ตอนที่ 142 ข้าจะไปหาเจ้า

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ณ ชั้นที่สามแห่งหอประมูลใหญ่นครไป๋อวิ๋น

ความเงียบงันปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง มีเพียงเสียงลมหายใจของคนด้านในเท่านั้นที่ยังบ่งบอกถึงการมีตัวตนอยู่ของคนทั้งหมด หนึ่งสาวน้อยจ้องมองคนชราปริศนาด้วยแววตาซับซ้อนที่ยากเกินกว่าจะคาดเดา บุรุษผู้เฒ่าก็จ้องตอบอีกฝ่ายด้วยใบหน้าเคร่งเครียด บรรยากาศอันแสนกดดันนี้ทำให้เยว่ชิงเฉิงและโอวหยางชิงเฟิงกล่าวสิ่งใดไม่ออก

ฉินอวี้โม่เองก็จ้องมองเสี่ยวโร่วนิ่งนานโดยไม่เอื้อนเอ่ยวาจา

เวลานี้ เสี่ยวโร่วหยุดก้าวเดินแล้ว นางยืนนิ่งอยู่กับที่ราวกับกำลังนึกตรึกตรองบางสิ่ง สาวน้อยกำลังตัดสินใจเรื่องสำคัญบางเรื่อง ทว่าดวงตากลมโตก็ยังคงจดจ้องอยู่ ณ จุดเดิม

“สูด~”

จู่ ๆ เสี่ยวโร่วก็หลับตาลงพลางสูดลมหายใจเข้าลึก นางหันไปหาฉินอวี้โม่ พลันกล่าวด้วยรอยยิ้มบาง “คุณหนู เหมือนว่าข้าคงอยู่กับท่านไม่ได้อีกแล้ว”

วันนี้นางคงไม่อาจจะปฏิเสธชะตาของตัวเองได้ ความหมายของผู้เฒ่าชุดขาวชัดเจนมาก…ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นวันนี้เขาก็จะพานางกลับไปไม่มีความหมายหากจะดื้อรั้นดึงดัน ไม่เพียงไม่ก่อผลใด ๆ ยังรังแต่จะทำให้คนที่นางรักเดือดร้อนและจะมีแต่คนต้องเจ็บปวด

เมื่อเป็นเช่นนี้มิสู้จากลากันด้วยรอยยิ้มที่มีความสุขเสียจะดีกว่า

คุณหนูตระกูลฉินจ้องมองสาวใช้ตัวน้อยที่คอยเคียงข้างเสมอพลางสาวเท้าเข้าไปใกล้ ดวงตาเนื้อทรายเต็มแน่นไปด้วยอารมณ์ ความทรงจำทุกอย่างพรั่งพรูอยู่ในห้วงความคิด หมุนวนอยู่ในสมอง ความรู้สึกมากมายถาโถมสาดซัดเข้าไปภายในหัวใจที่เคยเข้มแข็งและในทันทีที่เข้าใกล้เสี่ยวโร่ว ฉินอวี้โม่ก็คว้าร่างเล็กเจ้ามากอดไว้แน่น

…ทุกสิ่งอย่างทั้งหมดนี้เป็นความผิดของนางเอง เป็นเพราะนางอ่อนแอไร้ความสามารถ

…ถ้าหากว่านางแข็งแกร่งกว่านี้ เสี่ยวโร่วก็คงไม่ต้องเจ็บปวด เพราะนางจะไม่มีวันยอมให้เสี่ยวโร่วต้องจากไปอย่างไม่เต็มใจ

…ถ้าหากว่าตอนนี้นางแข็งแกร่งมากพอ นางก็คงจะปกป้องเสี่ยวโร่วไว้ได้

…ถ้านางแข็งแกร่งพอ ชายชราผู้นั้นก็คงไม่กล้าดูถูกเหยียดหยามนาง และจะไม่มีวันมีผู้ใดมาพรากนางและเสี่ยวโร่วออกจากกัน

…ไม่มีวันทำให้เสี่ยวโร่วต้องเศร้าเสียใจเช่นนี้

สตรีโฉมงามกำหมัดแน่นจนมือสั่นอย่างสิ้นไร้หนทาง …ทุกอย่างมันเป็นเพราะนางไม่แข็งแกร่งพอ !

