ตอนที่ 141 เป้าหมายที่แท้จริง

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

— ตูม ! —

ทว่าพลังของคนผู้นั้นก็ต้านได้ไม่ถึงห้าเฟิน เกิดระเบิดเสียงดังก่อนที่พลังวิญญาณของเขาจะสลายหายไปภายในก้อนแสงขนาดใหญ่

หากเทียบกันเองในหมู่ผู้ฝึกยุทธ์ ช่างหลอมอุปกรณ์ ผู้หลอมโอสถรวมไปถึงผู้ฝึกสัตว์อสูรจะมีพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งกว่าจอมยุทธ์ทั่วไปขั้นหนึ่ง ซึ่งนั่นก็เป็นสาเหตุให้เวลานี้ เหล่ายอดฝีมือที่มีพรสวรรค์ทางด้านทักษะอาชีพทั้งสี่ล้วนแต่ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก พวกเขาหลายคนต่างก็พากันจินตนาการถึงระยะเวลาที่ตนจะสามารถคงพลังวิญญาณให้อยู่ภายในก้อนแสงนั้น และมีจำนวนมากที่เชื่อว่าตนจะทำได้ดี

ยิ่งเมื่อเห็นว่าคนอื่น ๆ ที่ทดลองไปก่อนหน้าไม่สามารถต้านทานได้นานนัก พวกเขาก็คิดเช่นเดียวกันว่าโอกาสของตัวเองมาถึงแล้ว

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีพลังวิญญาณที่เหนือชั้นกว่าคนทั่วไปอยู่บ้าง แต่โดยเฉลี่ยแล้วคนเหล่านั้นก็ยังต้านทานได้ประมาณสี่ถึงห้าเฟินไม่ต่างจากบุรุษที่ทำเวลาได้เกินกว่าห้าเฟินเป็นคนแรก และจนถึงตอนนี้ ทุกผู้คนที่กำลังเพ่งความสนใจอยู่กับการประมูลกันอย่างจดจ่อก็พบว่าผู้ที่ทำสถิตินานที่สุดคือประธานสมาคมช่างหลอม–เยว่หลิงเซียว ทว่าแม้จะเป็นบุรุษผู้แข็งแกร่งไม่น้อยอย่างเขาก็ยังคงพลังวิญญาณอยู่ในก้อนแสงได้เพียงสิบเฟินเท่านั้น

เวลาผ่านไปอีกไม่นานนัก ผู้เข้าร่วมการประมูลก็ได้ทราบถึงผลการทดสอบพลังวิญญาณของตนเองไปจนเกือบหมดแล้ว ความผิดหวังปรากฏบนใบหน้าของใครหลายคนอย่างไม่อาจปกปิด และในตอนนี้ก็เหลือผู้ที่ยังไม่ได้เข้าทดสอบอีกเพียงไม่กี่คนเท่านั้น

หนึ่งในนั้นก็คือฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่ว นอกจากนี้ก็ยังมีคนที่อยู่ในห้องที่ชั้นสองของหวังรั่วจวินทั้งหมด และคนอีกผู้หนึ่งก็คือ หานโม่หยวน

ในขณะนี้ผู้ที่กำลังยืนอยู่ใต้ก้อนแสงประหลาดคือหวังรั่วจวิน หลังจากขยับตัวยึกยักทำท่าทางราวกับกำลังขับไล่ความเมื่อยล้าออกจากกล้ามเนื้อแล้ว นายน้อยแห่งสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น

“ฮ่า ๆ ๆ ชาวไป๋อวิ๋นทั้งหลายจงจับตาดูให้ดี พวกเจ้าจะได้รู้ว่าข้าผู้นี้ไม่เพียงมีเงินทองมากมายแต่ยังมีพลังและความสามารถอันสูงส่ง เรื่องง่าย ๆ เช่นนี้ไม่คณามือคนเก่งอย่างข้า วันนี้ข้าขอรับเอาโอสถผสานสวรรค์เม็ดนั้นไปเลยก็แล้วกันนะ ฮ่า ๆ ๆ”

