ตอนที่ 98.2 แสดงให้เห็นความจริง (2)

ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน

ตอนที่ 98 แสดงให้เห็นความจริง (2)

ช่วงเวลาที่พวกนักศึกษาเข้าไปในตึก ประตูทุกบานก็ถูกปิดลงทันที เหลือแค่ประตูหลักไว้ มีพวกอาจารย์คอยคุมอยู่

ทางนี้มีไว้ช่วยเหลือนักศึกษาในสถานการณ์คับขัน

พวกนักศึกษาใหม่ลงมือไม่รู้หนักเบา หากเกิดการบาดเจ็บจริงๆ ทางมหาวิทยาลัยจะได้พยายามช่วยเหลือเป็นอันดับแรก

เมื่อเข้าไปในตึก สิ่งแรกที่ปรากฏในสายตาคือห้องโถงที่โล่งกว้าง

คนนับพันเข้ามา กลับไม่ได้เบียดเสียดอะไร

กลางห้องโถงนั้นมีชั้นวางอาวุธอยู่ ด้านบนเต็มไปด้วยอาวุธไม้ที่ใช้สำหรับการฝึก มีดดาบทวนหอก อะไรล้วนมีพร้อม

หอกไร้คมของฟู่ชางติ่ง เพราะไม่มีโลหะ จึงนำเข้ามาได้

พอเข้ามาข้างใน ฟู่ชางจิงก็ตามอยู่ด้านข้างฟางผิง “นายจะใช้อาวุธหรือเปล่า?”

ฟางผิงพยักหน้า มีไว้ดีกว่าไม่มี ตอนนี้พลังของพวกเขาไม่ได้แข็งแกร่งมากมาย มีอาวุธในมือต้องรู้สึกอุ่นใจกว่าอยู่แล้ว

แน่นอนว่า ถ้าเจอคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อ แต่ฝืนใช้อาวุธไปทั้งที่ไม่ถนัด นั่นคงจะเป็นอุปสรรคไม่น้อย

ฟางผิงไม่พูดมากอีก เข้าไปหยิบไม้พลองยาวเกือบหนึ่งเมตรมา

เขาไม่เคยเรียนใช้อาวุธมาก่อน ไม้พลองจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด อาศัยแค่แรงอย่างเดียวเท่านั้น

คนอื่นๆ บางคนเลือกหยิบอาวุธ บางคนไม่ใช้อะไรเลย

นักศึกษาบางคนยังมองไปรอบทิศอย่างหวาดระแวง บางคนก็ไม่สนใจ เดินตามบันไดขึ้นไปชั้นบน

ฟางผิงไม่รีบ คว้าไม้พลองมาลองจับให้ชินมือ ก่อนจะหันไปมองฟู่ชางติ่ง “เริ่มตอนนี้เลยไหม?”

“รอสักพักก่อน!”

ฟู่ชางติ่งส่ายหัว “ช่วงแรกจะค่อนข้างวุ่นวาย ฝูงมดกัดช้างตายได้อยู่แล้ว บางคนไม่รู้จักประเมินตัวเอง คงอยากฝ่าทะลวงไปยังชั้นสี่ พวกเรารอสักพักก่อน รอพวกที่ความสามารถไม่พอ รู้ว่าตัวเองทำได้แค่อยู่ชั้นสาม พวกเราค่อยเข้าไป”

“ได้ งั้นพวกเราแยกกันก่อน ถึงเวลานั้นค่อยไปเจอกันที่ชั้นสี่”

ฟางผิงไม่คิดจะอยู่กับหมอนี่ตลอดเวลา พูดจบก็คว้าไม้ขึ้นชั้นสองทันที

เห็นฟางผิงเดินไป ฟู่ชางติ่งอดลอบด่าไม่ได้

ทางที่ดีอย่าให้เกิดเรื่องอะไรกับหมอนี่ล่ะกัน หากฟางผิงมีปัญหา เขาคนเดียวคงทำเรื่องลำบากแล้ว

ชั้นสี่

ถังซงถิงสาวเท้าเข้ามาในโถงใหญ่ เวลานี้มีคนมาถึงกว่าสิบคนแล้ว

กวาดสายตามอง ก่อนถังซงถิงจะเดินไปหาชายหนุ่มที่ตัดผมสั้นคนหนึ่ง นั่งลงด้านข้างเขา

“ถังซงถิง!”

“จ้าวเหล่ย!”

“จะร่วมมือกันหรือเปล่า?”

จ้าวเหล่ยขมวดคิ้ว “ไม่จำเป็น”

“ฮ่าๆ!”