“คุณหนู ท่านอย่าคิดมากเลยนะ ในหัวใจของเสี่ยวโร่วคนนี้ ท่านยอดเยี่ยมที่สุดเสมอ ไม่ว่าข้าจะไปที่ใดจะอยู่ที่ไหน ข้าก็จะคิดถึงคุณหนู”

เสี่ยวโร่วพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะกลั้นน้ำตา สาวน้อยฝืนยิ้มแล้วเอ่ยปากกับสตรีผู้โอบกอดตน นางจะไม่ร้องไห้ จะไม่อ่อนแอ จะทำให้คุณหนูเห็นว่านางเข้มแข็งเพียงใดเพื่อให้คุณหนูวางใจและคลายทุกข์

“เสี่ยวโร่ว ข้าจะต้องไปหาเจ้าให้ได้”

แม้ว่าจะไม่ทราบว่าตระกูลของเสี่ยวโร่วอยู่แห่งหนใด หรือตระกูลนั้นทรงพลังแค่ไหน ทว่าในฐานะที่นางเป็นคุณหนูที่ถูกเทิดทูนและเป็น ‘พี่สาว’ อันเป็นที่รัก ไม่ว่ามันจะยากเย็นแสนเข็ญหรือจะต้องผ่านกี่อุปสรรคขวากหนามนางก็จะดั้นด้นไปให้ถึง นางตั้งมั่นไว้แล้วว่าจะต้องพา*‘น้องสาว’*ผู้นี้กลับมาอยู่พร้อมหน้ากันอีกครั้งให้จงได้

“อื้ม ข้าเชื่อเจ้าค่ะ ข้าจะพยายามเข้มแข็งและรอคอยการมาของคุณหนู”

เมื่อสิ้นวาจาของสตรีอันเป็นที่รักก็ราวกับความอดกลั้นของเสี่ยวโร่วสิ้นสุดไปพร้อมกัน หยาดน้ำตาใสกระจ่างร่วงหล่นลงมาอาบไล้แก้มนวล ทำนบน้ำตาของสาวน้อยพังทลายไม่เป็นท่า

เสี่ยวโร่วเชื่อฉินอวี้โม่จนหมดหัวใจ นางเชื่อมั่นในตัวคุณหนูของนาง ต่อให้ฟ้าจะถล่มนางก็เชื่อว่าฉินอวี้โม่ต้องมาหานางแน่ ฉะนั้นนางจะต้องเข้มแข็งเอาไว้ ในตอนที่ได้พบกันอีกครั้ง ตัวนางจะต้องเป็นผู้ช่วยที่ยอดเยี่ยมและพึงพาได้ของคุณหนู

คุณหนูที่ไม่ใช่คุณหนูและสาวใช้ที่ไม่ใช่สาวใช้สวมกอดกันแน่นอยู่เนิ่นนาน อ้อมกอดนี้ไม่ใช่เพื่อแทนการบอกลาแต่มันเป็นดั่งคำมั่นสัญญา สัญญาที่ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ในวันข้างหน้าทั้งคู่จะต้องกลับมาพบกันอีกและจะอยู่ด้วยกันอีกครั้ง

เมื่อถึงเวลาสมควรเสี่ยวโร่วก็ผละออกจากอ้อมกอดของฉินอวี้โม่อย่างนุ่มนวล

“ข้าจะไปกับเจ้า แต่ข้าอยากให้เจ้าสัญญากับข้าก่อนสองข้อ”

สาวน้อยเช็ดตา หันไปมองผู้เฒ่าชุดขาวแล้วกล่าว

“เชิญคุณหนูว่ามาได้ หากเป็นสิ่งที่ข้าทำได้ ไม่ว่าอะไรข้าก็ไม่ปฏิเสธ”

