ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง อยู่ๆ สายตาของหลงเทียนอวี้พลันเหลือบเห็นเสี่ยวซีซึ่งสวมใส่เสื้อผ้าของคนรับใช้ในวังหลวงเดินเข้าไปในประตูใหญ่ของตำหนักหยาเสวียน
แม้เขาจะไม่สามารถจำใบหน้าข้าทาสบริวารในจวนได้ทั้งหมด แต่เขากลับรู้สึกว่าทาสรับใช้แปลกหน้าคนนั้นมีบางอย่างผิดปกติ
“เจ้าเคยเห็นเขาหรือไม่?”
มองแผ่นหลังของเสี่ยวซีซึ่งผลุบหายเข้าไปในตำหนักหยาเสวียน หลงเทียนอวี้เอ่ยถามขึ้นมา
“เขาเป็นขันทีของวังหลวงขอรับ เขาจะมาที่นี่เดือนละหนึ่งครั้ง ข้าน้อยเคยติดตามเขาอยู่หลายครั้ง ทุกครั้งเขาจะเดินทางออกจากวังหลวงมายังจวนของพวกเราโดยตรง แต่ทุกครั้งที่มาเขามักจะมุ่งตรงไปที่ตำหนักหยาเสวียนเพียงที่เดียวและอยู่ที่นั่นราวหนึ่งชั่วโมง ข้าน้อยไม่อยากแหวกหญ้าให้งูตื่น ดังนั้นจึงมิได้เข้าไปทำอันใดเขาขอรับ”
สาเหตุที่เย่ไม่เคยรายงานเรื่องนี้มาก่อน นั่นหมายความว่าขันทีคนนี้มิได้ทำเรื่องผิดปกตินอกจากการหลบๆ ซ่อนๆ มายังตำหนักหยาเสวียนเดือนละครั้งเท่านั้น
หันกลับไปมองทางประตูตำหนักหยาเสวียนด้วยความสงสัยอีกครั้งหนึ่ง
แต่ไหนแต่ไรมาฮองเฮาและหมู่เฟยเปรียบเสมือนน้ำกับไฟ หรือคนที่ออกมาจากวังหลวงจะเป็นคนที่พวกเหนียงเหนียงคนสนิทของหมู่เฟยส่งมากันนะ?
แต่พอลองครุ่นคิดดูอีกครั้งแล้วก็ยังแปลกอยู่ดี หากเป็นเช่นนั้นเขาก็ต้องเดินทางเข้ามาในจวนอย่างเปิดเผย มิใช่หลบๆ ซ่อนๆ เข้ามาเช่นนี้
“สั่งให้คนจับตามองเขาไว้ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าใครเป็นผู้ส่งเขามาและเขามาทำอะไร”
เย่ไม่เอ่ยค้าน เขาหายตัวไปทันที
หมุนตัวและเดินออกจากตำหนักหยาเสวียน ทว่าหัวใจของหลงเทียนอวี้ราวกับมีลมพายุหมุนวนอยู่ภายใน อยู่ๆ เขาก็จำสิ่งที่หลินเมิ้งหยาเอ่ยเตือนขึ้นมาได้…เขาจะต้องจับตามองหมู่เฟยให้ดี
ดูเหมือนนางจะรู้อะไรบางอย่างมา แม้นางจะชอบแสดงท่าทางเหมือนไม่สนใจ แต่ทุกการเคลื่อนไหวในจวนมิอาจรอดพ้นไปจากสายตาของนาง
หรือนางจะพบว่าหมู่เฟยมีความผิดปกติอันใด?