สิ้นวาจาคุยโม้ คุณชายจอมวางท่าก็ส่งพลังวิญญาณเข้าไปใกล้ ๆ ก้อนแสงนั้นทันที

ทว่าราวกับก้อนแสงปริศนามีสติปัญญาเป็นของตัวเอง เมื่อมันรับรู้ถึงพลังวิญญาณของหวังรั่วจวินที่เข้ามาใกล้ เจ้าก้อนแสงกลมใหญ่ก็เคลื่อนตัวหลีกหนีออกไปคล้ายรังเกียจในฉับพลัน

และไม่ว่าจะทำอย่างไรหวังรั่วจวินก็ไม่สามารถส่งพลังวิญญาณของเขาเข้าไปภายในตัวมันได้

“ฮ่า ๆ ๆ สุดยอดจริง ๆ คุณชายหวัง พลังวิญญาณของเจ้าสูงส่งถึงขนาดที่ก้อนแสงยังไม่ยอมให้เข้าใกล้เชียวเรอะ ? ฮ่า ๆ ๆ”

เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น ฝูงชนก็ระเบิดเสียงหัวเราะอย่างขบขันขึ้น แน่นอนว่าเสียงนั้นดังกว่าเสียงของหวังรั่วจวินก่อนหน้านี้ ขณะเดียวกันใครบางคนที่กำลังรู้สึกหมั่นไส้คำโอ้อวดของเขาเสียเต็มประดาก็กล่าววาจาประชดประชันออกมาอย่างอดไม่ได้

เมื่อได้ยินถ้อยคำเหน็บแนม ใบหน้าของหวังรั่วจวินก็บิดเบี้ยวไป ไม่หลงเหลือร่องรอยแห่งความมั่นใจเหมือนเช่นก่อนหน้า เขากล่าวสิ่งใดไม่ออกและเริ่มดึงพลังวิญญาณของตัวเองกลับมาเพื่อไม่ให้ขายหน้ามากไปกว่านี้

ยังไม่ทันที่หวังรั่วจวินจะดึงพลังวิญญาณกลับมาจนหมด ชวี่เซียวที่รอทดสอบเป็นรายต่อไปก็ปลดปล่อยพลังวิญญาณของตัวเองเข้าใส่ก้อนแสงนั้นแล้ว

อย่างไรก็ตามในด้านของพลังวิญญาณ ชวี่เซียวเทียบไม่ได้เลยกับเยว่หลิงเซียว ผู้อาวุโสแห่งสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรต้านได้เพียงเจ็ดนาทีเท่านั้นก่อนที่พลังวิญญาณของเขาจะถูกทำให้สลายไป

“หึ ดูเหมือนว่าสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรของพวกเจ้าจะไม่มีวาสนาได้ครอบครองโอสถผสานสวรรค์นะ”

หานโม่หยวนเปล่งเสียงเย้ยหยันออกมา ก่อนจะส่งพลังวิญญาณเข้าปกคลุมก้อนแสงนั้นเป็นรายถัดไป เขาปลดปล่อยพลังวิญญาณออกจากห้องที่เขานั่งอยู่โดยไม่ได้ขยับตัวไปไหน

ต้องยอมรับว่าบุรุษตระกูลหานนั้นทรงพลังและมีพรสวรรค์สูงส่งกันทุกคน แม้จะเป็นรองหานโม่ฉือผู้เป็นพี่ชายอยู่มาก แต่หานโม่หยวนก็นับเป็นผู้หนึ่งที่เป็นเลิศทั้งด้านพลังมายาและพลังวิญญาณ แม้ว่าจะส่งพลังจากจุดที่ไกลกว่าผู้อื่นมาก แต่ผลการทดสอบก็ยังบ่งชี้ถึงความโดดเด่นดังกล่าวได้ดี เพราะพลังวิญญาณของเขาสามารถคงอยู่ภายในก้อนแสงนั้นได้ถึงหนึ่งก้านธูป* ก่อนที่มันจะสลายไป

(* 1 ก้านธูป = 15 นาที)

“ดูเหมือนว่าจะรู้ผลแล้วสินะ”

