงตอนนั้นผู้ชนะการประมูลก็อาจจะเอาตัวไม่รอดก็ได้

อย่างไรก็ตามสีหน้าของฉินอวี้โม่ก็ยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น ไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องเอามันมาให้ได้

ขอเพียงแค่ได้โอสถผสานสวรรค์นี้มา นางก็จะก้าวข้ามไปยังขอบเขตทูตสวรรค์ได้อย่างรวดเร็วในตอนที่นางถึงขอบเขตมายาบรรพชนเก้าดารา ฉินอวี้โม่มุ่งหมายใจจะก้าวข้ามไปยังขอบเขตทูตสวรรค์ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพราะมันจะช่วยให้นางไต่ระดับสู่ความแข็งแกร่งที่เหนือขึ้นไปได้ง่ายและเร็วยิ่งขึ้น แน่นอนว่านางจะไม่ยอมพลาดโอกาสเช่นนี้ไปเป็นแน่

เจียงหลิวเยว่มองดูฝูงชนที่เริ่มจะบ้าคลั่งด้วยแววตาตกตะลึงปนตื่นตระหนกอยู่ชั่วขณะ แต่ไม่นานนักผู้ควบคุมการประมูลสาวก็สามารถดึงสติกลับมาได้ นางปรับอารมณ์ก่อนจะทำหน้าที่ต่อไป

“หึ ๆ เนื่องจากโอสถผสานสวรรค์เป็นของที่หายากเหนือคำบรรยาย ฉะนั้นการประมูลมันจึงต้องใช้เงื่อนไขพิเศษ ในรอบนี้เราจะไม่วัดกันที่เงินทองแต่จะวัดกันที่พลังวิญญาณ”

กล่าวด้วยความสัตย์จริง ตัวเจียงหลิวเยว่เองก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเหตุใดถึงต้องใช้วิธีดังกล่าวในการประมูล ทว่านี่เป็นเรื่องที่เจ้าของโอสถเม็ดนี้เสนอมาและกำชับหนักหนาว่าให้ประมูลด้วยวิธีนี้ แม้จะไม่เข้าใจถึงจุดประสงค์ของการใช้วิธีการแปลกประหลาดนี่ แต่ในเมื่อมันเป็นความประสงค์ของผู้นำมันมาประมูล ทางโรงประมูลก็มีแต่ต้องทำตามเท่านั้น

ที่สำคัญตัวนางก็รู้ถึงมูลค่าของโอสถผสานสวรรค์ดี อย่าว่าแต่ราคาในหลักสิบล้านเหรียญทองเลย ต่อให้มีเงินเป็นร้อยล้านก็ยากที่จะแลกมาได้

เจียงหลิวเยว่นั้นไม่ทราบเลยว่าเจ้าของโอสถผสานสวรรค์นี้คือใคร แต่การที่เขาเอาของล้ำค่าที่ไม่อาจประเมินได้มาประมูลก็เป็นเรื่องน่าตกใจจนเหลือเชื่อ ที่สำคัญคนผู้นี้จะต้องไม่ใช่ยอดฝีมือธรรมดาอย่างแน่นอน

เมื่อได้ยินสิ่งที่เจียงหลิวเยว่กล่าว ผู้เข้าร่วมการประมูลทั้งหลายก็ได้แต่ทอแววตางุนงง

การประมูลด้วยวิธีเช่นนี้ก็มีด้วยอย่างนั้นรึ ? พลังวิญญาณไม่ใช่สิ่งที่จะส่งมอบให้กันหรือจะทำให้มันเพิ่มพูนขึ้นมาได้ตามใจชอบ แล้วจะใช้พลังวิญญาณแทนการเสนอราคาได้อย่างไร ?