บุรุษผู้เฒ่าพยักหน้า ขอเพียงเสี่ยวโร่วยอมกลับไปกับเขา อย่างอื่นนั้นไม่ใช่ปัญหา

“อย่างแรก มอบโอสถผสานสวรรค์ให้ข้า ข้าต้องการมอบมันให้กับคนคนหนึ่ง”

เสี่ยวโร่วยื่นเงื่อนไขแรก

“ย่อมได้ สำหรับพวกเรามันก็เป็นเพียงของทั่ว ๆ ไปเท่านั้น คุณหนูเพียงท่านกลับไปยังตระกูล ท่านจะทราบเองว่าโอสถเหล่านี้ก็เป็นแค่โอสถธรรมดาหาได้ดาษดื่น ท่านอยากจะได้มากเพียงใดหรือเมื่อไหร่ก็ตามแต่ใจปรารถนา”

บุรุษชราพยักหน้า พลันหยิบขวดหยกเล็ก ๆ ขวดหนึ่งออกมามอบให้ผู้ที่เขาเรียกขานเป็นคุณหนู ภายในขวดนั้นบรรจุโอสถอันล้ำเลอค่ามากเสียจนผู้คนยอมกระทำทุกสิ่งอย่างเพื่อใฝ่หาและไขว่คว้ามันมาครอบครองให้ได้ โอสถวิเศษในตำนาน –โอสถผสานสวรรค์

เสี่ยวโร่วรับมันมาทันทีโดยไม่คิดลังเล ก่อนจะยื่นให้ฉินอวี้โม่ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ

“คุณหนู ต่อไปนี้เสี่ยวโร่วไม่อาจจะอยู่เพื่อช่วยเหลือท่านได้อีก จนกว่าจะได้พบกันโอสถผสานสวรรค์เม็ดนี้ถือเป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายจากเสี่ยวโร่ว”

ฉินอวี้โม่พยักหน้าเบา ๆ นางมองขวดยาดังกล่าวแล้วรับมันจากมือของสาวน้อย

“คุณหนู  แล้วเงื่อนไขที่สองคืออะไรเล่าขอรับ ?”

เมื่อได้ยินว่าคุณหนูของเขายังคงเรียกขานคนอื่นด้วยคำว่า*‘คุณหนู’* ผู้เฒ่าชุดขาวก็นิ่วหน้าทว่าก็ไม่ได้กล่าววาจาทัดทานเรื่องนี้อีก

“ข้อสองคือ จงอย่าล่วงเกินคุณหนูของข้าและทุกคนที่อยู่ที่นี่ไม่ว่าจะตอนนี้หรือในอนาคต แล้วให้เจ้าบอกทางโรงประมูลไปว่า*‘โอสถผสานสวรรค์จะไม่ถูกส่งมอบให้ผู้ใด เนื่องจากคนบนชั้นสามปฏิเสธเงื่อนไขของเจ้า เจ้าจึงตัดสินใจจะเอามันกลับไป’*”

เสี่ยวโร่วกล่าว ทั้งหมดนี้ก็เพื่อลดความยุ่งยากให้กับฉินอวี้โม่

บุรุษผู้เฒ่าพยักหน้า “เป็นเรื่องที่ง่ายมาก ข้ารับรองทุกอย่างจะเป็นไปตามที่ท่านต้องการ”

ด้วยการโบกมือเพียงครั้งเดียว ความกดดันหนักหน่วงที่ปกคลุมอยู่ทั่วทั้งหอประมูลก็จางหายไปในบัดดล ทุกคนกลับสู่สภาวะปกติอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม ผู้คนมากมายภายในหอประมูลก็ยังกล่าวสิ่งใดไม่ออก พวกเขายังคงตื่นตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่หายแม้ว่าทุกอย่างจะกลับเป็นเหมือนเดิมแล้วก็ตาม

