ตอนที่ 99.1 ขอโทษละกันที่ผิดแผน (1)

ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน

ตอนที่ 99 ขอโทษละกันที่ผิดแผน! (1)

ชั้นสอง

ฟางผิงเดินเล่นอย่างสบายใจเฉิบ

เขาไม่ใช่ว่างจนไม่มีอะไรทำ แต่อยากมาดูสถานการณ์คร่าวๆ ของนักศึกษาใหม่ต่างหาก โดยเฉพาะทักษะการต่อสู้ ฟางผิงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย

เขาคลุกคลีกับผู้ฝึกยุทธ์แค่ช่วงสั้นๆ ทั้งยังรู้จักแค่ไม่กี่คน

หวังจินหยางนั้นพิเศษหน่อย ถานเจิ้นผิงมีดีแค่ปราณ หวงปิงตายเร็วเกินไป ส่วนจางหย่งต่อยหัวคนอื่นกระจุยด้วยหมัดเดียว

คนเดียวที่มีประสบการณ์ต่อสู้ด้วย มีแค่ผู้ฝึกยุทธ์นอกรีตที่ฝีมือห่วยแตกคนนั้น นอกจากให้จางหย่งแสดงพลังหมัดตัวเอง ก็ไม่มีประโยชน์อย่างอื่นอีกแล้ว

ดังนั้นแม้จะมาถึงตอนนี้ ฟางผิงแทบไม่กระจ่างชัดในความสามารถของตัวเองสักนิด

เขารู้ว่าตัวเองหลอมกระดูกสามครั้ง คงไม่ได้อ่อนด้อย แต่ความอ่อนด้อยนี้ต้องดูว่าเทียบกับใคร

เทียบกับเหล่าหวัง แค่มือเดียวของอีกฝ่ายน่าจะทุบเขาจนเงยหน้าไม่ขึ้นแล้ว

ชั้นหนึ่งและชั้นสองค่อนข้างจะสงบ

ชั้นหนึ่งแทบไม่มีการต่อสู้ ชั้นสองมีอยู่เล็กน้อย แค่จ้องตากันเหมือนไก่ชน ใช้ฝีปากปะทะกันเท่านั้น

“นายก็มาด้วย?”

“ใช่ ฉันมาแล้ว”

“นายมาทำไม นายอยู่ชั้นหนึ่งดีถมเถแล้ว”

“นายมาได้ ทำไมฉันจะมาไม่ได้?”

“…”

บทสนทนาปัญญาอ่อนแบบนี้ ฟางผิงเพิ่งจะได้ยินมา แม้ฟางผิงจะเดินผ่านพวกเขา ทั้งสองคนกลับไม่มีปฏิกิริยาอะไร จนขึ้นมาถึงชั้นสาม ฟางผิงค่อยได้เห็นการต่อสู้ครั้งแรก หรือพูดว่าต่อสู้ไม่เหมาะสมนัก

แค่คนธรรมดาสองคนที่ปราณค่อนข้างสูงทะเลาะกัน ด้านข้างยังมีผู้ชมตะโกนเชียร์

ปราณสูงมีข้อดีอยู่สองอย่าง มีความอดทนและยืนหยัด!

นายหนึ่งหมัด ฉันหนึ่งหมัด สู้กันจนถึงขีดจำกัด เวลานี้ข้อดีของปราณสูงก็จะแสดงให้เห็นเป็นประจักษ์

ต่อยโดนตัวไม่ได้เจ็บหนัก ทั้งสิ้นเปลืองแรงไม่เยอะ ดูจากจังหวะของทั้งสองคน น่าจะตีกันจนถึงเวลาเปิดตึก

“แบบนี้ ฉันคนเดียวคงสู้ได้พร้อมกันสิบคน…”

ฟางผิงขบคิดในใจ ปราณของทั้งสองคนคงไม่ได้แตะถึงขีดจำกัด นั่นหมายความว่าต้องต่ำกว่าหนึ่งร้อยสี่สิบเก้าแคล

แม้จะเรียนเคล็ดวิชาต่อสู้ ก็เป็นแค่เพลงมวยที่สวยแค่กระบวนท่า ไม่อาจเรียกว่าการต่อสู้ได้เต็มปาก