แหงนหน้ามองแสงแดดอบอุ่น ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด อยู่ๆ หลงเทียนอวี้ก็อยากเห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มงดงามอบอุ่นดั่งดวงอาทิตย์ของใครบางคน
ขาก้าวมาหยุดอยู่ที่ตำหนักหลิวซินโดยไม่ได้ตั้งใจ
มือทั้งสองข้างผลักประตูบานใหญ่ออก แต่สิ่งที่ต้อนรับเขามีเพียงความว่างเปล่า
บุปผาบานสะพรั่งชูช่องดงาม แต่เมื่อไร้เจ้านาย บรรยากาศจึงแปรเปลี่ยนเป็นโศกเศร้า
“ถวายพระพรท่านอ๋อง”
เสียงอันเจือไว้ซึ่งความกระวนกระวายดังขึ้น หลงเทียนอวี้ก้มหน้าลงก่อนจะเห็นผอจื่อสวมผ้าเนื้อหยาบสีเทาคุกเข่าอยู่บนพื้น ข้างกายนางคือไม้กวาดเก่าๆ อันหนึ่ง
“คนในตำหนักนี้เล่า? เหตุใดจึงเหลือเจ้าเพียงคนเดียว?”
แต่ก่อนตำหนักแห่งนี้เปี่ยมไปด้วยเสียงหัวเราะ แต่หลังจากหลินเมิ้งหยาเข้าไปอยู่ในวังหลวง ความเงียบงันจึงปกคลุมทั่วทั้งตำหนัก
“ทูลท่านอ๋อง พระชายาอนุญาตให้แม่นางทั้งสามหยุดพักผ่อน เสี่ยวป๋ายและเสือน้อยเองก็ถูกส่งกลับไปเช่นเดียวกัน ส่วนผอจื่อคนอื่นๆ ถูกแม่นางหยุนลั่วสั่งให้ไปรับใช้งานที่อื่น ดังนั้นตำหนักแห่งนี้จึงมีเพียงเหล่าหนู่อยู่ดูแลเพียงคนเดียวเจ้าค่ะ”
คำพูดนี้แสดงให้เห็นว่าหลินเมิ้งหยาไม่มีทางได้กลับออกจากวังหลวงอีกแล้ว
ความไม่พอใจพลันปรากฏในหัวใจของหลงเทียนอวี้ เขาไม่ชอบให้ใครหน้าไหนสาปแช่งหลินเมิ้งหยา
นางจะต้องกลับมาอย่างปลอดภัย
นางจะต้องกลับมาอยู่เคียงข้างเขา
นางจะต้องกลับมาเป็นชายาของเขาดั่งเดิม
“ลำบากเจ้าแล้ว จงทำความสะอาดตำหนักให้ดี อีกไม่นานพระชายาจะกลับมา นางรักความสะอาด อย่าทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจ”
กวาดสายตามองไปรอบๆ ภาพบรรยากาศอันแสนอบอุ่นสะท้อนอยู่ในดวงตาของเขา
ตำหนักหลิวซินช่างแตกต่างจากที่อื่น
หันไปมองศาลาเล็กซึ่งนางมักจะนั่งเล่นกับสัตว์เลี้ยง ขาพลางก้าวไปยังทิศทางนั้นโดยมิได้ตั้งใจ
บัดนี้ผ้ารองตั่งที่ทำจากขนสัตว์ซึ่งเคยเป็นสีขาวเปลี่ยนเป็นสีเทาเพราะมีฝุ่นเกาะ เขายื่นมือเข้าไปสัมผัสแต่กลับไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นเลยแม้แต่น้อย
ราวกับที่นี่ยังคงมีกลิ่นอายของหลินเมิ้งหยาอยู่ กลิ่นหอมอ่อนๆ ของยาสมุนไพรยังคงอบอวลอยู่ในโสตประสาทของเขา เมื่อเทียบกับกลิ่นหอมฉุนของเครื่องประทินผิวและเครื่องหอมของพวกผู้หญิงเมื่อครู่ กลิ่นยาสมุนไพรเหล่านี้เสมือนเครื่องปลอบประโลมให้จิตใจของเขาสงบนิ่งลง
นึกถึงข่าวที่ได้รับจากหลินขุย เชื่อว่าอีกไม่นานหลินเมิ้งหยาจะสามารถกลับมาอยู่ที่จวนได้แล้ว
