เล่มที่ 11 บทที่ 317 เกิดความสงสัย

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

“ท่านน้า เสียงของท่าน…”

จิ้งเยว่รีบร้อนเอ่ยตอบ

“ช่วงก่อนถูกลมหนาวจนเป็นหวัดเพคะ ท่านอ๋องรีบเสด็จเถิด อย่าให้เหนียงเหนียงร้อนพระทัยเลย”

มองดูท่าทางกระวนกระวายของผู้หญิงตรงหน้า ความสงสัยพลันวาบขึ้นในใจ

แต่ก่อนน้าจิ้งเยว่เป็นคนเงียบขรึมไม่พูดไม่จา แม้จะรักและเอ็นดูเขา แต่นางแตกต่างจากน้าจิ่นเยว่ที่มักจะแสดงออกถึงความอบอุ่นอ่อนโยนต่อเขาเสมอ

เหตุใดวันนี้เขาจึงรู้สึกได้ถึงความอ่อนโยนที่แผ่ออกมาจากน้าจิ้งเยว่กันนะ

อาจเพราะจวนแห่งนี้เงียบเหงาจนเกินไป ดังนั้นเขาจึงเริ่มคิดถึงคนที่ตนเองไม่เคยใส่ใจมาก่อน

“ดูแลรักษาสุขภาพด้วย น้าจิ่นเยว่จากไปแล้ว ท่านเป็นคนเก่าแก่ของหมู่เฟยเพียงคนเดียว ต่อจากนี้ไปหมู่เฟยต้องพึ่งพาอาศัยเพียงแต่ท่าน”

ส่วนหยุนลั่วคนนั้น หลงเทียนอวี้รู้สึกเสมอว่านางคือหายนะ บางทีความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไประหว่างหลินเมิ้งหยาและหมู่เฟยอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับนาง

ร่างกายของน้าจิ้งเยว่สั่นไหวเล็กน้อย ดวงตาสับสนกระวนกระวาย แต่ถึงกระนั้นก็ยังพยักหน้ารับหงึกหงัก

“ขอบพระทัยท่านอ๋อง”

ไม่นานก็มาถึงตำหนักหยาเสวียน เพียงเดินผ่านประตูเข้ามา เหล่าข้าทาสบริวารต่างเอ่ยแสดงความยินดีแก่เขา สีหน้าของหลงเทียนอวี้ถมึงทึงลงในทันที เขาไม่รู้ว่าตนเองควรรู้สึกยินดีในเรื่องใด

“ขอแสดงความยินดีกับท่านอ๋องด้วยเพคะ เหนียงเหนียงรอพระองค์อยู่นานแล้ว เชิญเสด็จเถิดเพคะ”

หยุนลั่วสวมชุดหยุนจิน ศีรษะประดับดอกไม้

หลงเทียนอวี้รังเกียจผู้หญิงคนนี้ หากมิใช่เพราะนาง ตำหนักหยาเสวียนคงไม่เกิดเรื่องมากมายขนาดนี้

แม้จะเห็นสายตาดูแคลนจากหลงเทียนอวี้ ทว่าใบหน้าของหยุนลั่วยังคงประดับไว้ซึ่งรอยยิ้มดั่งเดิม

“ท่านอ๋องอย่าได้สร้างความขัดแย้งกับเหนียงเหนียงเลยเพคะ ถึงอย่างไรเหนียงเหนียงก็หวังดีต่อพระองค์ พวกท่านทั้งสองล้วนเป็นแม่ลูกกัน เหตุใดจะต้องทะเลาะกันเพียงเพราะผู้หญิงคนหนึ่งด้วยล่ะเพคะ?”