ส่วนห้องบนชั้นสามที่ฉินอวี้โม่อยู่ถูกแยกออกมาจากโลกภายนอกด้วยเขตอาคมของผู้เฒ่าชุดขาวตั้งแต่เมื่อแรกที่ก้อนแสงพุ่งเข้าหาเสี่ยวโร่ว จึงทำให้คนภายนอกไม่ได้ยินบทสนทนาทั้งหมดของพวกเขา

“เสี่ยวโร่ว ข้าจะคิดถึงเจ้า ข้าจะพยายามแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ และออกตามหาเจ้าพร้อมกับอวี้โม่เอง”

ถึงแม้แรงกดดันอันรุนแรงจะเพิ่งจางหายไปและตัวนางก็ยังไม่สามารถปรับตัวเข้ากับความเปลี่ยนแปลงเฉียบพลันที่เกิดขึ้นได้อย่างสมบูรณ์นัก แต่เยว่ชิงเฉิงก็ยังรีบยันตัวลุกขึ้น พลันเดินเข้าไปหาเสี่ยวโร่วและกุมมือของสหายตัวน้อยเอาไว้

ตลอดเวลาที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ของทั้งสองมิต่างจากสหายสนิท วันเวลาที่ผ่านมาล้วนเต็มไปด้วยเรื่องราวที่มีความสุข เมื่อทราบว่าเสี่ยวโร่วจะต้องจากไป คุณหนูตระกูลช่างหลอมก็รู้สึกใจหายจนยากจะยอมรับ อย่างไรก็ตามนางเองก็ทำได้เพียงต้องหักห้ามใจและข่มความรู้สึกไม่ยินยอมเอาไว้เท่านั้น

โอวหยางชิงเฟิงไม่ได้กล่าวสิ่งใด บุรุษหนุ่มเพียงแค่ส่งยิ้มให้สหายตัวน้อยที่เคยร่วมผจญภัยในป่ากว้างมาด้วยกัน เขาเชื่อมั่นว่าในสักวันหนึ่งจะต้องได้พบเจอนางอีกครั้ง

“อืม ข้าก็จะรอการมาถึงของพวกท่าน”

เสี่ยวโร่วพยักหน้าอย่างซาบซึ้ง

“คุณหนู พวกเราควรจะไปกันได้แล้ว !”

เมื่อเห็นว่าเวลาผ่านไปนานแล้ว ผู้เฒ่าชุดขาวจึงเอ่ยเร่งเร้า

เสี่ยวโร่วพยักหน้าเบา ๆ ขณะจ้องมองสหายแสนดีทั้งสามเป็นครั้งสุดท้าย แม้ในแววตาจะเต็มไปด้วยความลังเลเจือปนกับความไม่ยินยอมพร้อมใจ แต่สาวน้อยก็ยังคงหันหลังและก้าวเดินไปหาผู้เฒ่าลึกลับ

เมื่อคุณหนูของตนเดินเข้าใกล้ ผู้เฒ่าชุดขาวก็เร่งเร้าพลังเตรียมที่จะกลับไปยังถิ่นฐาน ทว่าในชั่วอึดใจก่อนที่เขาจะใช้พลังมายา คุณหนูตัวน้อยก็ร้องบอกให้หยุด

เสี่ยวโร่วหันกลับมา ดวงตากลมโตรื้นไปด้วยน้ำตา

“คุณหนู ข้าอยากขอร้องอีกเรื่อง ท่านช่วยบอกคุณชายอี้เฟยทีนะว่าข้าเสี่ยวโร่วจากไปแล้ว”

จู่ ๆ เสี่ยวโร่วก็หันกลับมามองฉินอวี้โม่แล้วเอ่ยสิ่งที่ติดอยู่ในหัวใจของนางออกไป เมื่อสิ้นสุดประโยคที่อยากจะกล่าวมากที่สุด ทำนบน้ำตาของสาวน้อยก็พังทลายอีกครั้ง

คุณหนูสี่ตระกูลฉินพยักหน้าพลางกัดริมฝีปากแน่น นางรู้ดีว่าเสี่ยวโร่วรู้สึกอย่างไรกับพี่ใหญ่และยังรู้ด้วยว่าฉินอี้เฟยเองก็เอ็นดูสาวน้อยกว่าผู้ใด โชคชะตาของคนทั้งคู่ช่างน่าสงสารยิ่งนัก