หานโม่หยวนยิ้มแล้วประกาศอย่างมั่นอกมั่นใจ เขาไม่คิดว่าจะมีผู้ใดทำได้ดีกว่าเขาอีก

“อย่าเพิ่งออกตัวแรงนัก การประเมินยังไม่จบ ระวังจะดีใจเก้อเอาได้นะ”

เมื่อได้ยินวาจาของหานโม่หยวน ฉินอวี้โม่ก็กล่าวคำค่อนแคะออกไปพลางเผยรอยยิ้มร้าย

หานโม่หยวนไม่ตอบโต้ เขาเพียงแต่แค่นเสียง *เหอะ* ครั้งหนึ่งก่อนจะเงียบเสียง

“คุณหนู ข้าขอลองก่อนนะเจ้าคะ”

เสี่ยวโร่วรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก นางกระตือรือร้นอยากลองทดสอบเต็มทีแล้ว เพราะในช่วงที่เรียนอยู่ในชั้นเรียนข่ายอาคม อาจารย์ผู้เฒ่ากล่าวไว้ว่านางมีพรสวรรค์อันสูงส่งเนือผู้ใดในด้านการใช้พลังวิญญาณ ที่สำคัญพลังวิญญาณของนางยังแข็งแกร่งอย่างยิ่งยวดอีกด้วย

ฉินอวี้โม่พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม แน่นอนว่าคุณหนูคนงามไม่มีทางขัดขวางคำร้องขอดังกล่าวของสาวน้อย  โดยเฉพาะเมื่อมันมาพร้อมกับสีหน้าและแววตาอันแสนมุ่งมั่นเช่นนี้

เสี่ยวโร่วยิ้มกว้างอย่างดีใจ ในพริบตาถัดมาพลังวิญญาณก็พุ่งออกจากร่างของนางและเข้าไปใกล้ก้อนแสงนั้นอย่างช้า ๆ

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด ยิ่งพลังวิญญาณของเสี่ยวโร่วเข้าไปใกล้ ก้อนแสงประหลาดก็ยิ่งหมุนวนด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับมันกำลังเบิกบานเป็นหนักหนา

— ฟุบ !–

พลังวิญญาณของเสี่ยวโร่วพุ่งทะลุเข้าไปภายในก้อนแสง ทันใดนั้น แสงสีขาวเจิดจ้าก็สว่างวาบไปทั่วทั้งโถงกว้างและทำให้ผู้คนทั้งหมดทั่วทั้งหอประมูลแห่งนี้ไม่สามารถลืมตาขึ้นมาได้

ฉินอวี้โม่ที่อยู่บนชั้นสามไม่ได้รับผลกระทบจากแสงสว่างวาบที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม จู่ ๆ ความรู้สึกสังหรณ์ใจในเรื่องไม่สู้ดีที่มีมาตั้งแต่เมื่อครู่ก็พวยพุ่งขึ้นสูงกว่าเดิม

“เสี่ยวโร่วรีบดึงพลังวิญญาณกลับมาเร็วเข้า !”

ฉินอวี้โม่มองเสี่ยวโร่วด้วยสายตากระวนกระวาย นางขอให้เสี่ยวโร่วรั้งพลังวิญญาณกลับมา

เสี่ยวโร่วเชื่อฟังคำสั่งของผู้เป็นคุณหนูโดยไม่มีข้อแม้ เมื่อได้ยินสิ่งที่ฉินอวี้โม่บอก นางก็เตรียมจะรั้งพลังวิญญาณกลับมาทันที แต่ไม่คิดเลยว่าก้อนแสงนั้นจะพุ่งตรงเข้ามาภายในห้องบนชั้นสามที่ฉินอวี้โม่และเหล่าสหายนั่งอยู่

ใบหน้าของเสี่ยวโร่วเปลี่ยนสีไปอย่างฉับพลัน นางไม่รู้เลยว่าเวลานี้กำลังมีสิ่งใดเกิดขึ้น สาวน้อยเริ่มเกิดอาการตื่นตระหนกขึ้นมาแล้ว

ทางด้านฉินอวี้โม่ที่เห็นเหตุการณ์เช่นนั้นก็ขมวดคิ้วแน่น อย่างไรก็ตามอดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูก็รีบส่งพลังมายาออกไปหมายใจจะผลักดันก้อนแสงประหลาดให้พุ่งไปทางอื่นเพื่อไม่ให้ทุกคนได้รับบาดเจ็บ