คนแบบนี้กล้าลงมืออย่างไม่อายในชั้นสาม คนอื่นๆ ยังเผยสีหน้าราวกับดูละครงิ้ว เห็นได้ชัดว่าความสามารถของนักศึกษาชั้นสามนั้นธรรมดา

“แทบไม่เห็นผู้ฝึกยุทธ์สักคน คนธรรมดาที่ก้าวข้ามขีดกำจัดเหมือนกัน น่าจะไปชั้นสี่กันหมด”

“ไปดูชั้นสี่ดีกว่า ถ้ามีตัวอย่างคงจะพอประเมินระดับของคนอื่นได้บ้าง”

ฟางผิงรู้สึกว่าตัวเองคิดมากไปเหมือนกัน ขาดความฮึกเหิมเหมือนวัยรุ่ยทั่วไป ชินกับการระดมความคิด ทำให้เขาชอบที่จะวางแผนให้ดีก่อนค่อยลงมือ

“ต้องเปลี่ยนซะแล้ว!”

ฟางผิงตัดสินใจแล้ว ที่จริงเขาไม่ได้คิดว่าแบบนี้เป็นเรื่องแย่ แต่บางครั้งการตัดสินใจที่ไร้ความเฉียบขาด อาจไม่ใช่เรื่องดีเช่นกัน

เทียบกับพวกฟู่ชางติ่งแล้ว เขามักจะโลเลอยู่บ้าง ทั้งไม่ชอบอยู่กับคนอื่นเท่าไหร่

ฟางผิงถอนหายใจ ก่อนจะเดินขึ้นไปชั้นสี่

ชั้นสี่

ตั้งแต่นักศึกษาที่ความสามารถไม่ถึงพวกนั้นถูกไล่ลงไป คนอื่นที่ตามขึ้นมาทีหลังต่างไม่อ่อนด้อยกันทั้งนั้น

ผู้ฝึกยุทธ์และคนที่หลอมกระดูกสองครั้งมีเกือบเจ็ดสิบคน ปราณเกินหนึ่งร้อยห้าสิบแคล แต่ไม่ถึงหนึ่งร้อยแปดสิบแคลมีประมาณสามสิบสี่สิบคน

นอกจากร้อยกว่าคนนี้ นักศึกษาที่ทยอยขึ้นมา ล้วนมีปราณทั่วไปอยู่ที่หนึ่งร้อยสี่สิบแคลขึ้นไป

ในนั้นคนธรรมดาที่ขีดจำกัดแตะหนึ่งร้อยสี่สิบเก้าแคล ก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ

เห็นว่าไม่มีใครเดินขึ้นมา ในกลุ่มคนนั้นมีเสียงคนเอ่ยว่า “เหมือนจะง่ายกว่าที่ฉันคิดไว้”

ชั้นสี่รองรับได้สี่ร้อยคน แต่หลังจากที่ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นข่มขู่ไม่ให้คนที่ปราณต่ำกว่าหนึ่งร้อยสี่สิบแคลขึ้นมา

ทั้งมีคนเฝ้าประตู คนที่ขึ้นมาชั้นบนเลยน้อยลงอย่างมาก

จนถึงตอนนี้ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว ชั้นสี่เพิ่งมีคนประมาณสามร้อยเท่านั้น

คนที่เหลืออยู่ ถ้าไม่เดินเล่นอยู่ชั้นล่าง ก็คงกำลังวางแผนขึ้นมาชั้นบนในช่วงเวลาสุดท้าย

แม้จะคำนวณคนทั้งหมดรวมกัน ยังยากที่จะเกินสี่ร้อยคนอยู่ดี

เมื่อเป็นแบบนี้ ทุกคนต่างรู้สึกว่าผ่อนคลายไม่น้อย

นักศึกษาที่มีความสามารถธรรมดารู้สึกผ่อนคลาย เพราะจะได้รับโอกาสเข้าสาขายุทโธปกรณ์

แต่นักศึกษาที่ค่อนข้างแข็งแกร่งกลับไม่พอใจอยู่บ้าง สถานการณ์แบบนี้ พวกเขาจะโดดเด่นได้ยังไง?