เสี่ยวโร่วยิ้ม สาวน้อยไม่อาจหยุดยั้งสายธารน้ำตาของตัวเองได้เลย

เมื่อเห็นภาพนั้น ดวงตาเนื้อทรายของคุณหนูสี่ก็คลอไปด้วยน้ำตาอย่างสุดจะกลั้นเช่นกัน

ขณะที่น้ำตาหยดแรกร่วงหล่นจากขอบตาของฉินอวี้โม่ก็เป็นเวลาเดียวกับที่แสงสว่างจนตาพร่าวาบขึ้นทั่วทั้งห้อง เมื่อทุกคนลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ร่างของผู้เฒ่าชุดขาวและเสี่ยวโร่วก็หายไปแล้ว หลงเหลือไว้เพียงกลิ่นอายของสหายตัวน้อยล่องลอยอยู่ในอากาศ

“เสี่ยวโร่ว เจ้าอดทนรอหน่อยนะ ข้าสัญญาว่าจะไปหาเจ้าให้เร็วที่สุด”

ฉินอวี้โม่ทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้อย่างอ่อนล้า บัดนี้บนใบหน้างดงามมีน้ำตาไหลอาบเป็นสาย

ใบหน้าของเยว่ชิงเฉิงเองก็นองไปด้วยน้ำตา นางไม่อยากจะเชื่อเลยว่า จู่ ๆ เสี่ยวโร่วก็จะจากไปอย่างกะทันหันเช่นนี้ อีกทั้งยังไม่มีใครรู้ด้วยว่าสหายตัวน้อยจะถูกพาไปแห่งหนใด

“ฮึก ๆ อวี้โม่ เสี่ยวโร่วถูกพาไปที่ไหน ? นางจะมีอันตรายหรือไม่ ? ฮึก”

เยว่ชิงเฉิงสะอื้นฮัก นางเขย่าแขนสหายตระกูลฉินที่นั่งอยู่ข้าง ๆ พลางเอ่ยถามอย่างเป็นกังวล น้ำเสียงของสตรีผู้เคยเก่งกล้าสั่นเครือจนน่าสงสาร

“อย่าห่วงเลย ชิงเฉิง ข้าเชื่อว่าเสี่ยวโร่วจะต้องไม่เป็นอะไร”

ฉินอวี้โม่ยิ้มบาง ๆ ออกมาเพื่อปลอบโยนเยว่ชิงเฉิง อย่างไรก็ตามใบหน้านวลก็ยังอาบนองไปด้วยน้ำตาไม่แพ้ฝ่ายหลัง

โอวหยางชิงเฟิงเดินเข้ามาใกล้แล้วยื่นผ้าเช็ดหน้าให้เยว่ชิงเฉิงใช้ซับน้ำตา คุณหนูตระกูลเยว่มองคนร่างสูงที่เข้ามาหาก่อนจะโผเข้ากอดซบอกกว้างราวกับต้องการที่พึ่งพิง

“เอาล่ะทุกท่าน การประมูลของเราในวันนี้คงเป็นอันต้องยุติเพียงเท่านี้ โอสถผสานสวรรค์ซึ่งเป็นของประมูลชิ้นสุดท้ายจะไม่ถูกขายออกไปเนื่องจากแขกพิเศษบนชั้นที่สามไม่ยอมรับในเงื่อนไขที่ทางเจ้าของโอสถเสนอ สุดท้ายแล้วเจ้าของโอสถจึงต้องนำมันกลับไปอย่างช่วยไม่ได้”

เสียงประกาศจบการประมูลของเถ้าแก่ดังขึ้น และตอนนั้นเองที่ทุกคนดึงสติตัวเองกลับมาได้

เมื่อได้รู้ว่าบุคคลน่าเกรงขามบนชั้นสามปฏิเสธเงื่อนไขของทางเจ้าของโอสถผสานสวรรค์ เสียงโห่ร้องก็ดังก้องขึ้นมาในทันที คนแบบใดกันที่กล้าต่อรองกับเจ้าของสิ่งเลอค่า ?