หยุนลั่วเอ่ยชี้แนะ แต่หลงเทียนอวี้กลับรู้สึกรังเกียจจนยากจะอธิบายได้

“จงระวังสถานะของเจ้าด้วย หากคิดว่ามีลมหายใจอยู่บนโลกนี้เพียงพอแล้ว เช่นนั้นก็ไปปลิดชีพตัวเองเสีย”

ส่งเสียงเย็นยะเยือก ดวงตาเผยให้เห็นความเย็นชา ทว่าหยุนลั่วหาได้เผยความหวาดกลัวออกมาไม่

สมแล้วที่เป็นคนที่หมู่เฟยไว้วางใจ นางไม่แม้แต่จะรู้สึกหวาดกลัว

“ท่านอ๋องตลกเหลือเกินเพคะ หนู่ปี้ยังอยากมีชีวิตอยู่เพื่อรับใช้เหนียงเหนียงนะเพคะ ตอนนี้เหนียงเหนียงอายุมากขึ้นแล้ว เช่นนั้นก็ควรมีคนดูแลมิใช่หรือเพคะ? ท่านอ๋องจะใจร้ายใจดำไม่เหลือใครให้อยู่รับใช้เหนียงเหนียงเลยแม้แต่คนเดียวหรือเพคะ?”

อยู่ๆ ความหวาดกลัวพลันถูกวาดขึ้นในหัวใจของหลงเทียนอวี้ขณะที่กำลังจ้องหยุนลั่ว

นับตั้งแต่วันที่หมู่เฟยพานางเข้ามาอยู่ในจวน หมู่เฟยคอยให้นางรับใช้อยู่ทุกเวลา เหตุใดหมู่เฟยจึงเชื่อฟังคำพูดของสาวใช้ขวางหูขวางตาคนนี้กันนะ?

ความสงสัยพลันเกิดขึ้นในใจ แต่ถึงกระนั้นหลงเทียนอวี้ก็เดินตามหยุนลั่วเข้าไปยังห้องโถงของตำหนักหยาเสวียน

เพียงผ้าม่านถูกแหวกออก กลิ่นหอมฉุนพลันเตะเข้าที่จมูกของหลงเทียนอวี้ เขาขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น ด้วยคุ้นชินกับกลิ่นกายที่เจือกลิ่นยาอ่อนๆ ของหลินเมิ้งหยาแล้ว ฉะนั้นกลิ่นฉุนจากแป้งและเครื่องหอมเหล่านี้ทำให้เขารู้สึกอึดอัด

“อวี้เอ๋อร์มาแล้วหรือ มา มา มา มานั่งข้างเปิ่นกงเถิด”

น้ำเสียงของพระสนมเต๋อเฟยเปี่ยมไปด้วยความยินดีปรีดาที่ไม่ได้ยินบ่อยครั้งนัก บางทีอาจเพราะนางคิดว่าหนามยอกอกของตนเองถูกเตะกระเด็นไปจากจวนแล้วอย่างแน่นอน

บรรยากาศภายในห้องโถงอบอุ่นแต่กลับน่าเบื่อหน่าย ทว่าหลงเทียนอวี้พยายามอดทนไม่แสดงออกถึงอารมณ์ใดๆ

เดินเข้าไปใกล้ขึ้น ก่อนจะได้เห็นหญิงสาวใบหน้างดงามยืนเรียงแถวกันอยู่ด้านข้างพระสนมเต๋อเฟย หัวใจของหลงเทียนอวี้พลันกระตุกวูบ

หมู่เฟยยังไม่ตัดใจอย่างนั้นหรือ?

“เพียงได้เห็นหมู่เฟยสบายดี เอ๋อร์เฉินก็รู้สึกสบายใจ หากไม่มีเรื่องอะไรแล้วล่ะก็ เช่นนั้น….”