ขณะที่หลายคนกำลังใช้ความคิด ฟู่ชางติ่งเดินเข้ามาจากด้านนอกพอดี

ฟู่ชางติ่งเหวี่ยงหอกไร้คมสีขาวในมือเป็นวงกลม ตะโกนว่า “ซงเชาเชา[1]อยู่ไหน? ออกมาสิ!”

ทุกคนพากันอ้ำอึ้ง ขณะที่ทุกคนอยู่ในความมึนงง ถังซงถิงก็หยัดกายขึ้นอย่างโมโห “ฟู่ชางติ่ง นายลองพูดอีกครั้งสิ!”

“ซงเชาเชา มาสิ ให้อาจารย์สอนนายว่าจะเป็นคนต้องทำยังไง!”

ฟู่ชางติ่งหัวเราะเสียงดัง ไม่รอถังซงถิงตอบกลับ ด้ามหอกพลันถูกวาดออกมา

‘หวืดๆ…’

เสียงหวีดหวิวดังขึ้นในอากาศ

ถังซงถิงหน้าเปลี่ยนสี ขยับเท้าหลบอย่างว่องไว คนโดยรอบที่ได้รับผลกระทบต่างเผยสีหน้าไม่สู้ดีอยู่บ้าง

คนพวกนี้ยังไม่ทันเอ่ยปาก ฟู่ชางติ่งกลับหัวเราะขึ้นมาก่อน “ฉันจะสู้ตัวต่อตัวกับซงเชาเชา แต่ถ้าอยากสนุกจะเข้ามาพร้อมกันก็ได้ อาจารย์รับไหวอยู่แล้ว!”

“อวดดีเกินไปแล้ว!”

มีคนตะโกนขึ้น แต่กลับไม่มีคนออกหน้าสักคน คนที่อยู่ด้านข้างถังซงถิงพากันถอยหลบออกไป

ความสามารถของสองคนนี้ไม่ธรรมดา โดยเฉพาะฟู่ชางติ่ง ด้ามหอกนั้นถูกเหวี่ยงออกมากลับมีเสียงดังลั่นในอากาศ

เวลานี้ทุกคนต่างรอคอย ไม่มีใครอยากออกหน้า

“ซงเชาเชา ไม่มีคนช่วยนายแล้ว วันนี้อย่าได้คิดหนี!”

“ซงเชาเชาบ้านปู่แกสิ!”

ถังซงถิงถูกเรียกฉายาต่อหน้าคนอื่น ทั้งฟู่ชางติ่งยังเป็นฝ่ายรุกก่อน ต่อให้ในใจจะหวาดกลัว เวลานี้คงไม่อาจทนได้แล้ว!

“ไปตายซะ!”

ถังซงถิงแยกขา กางนิ้วมือขวาทั้งห้าคว้าจับด้ามหอกไว้

“ปึก!”

ทั้งสองคนปะทะกัน กลับมีเสียงกระทบของโลหะดังขึ้นอย่างเลือนราง

มือขวาของถังซงถิงที่คว้าด้ามหอกกลับเปลี่ยนเป็นสีแดง หลังมือเผยให้เห็นเส้นเลือดบวมเป่ง

ถังซงถิงจับด้ามหอกไว้เต็มแรง มือซ้ายกำหมัด ทุบไปที่ด้ามหอกอย่างไม่ออมมือ เห็นได้ชัดว่าอยากจะทำลายอาวุธของฟู่ชางติ่ง

“โง่เขลา!”

แววตาของฟู่ชางติ่งปรากฏความเย้ยหยันวาบผ่านขึ้นมา คนอื่นไม่รู้ ถังซงถิงก็ไม่รู้เช่นกันว่าเขาเลือกหลอมกระดูกขา

เขาเคยเรียนหอกมาแล้ว แต่กระดูกด้านบนยังไม่ได้หลอม พลังจึงอยู่ในขั้นธรรมดา จุดที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาคือขาขวาต่างหาก!