ทว่า คุณหนูคนงามกลับพบว่าพลังมายาของตนไร้ผลอย่างสิ้นเชิง เจ้าก้อนแสงขนาดใหญ่ยังคงพุ่งเข้ามาใกล้อย่างไม่ลดละและไม่มีทีท่าว่าจะหยุดหรือชะลอความเร็วลง ในที่สุดก้อนแสงที่เคยสลายพลังวิญญาณของผู้เข้าร่วมประมูลมากมายก็พุ่งผ่านกระจกเข้ามาได้ก่อนจะหยุดนิ่งลงตรงหน้าเสี่ยวโร่ว

ในฉับพลันนั้นเองที่ฉินอวี้โม่สัมผัสได้ถึงสภาวะพลังอันรุนแรงพุ่งเข้าปะทะร่าง มันกดดันทั้งร่างกายและพลังวิญญาณของนางจนยากที่จะหายใจ ยิ่งกว่านั้นในตอนนี้พลังมายาทั้งหมดภายในร่างบางก็อ่อนกำลังลงไปอย่างน่าหวาดหวั่น คุณหนูสี่ตระกูลฉินทรุดตัวลงไปนั่งบนเก้าอี้โดยไม่อาจเคลื่อนไหวได้เลย

เยว่ชิงเฉิงและโอวหยางชิงเฟิงก็ตกอยู่ในสภาวะคล้ายกับฉินอวี้โม่ พวกเขาทั้งคู่ทรุดลงไปนั่งอยู่บนเก้าอี้ของตัวเองเช่นกัน ทุกส่วนของร่างกายพวกเขาอ่อนแรงจนขยับไม่ได้ ใบหน้าของทั้งสองเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก

พลังนี่แข็งแกร่งจนเกินกว่าที่ทุกคนจะต้านทานได้

ไม่ต่างจากคนที่อยู่ในห้องบนชั้นสาม คนอื่น ๆ ที่เหลือภายในหอประมูลก็แข้งขาอ่อนแรง บ้างก็ล้มลงไปกองอยู่บนพื้น บ้างก็นิ่งสนิทอยู่บนเก้าอี้ ในตอนนี้สีหน้าของทุกคนในงานประมูลมีแต่ความตื่นตระหนกปนหวาดกลัว

แต่ในสถานการณ์วิปริตผิดเพี้ยนนี้ สิ่งที่ทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกประหลาดใจเหนือสิ่งอื่นใดก็คือ เสี่ยวโร่วนั้นไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ จากพลังลึกลับนี้เลย แม้นางจะยืนตื่นตะลึงจนชะงักค้างอยู่กับที่ แต่ร่างกายของนางยังคงเหมือนเช่นปกติทุกประการ

ไม่นานนักเสี่ยวโร่วก็ได้สติกลับคืน สาวน้อยกวาดตามองโดยรอบก่อนจะทอแววตางุนงงในทันทีที่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ‘เหตุใดจู่ ๆ ทุกคนก็ทรุดลงไปได้’ แม้จะไม่เข้าใจความแปลกประหลาดที่เป็นอยู่แต่สาวใช้น้อยก็รีบวิ่งเข้าไปดูคุณหนูของนางอย่างไม่ลังเลพลางเอ่ยถามด้วยความเป็นกังวล

“คุณหนู เกิดอะไรขึ้นกับพวกท่านหรือเจ้าคะ ?”

ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะ ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดก่อนหน้านี้นางถึงรู้สึกถึงความผิดปกติและสังหรณ์ใจไม่ดีมากมายขนาดนั้น

ดูเหมือนเรื่องการทดสอบพลังวิญญาณเพื่อชิงโอสถผสานสวรรค์นั้นจะถูกจัดฉากขึ้นบังหน้า แท้จริงแล้วมีใครบางคนกำลังลอบใช้วิธีนี้ในการตามหาบุคคลที่ต้องการพบเจอ และชัดเจนว่าคนที่ถูกตามหาผู้นั้นก็คือเสี่ยวโร่ว

“ผู้อาวุโส ในเมื่อท่านอยู่ที่นี่แล้ว ก็ควรจะรีบเผยตัวออกมา”

แม้จะยากลำบากและเจ็บปวดอย่างยิ่งยวด แต่ฉินอวี้โม่ก็พยายามยันตัวลุกขึ้นยืน ขณะเดียวกันสตรีผู้เคยถูกตราหน้าว่าเป็นคุณหนูไร้ค่าก็กุมมือเล็กของสาวน้อยข้างกายที่เติบโตมาพร้อมกันเอาไว้แน่น และถึงแม้ทุกคำที่เปล่งออกมาจะต้องรีดเค้นเรี่ยวแรงมหาศาล แต่นางก็ยังกล่าวออกมาได้อย่างสงบ

ในวันนี้ความรู้สึกอันแรงกล้าอย่างหนึ่งผุดขึ้นมาในใจของฉินอวี้โม่ มันเป็นลางสังหรณ์ที่นางปฏิเสธที่จะเชื่อถือซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาตลอดตั้งแต่การประมูลรอบสุดท้ายเริ่มต้น แต่บัดนี้สตรีโฉมงามกลับต้องทำใจยอมรับมันด้วยความขมขืนและสิ้นหวัง*….นั่นคือ วันนี้อาจจะเป็นวันที่นางกับเสี่ยวโร่วต้องแยกจากกันแล้ว*

“ฮ่า ๆ ๆ ฉลาดไม่เบานี่สาวน้อย”

จู่ ๆ เสียงนุ่มนวลเสียงหนึ่งก็ดังมา พริบตาเดียวกันฉินอวี้โม่ก็มองเห็นร่างของบุรุษปริศนาปรากฏขึ้นไม่ไกลจากจุดที่นางยืนอยู่

ผู้มาใหม่เป็นชายชราในชุดสีขาว ใบหน้าและกิริยาอาการดูมีเมตตาน่าเลื่อมใส มุมปากของเขาถูกยกขึ้นเป็นรอยยิ้มแสนอ่อนโยน

อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ไม่คิดว่าบุรุษชราผู้นี้จะเป็นคนธรรมดา

ทันทีที่มองเห็นเขา คุณหนูสี่ตระกูลฉินก็ต้องขมวดคิ้ว คนผู้นี้แข็งแกร่งกว่าที่นางจินตนาการไว้มาก เขามีพลังอันน่าตกตะลึงและยากจะหยั่งถึง เมื่อได้อยู่ต่อหน้าเขาเช่นนี้ มันทำให้นางรู้สึกราวกับว่าตัวเองเป็นเพียงมดตัวหนึ่งเท่านั้น

ภายใต้แรงกดดันอันมหาศาลที่ไหลทะลักจากร่างกายของผู้เฒ่าชุดขาว คุณหนูผู้เคยคิดว่าตนแข็งแกร่งกลับรู้สึกอ่อนแอไร้อำนาจจนชวนให้เจ็บปวด

“คุณหนู ในที่สุดข้าก็พบท่านแล้ว”

บุรุษผู้เฒ่ามองฉินอวี้โม่เพียงวูบเดียว ก่อนจะหันไปมองเสี่ยวโร่วแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

เมื่อได้ฟังวาจาของชายชราปริศนา เสี่ยวโร่วก็ชะงักงันไปชั่วขณะ ก่อนจะรีบดึงสติกลับมาแล้วตวาดเขาด้วยเสียงเย็นชา

“เจ้าทำอะไรกับคุณหนูของข้า ?!”

สาวน้อยรู้ว่าที่ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ เกิดความผิดปกติขึ้นเป็นเรื่องไม่ชอบมาพากล สาวใช้น้อยเองก็ฉลาดเฉลียวไม่ใช่น้อย ทันทีที่เห็นเฒ่าผู้นี้ปรากฏตัวนางก็ปะติดปะต่อเรื่องราวได้ว่านี่ต้องเป็นฝีมือของเขาทันที

“ ‘คุณหนู’ ?”