ถังซงถิงไม่มากความอีก หยัดกายขึ้นเดิน จ้าวเหล่ยพักอยู่ห้องที่หนึ่ง เป็นหนึ่งในสี่ของผู้ฝึกยุทธ์ที่หลอมกระดูกครั้งที่สองแล้ว ความสามารถไม่อ่อนด้อย

ถังซงถิงวางแผนจะร่วมมือกับเขาจัดการฟู่ชางติ่ง

แต่เมื่ออีกฝ่ายไม่ยินดี เขาก็ไม่คิดบังคับ ถังซงถิงมั่นใจว่าเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าเจ้าหมอนี่

ระหว่างที่ถังซงถิงตามหาพันธมิตร อีกด้านหนึ่งพวกผู้หญิงเริ่มจับกลุ่มกันขึ้นมา

หยางเสี่ยวม่านพูดอย่างกระตือรือร้น “ผู้หญิงอย่างพวกเราถูกมองข้ามมาตลอด ชอบพูดกันว่าการต่อสู้ของผู้หญิงเป็นรองกว่าผู้ชาย! แต่ฉันไม่เชื่อหรอก ครั้งนี้พวกเราสามคนร่วมมือกัน ให้พวกผู้ชายได้รู้ซะบ้าง ผู้หญิงอย่างเราไม่ใช่ใครจะมาหาเรื่องได้ง่ายๆ! ใครกล้าดูถูกพี่น้องพวกเรา ต้องอัดพวกเขาให้หน้าบวม!”

ขณะที่พูด จู่ๆ หยางเสี่ยวม่านก็พูดว่า “เฉินอวิ๋นซี อย่าทำหน้าตาอ่อนโยนแบบนั้นได้รึเปล่า พวกนั่นเห็นเข้าจะคิดว่าพวกเราน่ารังแกเอา! เลียนแบบจ้าวเสวี่ยเหมยสิ ทำหน้าตาดุร้ายแบบนั้นให้พวกผู้ชายตกใจกลัวไปเลย!”

หญิงสาวสองคนที่ถูกเอ่ยถึง เฉินอวิ๋นซีเผยยิ้มใสซื่อ ด้านจ้าวเสวี่ยเหมยเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “จะบอกว่าฉันขี้เหร่ก็พูดมาตรงๆ จะอ้อมค้อมไปมาทำไม!”

“ไม่ได้บอกว่าเธอขี้เหร่ ผู้ฝึกยุทธ์ต้องหน้าตาดีไปทำไมกัน มีความสามารถก็เพียงพอแล้ว…”

หยางเสี่ยวม่านอธิบายด้วยใบหน้าซีด จ้าวเสวี่ยเหมยไม่ได้สนใจนัก เผยยิ้มว่า “ไม่เป็นไร ฉันไม่ได้ใส่ใจอยู่แล้ว เสี่ยวม่านพูดถูก ผู้ฝึกยุทธ์ดูกันที่ความสามารถ! เสี่ยวม่านเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่หลอมกระดูกครั้งที่สองแล้ว อวิ๋นซีเหมือนกัน ฉันได้ยินว่ามีผู้ฝึกยุทธ์ที่หลอมกระดูกครั้งที่สองแค่สี่คนเท่านั้น แม้จำนวนผู้หญิงจะมีน้อย แต่เราไม่ได้อ่อนแอไปกว่าพวกผู้ชายเลย! ในหมู่ผู้ชาย มีแค่จ้าวเหล่ยและฟู่ชางติ่งที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์หลอมกระดูกครั้งที่สองแล้ว ส่วนคนอื่น ฉันก็ไม่ได้มองว่าพวกเขาดีเลิศอะไร!”

“พวกเราสามคนร่วมมือกัน ไม่มีคนกล้าหาเรื่องแน่!”

จ้าวเสวี่ยเหมยสีหน้ามั่นใจ เฉินอวิ๋นซีกลับเอ่ยเสียงแผ่ว “คนที่ชื่อฟางผิง ไม่ใช่ว่าหลอมกระดูกครั้งที่สามแล้วเหรอ?”

“เหอะ ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์อย่างเป็นทางการซะหน่อย หลอมกระดูกสามครั้ง แค่หมายความว่าจะทะลวงด่านได้เร็วหน่อยเท่านั้น ความสามารถด้านการต่อสู้อาจจะไม่ได้แข็งแกร่งเสมอไป ทั้งหลอมกระดูกตั้งสามครั้ง จะเอาเวลาที่ไหนไปฝึกต่อสู้? พวกเธอคิดว่ายังไง?”

หยางเสี่ยวม่านเห็นด้วย “ถูกของเธอ ครั้งนี้ต้องอาศัยฝีมือการต่อสู้ ไม่ใช่ดูที่ความสามารถคุยโว เขาและฟู่ชางติ่งเก่งเรื่องขี้โม้ แต่เรื่องการต่อสู้คงพูดยากอยู่บ้าง”

ขณะที่พวกผู้หญิงกำลังพูดคุยกัน จู่ๆ กลับมีเสียงตะคอกดังขึ้นด้านข้าง

“ออกไปให้พ้น!”

โถงใหญ่ชั้นสี่ มีประตูใหญ่ทั้งหมดสองบาน เวลานี้หน้าประตูใหญ่บานหนึ่ง มีผู้ฝึกยุทธ์อย่างเป็นทางการเอ่ยเสียงดัง “ชั้นสี่ไม่ใช่ที่ของพวกนาย!”