ความไม่พอใจเจืออยู่ในน้ำเสียงของหลงเทียนอวี้ แต่พระสนมเต๋อเฟยทำท่าราวกับไม่ได้ยิน นางรีบร้องขัดขึ้น

“เด็กคนนี้นี่ เจ้ารู้จักเพียงแต่ยุ่งอยู่กับการบ้านการเมือง เหตุใดจึงไม่สนใจเรื่องของตนเองเลยเล่า? ตอนที่เสด็จพ่อของเจ้าอายุเท่าเจ้า ตอนนั้นพระองค์ก็มีพี่ๆ น้องๆ ของเจ้าหลายคนแล้ว ดูเจ้าเถิด แม้เจ้าจะมีพระชายา แต่ก็เหมือนไม่มีอย่างไรอย่างนั้น คุณหนูเหล่านี้ล้วนเป็นบุตรสาวของขุนนางในราชสำนัก หากเจ้าพึงใจในตัวผู้ใด เช่นนั้นหมู่เฟยจะเป็นธุระจัดการให้เจ้าเอง”

คำพูดของพระสนมเต๋อเฟยทำให้ใบหน้าของหลงเทียนอวี้ถมึงทึงลง ขณะเดียวกันก็ทำให้หญิงสาวเหล่านั้นก้มหน้าลงด้วยความขวยเขิน

พวกนางล้วนเป็นลูกสาวของอนุภรรยา แม้ใบหน้าจะงดงาม แต่ถึงกระนั้นก็มิได้รับความสนใจจากวงศ์ตระกูลเท่าที่ควร

เมื่อเติบใหญ่ สุดท้ายพวกนางก็ต้องออกเรือนไปกับพวกคุณชายไร้ชื่อหรือไม่ก็พวกพ่อหม้าย แต่เมื่อวันนี้ได้มีโอกาสที่จะกลายเป็นชายารองของอ๋องอวี้ พวกนางจึงพยายามแย่งชิงไขว่คว้าโอกาสนั้น

แม้พระชายาเอกจะเกิดในสกุลสูงศักดิ์ แต่ถึงกระนั้นก็เข้าวังไปแล้ว ถ้าหากพวกนางสามารถอาศัยจังหวะนี้กำเนิดทายาทให้แก่ท่านอ๋องได้ก่อนแล้วล่ะก็ เช่นนั้นชาติกำเนิดก็หาใช่เรื่องสำคัญไม่

ฉะนั้นพวกนางจึงพยายามชม้อยชม้ายชายตาให้อ๋องอวี้โดยไร้ซึ่งความกระดากอาย

มือทั้งสองข้างกำเข้าหากันแน่น ความรู้สึกผิดหวังแล่นพล่านในหัวใจ ช่วงเวลาที่ผ่านมาเขาคิดว่าหมู่เฟยกลับตัวกลับใจแล้ว เหตุเพราะนางเลิกรังแกหลินเมิ้งหยา ดังนั้นเขาจึงคิดว่านางอาจจะนึกเสียใจกับสิ่งที่ตนเองได้กระทำลงไป

แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเพียงหลินเมิ้งหยาถวายตัวเข้าไปรับใช้งานในวังหลวง พระสนมเต๋อเฟยจะกลับมาแสดงอำนาจอีกครั้ง

เหตุใดหมู่เฟยจึงอยากให้เขาตบแต่งภรรยาอนุนัก? เหตุใดหมู่เฟยที่เคยเป็นคนฉลาดเฉลียวจึงทำเรื่องไร้ความคิดเช่นนี้

หรือนางจะไม่อยากหลงเหลือความสัมพันธ์ฉันแม่ลูกของพวกเขาเอาไว้แล้ว?

“หมู่เฟย เอ๋อร์เฉินไม่มีทางแต่งงานรับชายารองเข้าจวน เอ๋อร์เฉินหวังว่าหมู่เฟยจะเข้าใจในเรื่องนี้ เชิญพวกคุณหนูกลับไปเถิด ต่อจากนี้ไปห้ามมายังจวนอวี้อีก ตอนนี้พระชายาไม่อยู่จวน เกรงว่าจะให้การต้อนรับได้ไม่ดีพอ”