ถังซงถิงใช้มือหนึ่งจับด้ามหอก อีกมือกำหมัด เวลานี้เปิดเผยจุดอ่อนเต็มที่ ไม่ทันระวังฟู่ชางติ่งแม้แต่น้อย

ฟู่ชางติ่งไม่พูดพร่ำทำเพลง ปล่อยมือขวาออกจากหอกยาว ใช้ขาซ้ายยันพื้น ก่อนจะโผทะยานร่างเตะอีกฝ่ายสุดแรงด้วยขาขวา!

“พลั่ก!”

เสียงเนื้อดังกระทบกันอีกครั้ง ฟู่ชางติ่งใช้เท้าเตะเข้าที่อกของถังซงถิงจนกระเด็นออกไปไกลกว่าสามสี่เมตร

ถังซงถิงโซซัดโซเซไม่ได้ล้มลง ทว่าใบหน้ากลับซีดเผือด รีบประคองอกทรุดตัวลงนั่ง

“อ่อนแอ อ่อนแอเกินไปแล้ว!”

ฟู่ชางติ่งนึกไม่ถึงว่าระยะเวลาหลายเดือนที่ไม่เจอกัน ถังซ่งถิงจะมีการพัฒนาเพียงแค่นี้ เสียดายที่ก่อนหน้านี้คิดว่าเขาจะเทียบเท่าคู่แข่งกว่าสิบคนซะอีก

ในเวลานี้ ฟางผิงเดินเข้ามาจากประตูทางเข้าพอดี ขมวดคิ้วเล็กน้อย “นี่คือคู่แข่งของนาย?”

เขามาถึงตั้งแต่ที่ทั้งสองคนปะทะกันแล้ว หยุดรออยู่พักหนึ่ง นึกไม่ถึงว่าถังซงถิงจะถูกฟู่ชางติ่งเตะกระเด็นไป

เห็นเขาไม่คิดป้องกัน เปิดเผยจุดอ่อนซะกว้าง กระดูกที่หน้าอกอาจจะหักด้วยซ้ำ นี่ทำให้ฟางผิงผิดหวังอยู่บ้าง

ผู้ฝึกยุทธ์แบบนี้ แทบไม่ต่างอะไรกับพวกนอกรีตที่เจอครั้งก่อน

เทียบกับหวังจินหยาง คงห่างชั้นอย่างไม่ต้องพูดถึง

ก่อนหน้านี้เคล็ดวิชาเท้าของเขา เหล่าหวังบอกว่าให้ลองดู เวลานั้นพลังของฟางผิงแข็งแกร่งกว่าถังซงถิงในตอนนี้เสียอีก

แต่ปรากฏว่ากลับถูกเหล่าหวังใช้มือเดียวทุบตีราวกับหยอกเด็ก

เสียแรงที่ก่อนหน้านี้เขากังวล คิดว่าอาจจะจัดการคนพวกนี้ไม่ได้

แต่ตอนนี้ฟางผิงเข้าใจแล้ว ทุกคนตั้งมาตรฐานกับตัวเองไม่เหมือนกัน มาตรฐานที่เขามองคือหวังจินหยาง ผู้กล้าที่ท้าประลองกับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งทั่วเซี่ยงไฮ้!

เวลานี้ฟางผิงมั่นใจขึ้นมาแล้ว

ไม่รอให้ฟู่ชางติ่งเอ่ยปาก เขากวาดสายตามองไปทั่วห้องโถง เอ่ยอย่างเรียบนิ่งว่า “ก่อนที่ฉันจะมาที่นี่ ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าสองมหาวิทยาลัยดังมีอัจฉริยะมากมายราวกับมวลเมฆ! ฉันละทิ้งของรางวัลนับล้านออกจากหนานเจียง มาเลือกที่เซี่ยงไฮ้ ก็เพราะอยากเปิดหูเปิดตาว่าอัจฉริยะที่แท้จริงเป็นยังไง! แต่นึกไม่ถึงว่า นักศึกษาของเซี่ยงไฮ้จะอ่อนแอแบบนี้ สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นจริงๆ!”

——————

[1]เชาเชา สุนัขพันธ์หนึ่งที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีน มีขนเยอะ ลำตันสั้นกะทัดรัด คล่องแคล่วว่องไว