เมื่อบุรุษผู้เฒ่าได้ยินวาจาของเสี่ยวโร่ว เขาก็มองนางอย่างประหลาดใจก่อนจะรีบถามให้คลายความสงสัย

 “คุณหนูเป็นดั่งที่รักของสวรรค์ ท่านจะไปเรียกผู้อื่นว่า*‘คุณหนู’*ได้อย่างไร ?”

“สาวน้อย เจ้ากล้าดีอย่างไรให้คุณหนูของเราเรียกเจ้าว่า*‘คุณหนู’* เจ้าไม่กลัวตายอย่างนั้นรึ ?!”

ผู้เฒ่าชุดขาวจ้องฉินอวี้โม่ตาเขม็งแล้วตวาด ขณะเดียวกันทุกคนก็สัมผัสได้ถึงเจตนาสังหารที่เคลือบแฝงอยู่ในน้ำเสียงของเขาอย่างชัดเจน

“เจ้าจะทำอะไร ?! ข้าไม่จะไม่ยอมให้เจ้าทำร้ายคุณหนูของข้า !”

เมื่อรับรู้ถึงจิตสังหารของอีกฝ่าย เสี่ยวโร่วก็รีบเอาตัวเข้าไปยืนบังร่างของฉินอวี้โม่เอาไว้พลางเอ่ยอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเข้มขึ้น

“โถ่ ! คุณหนูคงถูกคนผู้นี้บังคับให้เรียกนางว่า*‘คุณหนู’*สินะ ท่านคงจะทุกข์ทรมานมานานหลายปี แต่วางใจเถอะ นั่นไม่ใช่ปัญหาอีกแล้ว ขอเพียงข้าสังหารนางเสีย ท่านก็จะหลุดพ้นจากฝันร้ายนี้”

บุรุษชรามองเสี่ยวโร่วด้วยแววตาอันแสนซับซ้อนก่อนที่ก้อนแสงที่อัดแน่นด้วยพลังมายามหาศาลจะปรากฏบนมือชรา เขาต้องการจะสังหารสตรีผู้อยู่ข้างกายคุณหนูผู้พลัดพรากของตนให้ตายในคราวเดียว

“เจ้ากล้าหรือ ?! หากคิดจะทำร้ายคุณหนูของข้าก็ต้องข้ามศพข้าไปก่อน !”

เสี่ยวโร่วกอดฉินอวี้โม่เอาไว้พลางเอ่ยปากอย่างหนักแน่น

ไม่คิดเลยว่าด้วยการโบกมือเพียงครั้งเดียวของชายผู้นั้นก็ก่อให้เกิดแรงลมกระแสหนึ่งที่ทำให้เสี่ยวโร่วแยกออกจากตัวฉินอวี้โม่ในทันที

เสี่ยวโร่วได้แต่มองสตรีที่นางรักด้วยแววตารวดร้าว สาวน้อยกัดฟันแน่นก่อนจะตะโกนก้อง

“ถ้าเจ้ากล้าทำอะไรคุณหนู ข้าจะระเบิดจุดตันเถียนของตัวเองเดี๋ยวนี้ !”

ในเมื่ออีกฝ่ายถึงกับเรียกขานนางว่าคุณหนูเช่นนั้นก็แสดงว่านางมีความสำคัญต่อเขาไม่น้อย ดังนั้นเขาก็คงไม่อยากให้นางตายเป็นแน่แท้ เสี่ยวโร่วจึงใช้ชีวิตของตัวนางเองเป็นสิ่งต่อรองกับผู้เฒ่าปริศนา

“คุณหนู เหตุใดท่านถึงต้องทำเช่นนั้นด้วย ?”