เพราะโอสถผสานสวรรค์นับเป็นสิ่งที่ล้ำค่ายิ่งกว่าล้ำค่า ไม่คิดเลยว่าจะมีผู้ที่สามารถต้านทานความเย้ายวนของมันและยอมพลาดโอกาสทองเช่นนี้ไปด้วย ?

อย่างไรก็ตามก็ไม่มีผู้ใดเอ่ยวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้มากนัก สิ่งที่ติดอยู่ในใจของพวกเขามีเพียงความสงสัยใคร่รู้ว่าแขกพิเศษที่อยู่ในห้องบนชั้นสามนั้นเป็นใครมาจากไหน

ไม่นานนักหลังจากที่เถ้าแก่กล่าวปิดงาน ผู้เข้าร่วมงานจำนวนมากต่างก็ทยอยออกจากหอประมูลแห่งไป๋อวิ๋น ในตอนนั้นเองที่มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นที่ห้องของฉินอวี้โม่

“เชิญเข้ามาได้”

ฉินอวี้โม่และสหายทั้งสองสงบอารมณ์ของตัวเองลงมาได้มากแล้ว ฉินอวี้โม่จึงแสร้งทำเหมือนไม่มีสิ่งผิดปกติใดเกิดขึ้น

หลังจากที่ประตูถูกผลักออก ร่างระหงของโฉมงามอันดับหนึ่งเจียงหลิวเยว่ก็ปรากฏให้เห็น ในมือของนางมีตั๋วเงินที่ฉินอวี้โม่ได้รับจากการประมูลมาด้วย

เมื่อได้เห็นคุณหนูสี่ตระกูลฉินด้วยตาของตัวเอง เจียงหลิวเยว่ก็ชะงักไปชั่วครู่ … ‘สตรีผู้นี้ช่างงดงามยิ่งนัก’

รูปโฉมงดงามราวเทพธิดาที่มีชุดยาวสีขาวดุจแสงจันทร์ช่วยขับเน้น รัศมีความสง่าของนางไม่ได้ด้อยไปกว่าโฉมงามอันดับหนึ่งอย่างตนเลย ไม่สิ…บางทีอาจจะเหนือกว่าเสียด้วยซ้ำ

“ฮ่า ๆ หากให้ข้าเดา ท่านคงจะเป็นแม่นางฉินอวี้โม่”

เจียงหลิวเยว่แย้มยิ้มอย่างเป็นมิตรพลางเดินเข้าไปหาโฉมนารีที่นางนึกชื่นชมแล้วนั่งลงเคียงข้าง

ฉินอวี้โม่พยักหน้าตอบรับ ความรู้สึกแรกที่นางมีต่อเจียงหลิวเยว่นับว่าค่อนข้างดีทีเดียว และเนื่องจากสตรีผู้นี้เป็นผู้ที่ทางโรงประมูลเชื้อเชิญมาร่วมงาน ฉินอวี้โม่จึงไม่ได้นึกหวาดระแวงสิ่งใดมากนัก

“กล่าวตามตรง เวลานี้ข้ารู้สึกเป็นเกียรติเหลือเกินที่ได้พบแม่นาง”

เจียงหลิวเยว่ยิ้มระรื่นอีกครั้งก่อนจะกล่าวต่อ

“ในคราแรกที่ได้ยินว่าตัวข้าด้อยกว่าแม่นาง สารภาพเลยว่าข้าไม่อาจเชื่อได้ ทว่าพอได้มาพบตัวจริงเช่นนี้ข้าก็เชื่อสนิทใจแล้ว ข้าเทียบแม่นางไม่ได้จริง ๆ”