ยิ่งกว่านั้นการจะวัดพลังวิญญาณของคนผู้หนึ่งได้ก็จำเป็นต้องใช้บุคคลที่มีความแข็งแกร่งของพลังวิญญาณที่เหนือกว่าเท่านั้น ไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อนเลยว่ามีการใช้พลังวิญญาณในการประมูลด้วย

“ฮ่า ๆ ๆ ข้าจะขอกล่าวอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการประมูลของชิ้นสุดท้าย”

เถ้าแก่ของโรงประมูลก้าวขึ้นมาบนเวที ก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ข้างกายผู้ดำเนินรายการสาวแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ผู้อาวุโสผู้นำโอสถผสานสวรรค์มาประมูลได้กล่าวไว้ว่า เขาจะเป็นผู้วัดผลในครั้งนี้เอง ทุกคนที่นี่ทั้งหมดจะมีสิทธิ์รับการทดสอบและผู้ที่มีพลังวิญญาณแข็งแกร่งที่สุดจะเป็นผู้ชนะในการประมูล ข้าเข้าใจว่าผู้อาวุโสคงมีวิธีในการประเมินและเงื่อนไขของตัวท่านเอง ขอเพียงแค่มีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขที่เขาต้องการ โอสถผสานสวรรค์นี้ก็จะตกเป็นของคนผู้นั้นทันที”

แม้ว่าเถ้าแก่จะขึ้นมากล่าวอธิบายเพิ่มเติมด้วยตัวเอง แต่คนทั้งหมดก็ยังคงไม่คลายความสับสน อีกทั้งยังดูจะงุนงงหนักยิ่งกว่าเดิม

“เถ้าแก่ ถ้าหากที่ท่านกล่าวมาเป็นความจริง ผู้อาวุโสท่านนั้นก็คงจะแข็งแกร่งเหนือคำบรรยาย หากว่าระหว่างที่เขาตรวจสอบพลังวิญญาณของเราเขาเกิดใช้โอกาสนั้นในการทำลายรากฐานพลังหรือสังหารเราทิ้งเสีย แล้วพวกเราจะไม่ตายเปล่าไปเลยรึ ?”

บุรุษคนผู้หนึ่งเอ่ยคำถามที่เป็นข้อกังขาในใจใครหลายคนออกมา ต้องทราบก่อนว่าการให้ผู้อื่นโดยเฉพาะผู้ที่แข็งแกร่งกว่าตรวจสอบพลังวิญญาณถือเป็นเรื่องที่เสี่ยงอย่างยิ่ง เพราะถ้าหากว่าถูกผู้อื่นทำลายรากฐานพลังไปแล้ว ต่อให้ได้โอสถผสานสวรรค์มาก็ไร้ประโยชน์

“ฮ่า ๆ ๆ ทุกท่านมั่นใจได้ เพราะผู้อาวุโสไม่ได้บังคับให้ทุกท่านทำตามเงื่อนไขนี้ ทุกท่านสามารถเลือกได้เองว่าจะเข้าร่วมการประมูลโดยรับการประเมินพลังวิญญาณหรือไม่ ถ้าพวกท่านคิดว่าเงื่อนไขในการประมูลอันตรายเกินไปก็มีสิทธิ์ไม่เข้าร่วมได้ แต่ขณะเดียวกันพวกท่านก็จะหมดสิทธิ์ในการครอบครองโอสถผสานสวรรค์ไปในทันทีด้วย”

เถ้าแก่เอ่ยอธิบายต่อไป “ท่านผู้อาวุโสยังกล่าวอีกว่า หากมีผู้ใดได้รับความเสียหายจากการประเมินในครั้งนี้ เขายินดีชดเชยเป็นโอสถบ่มเพาะวิญญาณเพื่อแทนคำขออภัยและถือเป็นการปลอบขวัญพวกท่าน”

ทันทีที่วาจาของเถ้าแก่สิ้นสุดลง ทั่วทั้งหอประมูลแห่งนี้ก็ดังก้องไปด้วยเสียงโห่ร้อง

ผู้อาวุโสผู้นี้เป็นใครมาจากไหน ? เหตุใดถึงได้กระทำสิ่งบ้าระห่ำสุดโต่งคล้ายคนวิปลาสขนาดนั้น ? การตั้งเงื่อนไขแปลกประหลาดก็น่าตกใจมากพอแล้ว นี่ยังใจกว้างถึงกับเสนอจะแจกโอสถบ่มเพาะวิญญาณให้คนตั้งมากมายที่ไม่รู้จักอีก ต้องทราบก่อนว่าโอสถบ่มเพาะวิญญาณเป็นของหายาก และด้วยความพิเศษของมันทางโรงประมูลจึงนำมันออกมาเป็นของประมูลชิ้นที่สี่สำหรับงานประมูลใหญ่ประจำปีในครั้งนี้ การที่เขากล้าแจกขนาดนี้แสดงให้เห็นว่าสถานะทางการเงินของเขามั่งคั่งร่ำรวยอย่างยากจะหยั่งถึงได้ กอปรกับความแข็งแกร่งของเขาตามที่เถ้าแก่โรงประมูลเอ่ยอ้าง คนผู้นี้คงจะเป็นบุคคลสูงส่งเหนือจินตนาการแล้ว