หลงเทียนอวี้กล่าวเสียงแข็ง หญิงสาวเหล่านั้นล้วนฟังออกว่าความอดทนของเขากำลังจะหมดไป อีกทั้งความหวังของพวกนางยังหมดสิ้นไปแล้ว ดังนั้นพวกนางจึงรีบถอนตัวออกไป

ราวกับว่าพระสนมเต๋อเฟยมิได้สนใจใยดีกับท่าทางแข็งกร้าวของหลงเทียนอวี้ นางทำเพียงยกชาขึ้นจิบ ก่อนจะชำเลืองมองเขา

“อวี้เอ๋อร์ เจ้าทำตัวไร้สาระอีกแล้ว เปิ่นกงทำทุกอย่างเพื่อเจ้า หลินเมิ้งหยาจะนำหายนะมาให้เจ้า เจ้าคิดหรือว่านางจะได้กลับออกมาจากวังหลวง?”

หลงเทียนอวี้ชะงัก มิใช่เพราะน้ำเสียงของพระสนมเต๋อเฟย แต่เพราะหัวใจอันแสนเย็นชาของนาง พระสนมเต๋อเฟยในเวลานี้ไม่เหมือนหมู่เฟยที่เลี้ยงเขาจนเติบใหญ่เลยแม้แต่น้อย

แม้ว่าเขาจะได้ดื่มเพียงน้ำนมจากแม่นมและท่านน้าก็ตาม แต่ถึงอย่างไรหมู่เฟยก็เป็นมารดาแท้ๆ ของเขา คำพูดและการกระทำต่างๆ ล้วนเป็นแบบอย่างให้แก่เขาเสมอมา

แม้หมู่เฟยจะอยู่ในวังหลังและต้องรักษาภาพลักษณ์พระสนมเอาไว้ แต่ถึงกระนั้นทั้งคำพูดและกิริยาวาจาก็ล้วนฉลาดเฉลียวและน่าเลื่อมใสทั้งสิ้น

ตกลงเกิดเรื่องอะไรกันแน่? เหตุใดหมู่เฟยจึงกลายเป็นผู้หญิงเย็นชาไร้หัวใจเช่นนี้?

“ลูกชายข้า พวกเราสองแม่ลูกต้องอยู่ในวังหลวงอันโสมมมานานยี่สิบกว่าปี พวกเราล้วนรู้จักนิสัยใจคอของพวกคนในวังหลวงดี เจ้าเองหาใช่เด็กน้อยไร้เดียงสา เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าชายาของเจ้าจะกลับออกจากวังหลวงโดยไร้รอยขีดข่วน?”

พระสนมเต๋อเฟยพูดพลางหัวเราะ

ใบหน้าที่ถูกตกแต่งอย่างดงามพลันดูโหดเหี้ยมเล็กน้อย

หลงเทียนอวี้ยืนนิ่ง เงาของคนแปลกหน้าสะท้อนอยู่ในดวงตาของเขา

“กลับมาได้หรือไม่หาได้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของหมู่เฟย แต่เอ๋อร์เฉินมีบางประโยคอยากแนะนำหมู่เฟย เอ๋อร์เฉินหวังว่ามือของหมู่เฟยจะไม่ยื่นออกไปยืดยาวนัก เพราะเอ๋อร์เฉินเกรงว่าพระองค์จะเจ็บมือเอาได้”

ในเมื่อพูดกันถึงขั้นนี้แล้ว หลงเทียนอวี้จึงเลิกเห็นแก่ความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูก

เขารู้อยู่แล้วว่าหมู่เฟยมิได้หวังดีกับหลินเมิ้งหยา แต่คิดไม่ถึงเลยว่านางจะเกลียดชังหลินเมิ้งหยาจนคิดอยากจะเอาชีวิตนางเช่นนี้

“เจ้าเป็นลูกที่เปิ่นกงคลอดออกมา หรือเจ้าคิดจะปกป้องนังแพศยาคนนั้นจริงๆ ? อวี้เอ๋อร์ เจ้าจงจำเอาไว้ นางเปรียบเสมือนก้อนหินขวางทางเจ้า หากนางตาย หมู่เฟยจะหาชายาที่ดีกว่านาง เพื่อที่จะให้ครอบครัวของชายาคนใหม่เข้ามาเป็นกำลังสนับสนุนให้แก่เจ้า เมื่อใดที่ไท่จื่อได้ขึ้นครองบัลลังก์ เมื่อนั้นเจ้าจะสามารถปกป้องตัวเองได้ จากนั้นเจ้าจะได้เป็นอ๋องต่อไป ดีหรือไม่?”