ในตอนแรกที่ได้ยินผู้อื่นกล่าวเปรียบเทียบตนกับฉินอวี้โม่ บอกตามตรงว่านางรู้สึกไม่ดีนักและเริ่มมีอคติต่อคุณหนูตระกูลฉินผู้ไม่เคยพบหน้า นางไม่เชื่อว่าผู้ใดจะงามและแข็งแกร่งมากมายเพียงนั้น นางคิดเอาว่าสิ่งที่คนเหล่านั้นกล่าวก็เพียงแต่สรรเสริญเยินยอคุณหนูจากตระกูลใหญ่มากเกินความจริงไปเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม เมื่อได้เห็นฉินอวี้โม่ตัวจริงกับตา นางก็รู้ตัวในทันทีว่าเป็นตนที่คิดผิด สิ่งที่คนพูดกันเกี่ยวกับฉินอวี้โม่ผู้นี้นั้นถูกต้องแล้ว ไม่ใช่เป็นเพียงคุณหนูตระกูลใหญ่แต่สตรีผู้นี้งดงามกว่านางจริง ๆ

ฉินอวี้โม่ยิ้มรับ ทว่าก็ไม่ได้เอ่ยตอบ อดีตนักฆ่าสาวไม่ชื่นชอบการเสแสร้งต่อหน้าผู้คน การวางตัวเสมือนถ่อมตนนักหนาก็ไม่ใช่นิสัยของนาง ในเมื่ออีกฝ่ายคิดเช่นนั้นางจึงไม่คิดจะกล่าวขัด

“แม่นางฉิน นี่คือเงินทั้งหมดที่ท่านได้จากการประมูล ท่านสามารถตรวจดูได้จากรายการ ด้านหลังรายชื่อของอสูรมายาแต่ละตัวที่ถูกประมูลไปมีราคาระบุเอาไว้ทั้งหมด”

เจียงหลิวเยว่ยิ้มพลางส่งตั๋วเงินและรายการสินค้าที่ฉินอวี้โม่ส่งเข้าประมูลให้ ฉินอวี้โม่รับมาแล้วเก็บมันไว้ในแหวนมิติทันทีโดยไม่เปิดดู

“ขอบคุณมาก”

ฉินอวี้โม่ยิ้มบาง ๆ ก่อนจะกล่าวคำขอบคุณ ความกรุณาของทางโรงประมูลในครั้งนี้นางจะขอจดจำเอาไว้

“หึหึ แม่นางฉินไม่ต้องขอบคุณพวกเราหรอก พวกเราต่างหากที่ควรขอบคุณ เป็นเพราะแม่นาง งานประมูลประจำปีครั้งนี้พวกเราถึงได้กำไรอย่างมหาศาล”

เจียงหลิวเยว่ยิ้มให้ฉินอวี้โม่

“แม่นางฉิน ข้าขอแนะนำตัวเองก่อน ชื่อของข้าคือเจียงหลิวเยว่ แท้จริงแล้วข้าเป็นหนึ่งในสมาชิกของตระกูลที่อยู่เบื้องหลังโรงประมูลแห่งนี้ หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือเป็นลูกหลานของตระกูลผู้ดูแลโรงประมูลของทั้งแผ่นดิน”

เจียงหลิวเยว่แนะนำตัวด้วยรอยยิ้ม นางตั้งใจจะผูกมิตรกับฉินอวี้โม่เอาไว้ ในเมื่อต้องการผูกมิตรก็ไม่ควรปกปิดตัวตน

ฉินอวี้โม่ชะงักไปเล็กน้อย นางคิดไม่ถึงว่าเจียงหลิงเยว่จะเป็นบุคคลระดับสูงถึงเพียงนี้ สตรีตรงหน้าเป็นคนมากความสามารถในการเจรจาสูงส่งและมีรูปโฉมงดงาม การเชื้อเชิญนางมาเป็นผู้ดำเนินรายการและควบคุมการประมูลจึงนับว่าเหมาะสม คราแรกคุณหนูสี่คิดว่าเถ้าแก่ของโรงประมูลว่าจ้างบุคคลเช่นนางมาเพราะความเก่งกาจ ไม่คิดเลยว่าไม่ใช่แต่เพียงคุณสมบัติเหมาะสมแต่นางยังมีตำแหน่งใหญ่โตในวงการประมูล