“ฮ่า ๆ จะเข้าร่วมการประมูลหรือไม่ทุกท่านก็ตัดสินใจเอาเอง ทางโรงประมูลของเราไม่มีการบังคับฝืนใจใด ๆ ทั้งสิ้น

เถ้าแก่โรงประมูลหยุดไปชั่วครู่ เขาสูดลมหายใจก่อนจะกล่าว “เอาล่ะ ตอนนี้ได้เวลาอันสมควรแล้วหากผู้ใดต้องการเข้าร่วมการประมูลก็จงถ่ายเทพลังวิญญาณเข้าไปในก้อนแสงนั้น หากว่าพลังวิญญาณไม่ผ่านเงื่อนไขมันก็จะสลายไปภายในก้อนแสงซึ่งก็ถือว่าล้มเหลวในการประมูล ผู้ชนะจะวัดจากผู้ที่สามารถคงให้พลังวิญญาณของตัวเองอยู่ภายในก้อนแสงได้ยาวนานที่สุด”

เถ้าแก่ของโรงประมูลกล่าวพลางชี้นิ้วออกไป ไม่ทราบว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ทว่าในขณะนี้เหนือศีรษะเยื้องไปทางด้านหนึ่งของเขาและเจียงหลิวเยว่มีก้อนแสงกลม ๆ ปรากฎอยู่ กล่าวจบเถ้าแก่ก็เดินลงไปจากเวทีและรอดูท่าทีของฝูงชนอยู่ทางด้านข้าง

ผู้เข้าร่วมการประมูลทั้งหลายมองดูก้อนแสงที่จู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาในอากาศอย่างกะทันหันด้วยสีหน้าพิศวง แต่เพียงไม่นานนักคนผู้หนึ่งก็ตะโกนขึ้น

“ข้าจะขอทดสอบก่อน !”

กล่าวจบ เขาก็ปลดปล่อยพลังวิญญาณออกมาก่อนจะส่งเข้าไปภายในก้อนแสงนั้นอย่างช้า ๆ

พลังวิญญาณเองก็เป็นพลังประเภทหนึ่งที่มีความสำคัญไม่แพ้พลังมายา โดยปกติแล้วความแข็งแกร่งของพลังวิญญาณจะถูกกำหนดโดยพรสวรรค์ของจอมยุทธ์แต่ละคน ผู้ที่มีพลังวิญญาณอันแข็งแกร่งกว่าก็มักจะมีพรสวรรค์ที่สูงส่งกว่าผู้มีพลังวิญญาณด้อยกว่า

— ตูม ! —

ทันทีที่พลังวิญญาณของคนผู้นั้นปะทะเข้ากับก้อนแสงก็เกิดเสียงระเบิดดังลั่น หลังจากนั้นทุกคนก็พบว่าพลังวิญญาณของบุรุษผู้รับการทดสอบเป็นคนแรกสลายหายไปอย่างรวดเร็วโดยไม่มีร่องรอยใด ๆ ที่บ่งชี้ว่ามันได้เข้าไปอยู่ภายในก้อนแสงนั้นแม้แต่น้อย

เมื่อเห็นพลังวิญญาณของตัวเองสลายไปในอากาศบุรุษผู้นั้นก็นิ่งอึ้ง เขาทำได้เพียงถอนหายใจออกมาด้วยสีหน้าผิดหวัง

เขาเห็นกับตา ในตอนที่พลังวิญญาณของเขากำลังจะพุ่งเข้าไป ก้อนแสงนั้นก็มีปฏิกิริยาต่อต้านพลังอย่างเฉียบพลัน ในตอนนั้นเองที่เขารู้ตัวแล้วว่าอย่างไรเขาก็ล้มเหลว

เมื่อได้เห็นตัวอย่างจากการทดสอบของคนแรกแล้ว คนอื่น ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะขอลองดูบ้าง พวกเขาต่างก็ทยอยปลดปล่อยพลังวิญญาณเข้าใส่ก้อนแสงนั้นทีละคน

อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะมีบางคนที่สามารถคงพลังวิญญาณไว้ภายในก้อนแสงนั้นได้ แต่ก็ยังไม่มีผู้ใดทำให้มันอยู่ภายในนั้นได้เกินกว่าสามเฟิน* เลย และทุกครั้งก่อนที่พลังวิญญาณจะสลายไปก็ดูเหมือนว่าก้อนแสงอันแข็งแกร่งนั้นจะสร้างปฏิกิริยาต่อต้านต่อพลังวิญญาณของพวกเขา นี่ชี้ให้เห็นว่าก้อนแสงนั้นเองที่เป็นตัวทำลายพลังวิญญาณที่พวกเขาส่งเข้าไป

*เฟิน มาจากคำว่า ‘เฟินจง’ หรือ 分钟 แปลว่านาที

ผ่านไปไม่นานนักผู้คนภายในหอประมูลกว่าครึ่งหนึ่งก็เข้ารับการทดสอบไปหมดแล้ว แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บหรือเกิดความเสียหายร้ายแรงจากภายใน แต่หลายคนก็เหนื่อยล้าเพราะการสูญเสียพลังวิญญาณ

“ข้าขอลองบ้าง”

เยว่ชิงเฉิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่ทั้งนางและโอวหยางชิงเฟิงจะผลัดกันส่งพลังวิญญาณของตนเองเข้าไปภายในก้อนแสง

แน่นอนว่าทั้งสองคนก็แข็งแกร่งไม่น้อย พลังวิญญาณของพวกเขาสามารถคงอยู่ในก้อนแสงนั้นได้ครู่หนึ่ง แต่ก็ทนอยู่ได้ไม่นานนัก

เมื่อแรกเห็นว่าพลังวิญญาณของตนประคองตัวอยู่ภายในก้อนแสงประหลาดได้นานเกินสามเฟิน คุณหนูตระกูลช่างหลอมก็ดีใจเป็นอย่างมาก ทว่ายังไม่ทันถึงเฟินที่สี่ พลังวิญญาณของนางก็สลายหายไป สถานการณ์เดียวกันนี้เกิดขึ้นกับโอวหยางชิงเฟิงเช่นกัน พลังวิญญาณของทั้งคู่ก็คงได้ในระยะเวลาที่ไล่เลี่ยกัน

“แปลกจริง ๆ เหมือนว่ามันจะปฏิเสธพลังของข้า ในตอนที่ข้าพยายามจะคงพลังไว้ภายในก็เหมือนกับว่ามีพลังบางอย่างคอยผลักไสพวกมันตลอดเวลา”

เยว่ชิงเฉิงหันไปเอ่ยกับฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วเกี่ยวกับสิ่งที่นางได้พบเจอ ก้อนแสงนี้แปลกมากจริง ๆ

ฉินอวี้โม่พยักหน้า นางเองก็รู้สึกได้ว่ามันแปลกประหลาด ทว่าในเวลาเดียวกันนั้นเอง จู่ ๆ อดีตนักฆ่าสาวก็เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่าง มันเป็นความความรู้สึกไม่สบายใจที่ไม่อาจอธิบาย ก้อนแสงนี้มีความลับอะไรกันแน่ ? แล้วจุดประสงค์ของผู้อาวุโสผู้นั้นคืออะไร ?

ในตอนนี้ ฉินอวี้โม่กำลังรู้สึกว่าการประมูลในรอบนี้ไม่ปกติและมีสิ่งไม่ชอบมาพากลที่ชวนให้หวั่นใจ

“โอ้โห คนผู้นั้นต้านได้เกือบจะครบห้าเฟินแล้ว !”

ทันใดนั้นเสียงโห่ร้องของผู้คนก็ดังขึ้นขัดจังหวะความคิดของคุณหนูคนงาม เมื่อหันมองตามทิศทางที่สายตาแทบทุกคู่จับจ้องไป นางก็ได้พบว่าที่โถงด้านล่างนั้น บุรุษผู้หนึ่งกำลังยืนตั้งสมาธิอยู่ใต้ก้อนแสง ตอนนี้ เขาสามารถคงพลังวิญญาณอยู่ภายในก้อนแสงได้เป็นเวลานานแล้วและยังคงพลังเช่นนั้นไว้ได้อยู่

.

.