พยายามโน้มน้าวด้วยความรักอย่างมีเหตุผลกระนั้นหรือ? หากเป็นแต่ก่อนหลงเทียนอวี้คงพิจารณาดู

ทว่าหัวใจของเขาในเวลานี้มิรับฟังคำพูดใดๆ ของหมู่เฟยเลยแม้แต่น้อย ดวงตาสั่นไหว แต่ถึงกระนั้นใบหน้ากลับไม่แสดงออกถึงอารมณ์ใดๆ ซ้ำยังแสร้งแสดงท่าทางดูแคลน

“ไท่จื่อขึ้นครองบัลลังก์อะไรกัน? หมู่เฟย เหตุใดทุกสิ่งทุกอย่างจึงถูกกำหนดให้เป็นของของไท่จื่อ!”

“อวี้เอ๋อร์! อย่าได้พูดจาไร้สาระ! ไท่จื่อเป็นองค์รัชทายาท ส่วนเจ้าเป็นน้องชายของเขา เรื่องทุกอย่างถูกกำหนดเอาไว้แล้ว เจ้าอย่าได้คิดทำลาย!”

อยู่ๆ พระสนมเต๋อเฟยก็ตะคอกออกมา หลงเทียนอวี้ชะงัก สมองของเขาประมวลผลเร็วขึ้น สุดท้ายยังคงแสร้งแสดงท่าทางมิอาจทำใจยอมรับได้

สาวเท้ายาวๆ เดินออกจากตำหนักของพระสนมเต๋อเฟย ก่อนที่เขาจะหยุดฝีเท้าลง

สีหน้ากลับมาเป็นปกติ หางตาปรายมองตำหนักหยาเสวียนที่อยู่ทางด้านหลัง ก่อนที่เขาจะแทรกตัวเข้าไปที่มุมกำแพง

“เย่ เรื่องที่ข้าให้ไปสืบคราวก่อนเป็นเช่นไร?”

ร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นด้านหลังของเขา

เย่คุกเข่าลงกับพื้นด้วยความเคารพ ก่อนจะตอบเสียงหนักแน่น

“มีองค์รักษ์ที่มิใช่คนของจวนคุ้มครองตำหนักหยาเสวียนมากมายขอรับ ข้าน้อยเคยประมือกับพวกเขา ดูเหมือนพวกเขาจะเป็นองครักษ์ลับของวังหลวง ฉะนั้นข้าน้อยจึงเข้าไปไม่ถึงตัวของเหนียงเหนียง แต่คนพวกนั้นไม่เหมือนคนที่เหนียงเหนียงเรียกใช้งานเป็นประจำ นับตั้งแต่วันที่ออกมาจากวังหลวง คนของเหนียงเหนียง รวมถึงพวกองครักษ์ถูกเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด ข้าน้อยเคยออกตามหา แต่คนเหล่านั้นกลับหายไปโดยไร้ร่องรอยขอรับ”

หากแม้แต่เย่ยังมิอาจเข้าไปภายในได้แล้วล่ะก็ เช่นนั้นแสดงว่าคนของวังหลวงเหล่านั้นจะต้องมิใช่คนธรรมดา

แม้เย่จะไม่อยากแหวกหญ้าให้งูตื่น แต่คนของหมู่เฟยก็ไม่มีเหตุผลอันใดจะต้องรั้งเย่เอาไว้มิใช่หรือ?