คนที่ถูกตะคอกคือชายหนุ่มที่จับกลุ่มกันสี่คน ได้ยินคนผู้นี้ด่าอย่างไม่เกรงใจ จึงมีคนเอ่ยอย่างโมโห “แต่ละชั้นรองรับได้สี่ร้อยคน ตอนนี้เพิ่งจะกี่คนเอง? นายอย่าได้ทำเกินไป!”

“ทำเกินไป? จะแสดงให้เห็นความจริงล่ะกัน!”

ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นแค่นหัวเราะ ไม่พูดพล่ามอีก ใช้ดาบยาวที่ทำจากไม้ในมือฟาดไปที่ไหล่อีกฝ่ายทันที

คนที่เป็นเป้าหมายใช้ในการข่มขู่ คือนักศึกษาใหม่ที่เพิ่งโต้แย้งเมื่อครู่

ผู้ฝึกยุทธ์ยังไงก็เทียบกับนักศึกษาทั่วไปไม่ได้อยู่ดี สี่คนที่รวมกลุ่มกัน เห็นได้ชัดว่ามาจากหอพักโซนสี่ที่อยู่ด้วยกันสี่คน

โซนสี่ เดิมทีนักศึกษาพวกนี้เข้ามหาวิทยาลัยอย่างฉิวเฉียดด้วยปราณประมาณหนึ่งร้อยสามสิบแคลเท่านั้น

แม้เวลาจะผ่านมาหลายเดือน แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดดทั้งหมด

ผู้ฝึกยุทธ์มีปราณที่แข็งแกร่ง เคลื่อนไหวว่องไว พละกำลังมาก เข้าสู่ช่วงหลอมกระดูกอย่างเป็นทางการแล้ว

ฟาดดาบออกไปเพื่อข่มขู่ อีกฝ่ายไม่อาจหลบทันอยู่แล้ว ทุกคนจึงได้ยินเสียง ‘กร๊อบ’ อย่างทั่วกัน

“อ๊าก…”

เสียงร้องครวญดึงดูดความสนใจคนจำนวนมาก

เห็นแค่คนที่ถูกฟาด กุมไหล่ด้วยสีหน้าเจ็บปวด ร้องโอดโอยอย่างไม่หยุดหย่อน

“ไสหัวไป!”

คนที่ลงมือไม่แลตามองสักนิด ตะเบ็งเสียงใส่คนพวกนั้น “พวกปลายแถวอยากขึ้นมาแย่งที่กับเขาด้วย คิดว่าชั้นสี่ใครจะขึ้นมาก็ได้หรือไง”

“นาย…นายทำเกินไปแล้ว ทุกคนเป็นเพื่อนร่วมชั้น…”

เพื่อนร่วมห้องของนักศึกษาที่ได้รับบาดเจ็บ พูดด้วยสีหน้าโมโหและคับข้องใจ เพิ่งจะเอ่ยจบ ผู้ฝึกยุทธ์ฝ่ายตรงข้ามกลับง้างดาบขึ้นมาอีกครั้ง

เวลานี้พวกเขาไม่กล้าพูดอีกแล้ว สามคนที่เหลือเผยสีหน้าลำบากใจ พยุงคนที่ได้รับบาดเจ็บลงไปชั้นล่าง

“ดูกันเอาไว้ ชั้นสี่ ถ้าปราณไม่ถึงหนึ่งร้อยสี่สิบแคล ไม่มีสิทธิ์เข้ามา!”

ผู้ฝึกยุทธ์ที่ข่มขู่ตะโกนเสียงดัง พาให้นักศึกษาหลายคนที่กำลังอยู่ตรงทางเดินและคนที่มุงดูต่างหวาดกลัวไปตามๆ กัน

นักศึกษาใหม่จำนวนมากทำสีหน้าจับต้นชนปลายไม่ถูก ทำไมถึงเป็นแบบนี้!

นึกไม่ถึงว่าคนพวกนี้จะกล้าลงมือจริงๆ!

นักศึกษาในสังคมปัจจุบันเข้าสู่มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ เหมือนกับฝูงแกะไร้เดียงสาที่เข้าสู่โลกแห่งความป่าเถื่อน เต็มไปด้วยอันตราย

ในโถงใหญ่มีผู้ฝึกยุทธ์หลายคนไม่คิดสนใจเช่นกัน มีคนยอมจัดการปัญหาให้ พวกเขากลับพอใจเสียอีก

ไม่งั้นหากไม่มีคนคุม อีกเดี๋ยวพากันแห่มาคงเป็นปัญหาเหมือนกัน

ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นไม่พูดอะไรอีก หาที่ว่างนั่งลง เขาไม่ได้ข่มขู่เพราะว่างอยากสร้างเรื่อง แต่กำลังแสดงความสามารถตัวเองต่างหาก

เขาไม่ใช่คนไร้ค่าที่มีดีแต่ปราณเหมือนพวกนั้น!

—————-