ยิ่งไปกว่านั้น นี่ยังเป็นครั้งแรกที่ฉินอวี้โม่ได้ยินว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังของโรงประมูลทั่วทั้งแผ่นดินก็คือตระกูลเจียง และไม่ใช่แค่โฉมงามตระกูลฉินแต่ทั้งเยว่ชิงเฉิงและโอวหยางชิงเฟิงก็ตกตะลึงด้วยเช่นกัน

“ไม่ทราบว่าถ้าข้าอยากผูกไมตรีเป็นสหายกับแม่นางฉินจะได้หรือไม่ ? หากแม่นางต้องการจะนำของมาประมูลในอนาคตก็สามารถติดต่อมาที่ข้าโดยตรงได้ ข้ารับรอง ทางโรงประมูลจะอำนวยความสะดวกให้ท่านอย่างเต็มที่ ท่านทั้งสองเองก็ด้วย”

เจียงหลิวเยว่ยิ้มแล้วกล่าววาจาขอผูกมิตรกับคนทั้งสามในห้อง ขณะเดียวกันก็ยื่นมือเรียวออกไป

ฉินอวี้โม่เองก็ยิ้มกว้าง เจียงหลิวเยว่ผู้นี้แม้ว่าจะมีความเย็นชาอยู่บ้างแต่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาคนหนึ่ง

เมื่อเห็นมือบางที่ยื่นมา อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูก็ยื่นมือออกไปจับกับมือนั้นแน่น ตอนนี้นางและเจียงหลิวเยว่ถือเป็นสหายกันแล้ว

“เจียงหลิวเยว่ ข้าขอถามเจ้าเรื่องหนึ่งได้หรือไม่ ?”

เมื่อคิดถึงบุรุษเฒ่าผู้ลึกลับที่พาตัวเสี่ยวโร่วไป ฉินอวี้โม่ก็เกิดความสงสัยบางอย่างขึ้น

เจียงหลิวเยว่พยักหน้า “เชิญถามมาได้เลย ข้าจะตอบทุกอย่างที่ข้ารู้”

“เจ้ารู้จักเจ้าของโอสถผสานสวรรค์หรือไม่ ? เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขามาจากที่ใด ?”

ฉินอวี้โม่ถามเรื่องที่นางอยากรู้มากที่สุดออกไปตรง ๆ นางมองเจียงหลิวเยว่ด้วยแววตาที่เป็นกังวลจนอีกฝ่ายสัมผัสได้

เจียงหลิวเยว่ส่ายศีรษะ “เกรงว่าข้าคงจะทำให้เจ้าต้องผิดหวัง ขอโทษด้วยนะ แต่ข้าตอบคำถามนี้ไม่ได้”

แท้จริงแล้ว ไม่มีผู้ใดในโรงประมูลเคยได้เห็นบุรุษผู้นั้นเลยด้วยซ้ำ ในตอนที่เขามาทุกคนได้ยินเพียงแค่เสียงไม่ได้เห็นหน้า จึงไม่มีใครในโรงประมูลแห่งนี้ที่ทราบว่าบุคคลปริศนาผู้นั้นเป็นใคร

ฉินอวี้โม่พยักหน้า ถึงแม้จะคาดเดาไว้ก่อนแล้วว่าจะได้ยินคำตอบแบบนี้ แต่นางก็ยังอดผิดหวังไม่ได้ ในเวลานี้ความหดหู่เพิ่มขึ้นในใจของคุณหนูตระกูลฉินอีกหลายส่วน

เสี่ยวโร่วถูกคนผู้นั้นพาตัวไป ทว่านางไม่แม้แต่จะรู้ว่าเขาเป็นใครมาจากไหน เช่นนี้แล้วนางจะออกตามหาสาวน้อยของนางได้อย่างไร ?!

.