บุรุษเฒ่าในชุดขาวถอนหายใจและส่ายหน้า แม้จะขมวดคิ้วมองด้วยความกังขาแต่เขาก็ยังยอมรั้งพลังมายากลับเข้าร่าง

เสี่ยวโร่วเดินเข้าไปหาฉินอวี้โม่ก่อนจะโอบประคองร่างบางอย่างนุ่มนวลแล้วช่วยพยุงให้นางนั่งลง

“ตลอดหลายปีที่ผ่านมา คุณหนูปฏิบัติกับข้าไม่ต่างจากพี่น้อง นางใจดีกับข้ามาก นางจะคิดถึงข้าก่อนเสมอ ไม่ว่าเจ้าจะพูดอะไรก็ตาม คุณหนูก็คือจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ของข้า ถ้าเจ้าต้องการสังหารนาง ข้าก็จะขอตามนางไปปรโลกด้วย”

เสี่ยวโร่วจ้องมองบุรุษผู้เฒ่าตาเขม็งพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงแน่วแน่

เมื่อได้ฟังวาจาและมองเห็นแววตาของเสี่ยวโร่ว ผู้เฒ่าชุดขาวก็ทราบทันทีว่านางกล่าวอย่างจริงจังไม่ใช่แค่เพียงการข่มขู่ ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจสลายจิตสังหารของตัวเองและรั้งสภาวะพลังที่คอยกดดันฉินอวี้โม่กลับคืนมา

“ในเมื่อคุณหนูกล่าวเช่นนั้น ข้าก็คงไม่อาจจะล่วงเกินนางได้”

ทันทีที่แรงกดดันจางหายไปแล้ว ฉินอวี้โม่ลุกยืนขึ้นเคียงข้างเสี่ยวโร่ว มือบางยังคงกุมมือเล็กเอาไว้แน่น

“เด็กดื้อ ทำไมเจ้าถึงคิดจะทำอะไรโง่ ๆ เช่นนั้น ?”

ต้องบอกเลยว่าวาจาของสาวใช้ผู้ไม่ได้เป็นเพียงสาวใช้ทำให้คุณหนูผู้ไม่ใช่คุณหนูซาบซึ้งเป็นอย่างมาก ที่ผ่านมานางเห็นสาวน้อยผู้นี้ไม่ต่างจากน้องสาวของตัวเอง ในความทรงจำของคุณหนูสี่คนก่อนเสี่ยวโร่วเป็นทั้งสหายเป็นทั้งคนคอยดูแลและเป็นผู้ที่คอยปกป้องในยามที่นางถูกรังแก เมื่ออดีตนักฆ่าสาวเขามาอยู่ในร่างนี้ แม้คุณหนูสี่จะแข็งแกร่งขึ้น จิตใจและร่างกายเปลี่ยนแปลงไปแต่สาวน้อยก็ยังคงปฏิบัติกับนางเช่นเดิมไม่เสื่อมคลาย เสี่ยวโร่วเป็นคนที่นางได้ใช้เวลาร่วมด้วยมากที่สุดในโลกมายาแห่งนี้ และไม่ว่าจะชีวิตก่อนหรือชีวิตนี้ สาวน้อยก็คือคนที่สนิทกับนางมากที่สุด

ไม่ใช่แค่ฉินอวี้โม่ที่คิดเช่นนี้ เสี่ยวโร่วเองก็ไม่ต่างกัน นางรักและเทิดทูนฉินอวี้โม่มาก ที่ผ่านมาหากตกอยู่ในอันตรายสาวใช้น้อยจะไม่ลังเลเลยที่จะเข้าไปปกป้องคุณหนูของตัวเองอย่างสุดชีวิต วันนี้ก็เช่นกัน แต่มันกลับต่างออกไป

นางในตอนนี้ไม่เหมือนกับคนก่อนหน้านี้อีก ไม่เหมือนแม้แต่เสี่ยวโร่วน้อยคนเดิมในยามปกติ ดรุณีผู้มีนามเรียกขานว่าเสี่ยวโร่วในวันนี้ทั้งเด็ดเดี่ยวและองอาจ

“คุณหนู ข้าไม่อยากให้ใครทำร้ายท่าน”

เสี่ยวโร่วมองใบหน้างามล้ำของสตรีที่ตนเทิดทูนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสาวเท้าเข้าไปหาบุรุษชราช้า ๆ ทีละก้าว แม้มองเห็นเพียงแผ่นหลังเล็ก ๆ แต่ ฉินอวี้โม่ก็สัมผัสถึงความมุ่งมั่นอันแรงกล้าจากร่างบางนั้นได้ชัดเจน

“ที่เจ้ามาวันนี้ก็เพื่อพาข้ากลับไปใช่หรือไม่ ?”

แม้ว่าเสี่ยวโร่วจะไม่รู้ภูมิหลังของตัวเองและไม่ทราบว่าตัวตนของตนมีความลับใดเก็บซ่อนอยู่กันแน่แต่นางก็ไม่ได้ไร้ปัญญา ดูจากทัศนคติและท่าทีของผู้เฒ่าผู้นี้ มันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าอีกฝ่ายอยากจะพาตัวนางกลับไป

“ใช่แล้ว คุณหนู ที่ข้ามาก็เพื่อพาท่านกลับบ้าน”

บุรุษชุดขาวพยักหน้าพลางมองดรุณีน้อยที่กำลังเดินเข้ามาหา ด้วยสายตาเปี่ยมสุขอย่างมิอาจปกปิด รอยยิ้มอบอุ่นอ่อนโยนแผ่กว้างเต็มใบหน้าชรา

“หึ ๆ ๆ กลับบ้านอย่างนั้นรึ ?”

เสี่ยวโร่วหัวเราะเย้ยหยันแล้วกล่าวต่อ สองเท้ายังคงก้าวเข้าผู้เฒ่าปริศนาอย่างต่อเนื่อง

“บ้านของข้าอยู่ที่นี่ เจ้าคิดจะพาข้าไปที่ไหนกันแน่ ?”

เมื่อได้ยินถ้อยคำแสนเย็นชาของเสี่ยวโร่ว ผู้เฒ่าชุดขาวก็ขมวดคิ้วในทันที

อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ได้โกรธเคืองหรือรู้สึกหมดความอดทนต่อนางแต่อย่างใด

“คุณหนู แน่นอนว่าบ้านที่ข้ากล่าวก็คือบ้านที่แท้จริงของคุณหนู พวกเราไม่ได้คิดจะทอดทิ้งท่าน พวกเราตามหาท่านมาสิบกว่าปีแล้ว แต่กลับไม่พบคุณหนูเลย แต่ไม่นานมานี้ สมบัติประจำตระกูลของเราก็มีปฏิกิริยาขึ้นมา เราพอจะทราบว่านั่นต้องเกิดจากการทะลวงพลังของคุณหนู และมันก็ช่วยให้เราได้รู้ว่าท่านอยู่ในนครแห่งนี้ หลังจากใช้เวลาตามหาแรมปีในที่สุดข้าก็ได้พบคุณหนู ท่านคือคุณหนูของเราไม่ผิดแน่ สมบัติประจำตระกูลช่วยข้ายืนยันเรื่องนั้นแล้ว”

สิ่งที่บุรุษผู้เฒ่ากล่าวมานั้น อธิบายได้ว่าก้อนแสงนั่นแท้จริงก็คือสมบัติประจำตระกูลของพวกเขา ของสิ่งนี้สามารถใช้บ่งชี้ผู้มีเชื้อสายแห่งตระกูลได้ ขอเพียงแค่ผู้ที่มีสายเลือดของตระกูลส่งถ่ายพลังวิญญาณเข้าไปภายในนั้น มันก็จะมีปฏิกิริยาตอบสนอง และด้วยวิธีนี้เองที่ทำให้เขาสามารถหาตัวเสี่ยวโร่วจนพบได้

เสี่ยวโร่วยิ้ม และยังคงก้าวไปข้างหน้าช้า ๆ แต่แน่วแน่

“ในเมื่อข้าก็หายไปนานถึงเพียงนั้น เหตุใดพวกเจ้าถึงยังต้องตามหาข้าอีก หลายปีมานี้ข้าก็มีชีวิตที่มีความสุขดี”

“คุณหนู ท่านคิดหรือว่าพวกเราจะไม่ทราบถึงความลำบากของท่านยามต้องพลัดพรากจากบ้านจากตระกูลที่มีคนที่รักท่าน ? ได้โปรด กลับไปกับข้าเถิด”

ผู้เฒ่าปริศนาในชุดสีขาวจ้องมองเสี่ยวโร่วด้วยสายตาวิงวอน ความรู้สึกผิดท่วมท้นอยู่บนใบหน้าและดวงตาชราจนสังเกตได้

.