นาง…กำลังจะกลับมาอยู่ข้างกายเขา
มุมปากหยักยิ้มขึ้นโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่านางจะคัดค้านหัวชนฝาเพียงใด แต่คราวนี้เขาจะขังนางไว้ข้างกายมิยอมปล่อยให้จากไปไหนอีก
“ฮัดชิ่ว…”
อยู่ๆ หลินเมิ้งหยาซึ่งกำลังบดยาสมุนไพรอยู่ก็รู้สึกคันจมูก เสียงจามทำให้คนหันมามองนางด้วยความสนใจ
“พวกเจ้าทำงานไปเถิด ข้าเพียงแค่คันจมูกเพราะผงยาเท่านั้น ไม่มีอะไรหรอก”
หลินเมิ้งหยาลูบจมูกเบาๆ พลางอธิบาย
อีกสองวันจะถึงวันที่ต้องเข้าไปตรวจชีพจรของฮ่องเต้ ดังนั้นคนที่มีคุณสมบัติในการถวายการรักษาทั้งหมดจึงค่อนข้างยุ่ง แม้กระทั่งตัวนางเองก็ไม่มีเวลาพักผ่อน แต่ถึงกระนั้นนางก็กำลังทดสอบซูถง
แม้บันทึกรายงานชีพจรของฮ่องเต้จะอยู่ในมือของนางแล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่านางจะได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้
ดูเหมือนทางฝั่งของหลงเทียนอวี้เองก็น่าจะเพลามือลงแล้ว เหตุเพราะหากบีบคั้นพวกสำนักหมอหลวงมากเกินไป เช่นนั้นจะได้ไม่คุ้มเสีย
ช่วงนี้ซูถงเห็นนางเป็นเสมือนเจ้าแม่กวนอิม เขาแทบจะก้มหัวจุดธูปทุกครั้งที่เห็นนาง แต่ทุกครั้งที่นางเสนอเรื่องขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้ เขามักจะบ่ายเบี่ยงอยู่ร่ำไป
ท่าทางเหมือนลำบากใจอย่างไรอย่างนั้น
หันไปมองซูถงซึ่งกำลังสอนลูกศิษย์อยู่ด้านนอกด้วยความสงสัย นางก็แค่อยากเข้าเฝ้าฮ่องเต้เพียงเท่านั้น แม้แต่หมอหลวงเองก็มิอาจเข้าเฝ้าได้ง่ายๆ อย่างนั้นหรือ?
ครุ่นคิด หลินเมิ้งหยาสบตากับชิวอวี้ หลังจากส่งสายตาเป็นนัยแล้ว พวกเขาจึงหันไปทำงานของตนเองต่อ
ทั้งคู่มิได้ใช้รหัสลับอย่างที่เคยคุยกันเอาไว้ แต่บางทีอาจเพราะแค่ส่งสายตาก็สามารถสื่อสารกันได้ ดังนั้นจึงไม่ต้องพึ่งรหัสเหล่านั้น
เฉกเช่นเดียวกันกับนางและพี่หนานเซิง เพียงส่งสายตาก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร
แปลกเหลือเกิน ทั้งที่เพิ่งเจอกันเพียงไม่กี่ครั้ง แต่นางกับเขาสามารถสื่อถึงกันได้อย่างน่าประหลาด
ช่างเถิด ตอนนี้หาใช่เวลาคิดเรื่องไร้สาระ ในช่วงเวลาพัก หลินเมิ้งหยารีบดึงป๋ายซูไปหลบที่มุมหนึ่งของสวน
ทั้งสองแสร้งทำท่าเด็ดวัชพืช ก่อนจะส่งเสียงกระซิบกระซาบ
“เจ้าราดยาที่ข้าสั่งลงพื้นแล้วหรือไม่?”
ป๋ายซูผงกศีรษะลง นางมักปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้านายอย่างรอบคอบเสมอ
“ตอนที่ราดลงพื้นมีใครเข้ามาห้ามเจ้าหรือไม่?”
ตามความคาดการณ์ของนาง คนที่ปลูกต้นโต่วเทียนจะต้องระมัดระวังดูแลต้นสมุนไพรพิษนี้เป็นอย่างดี แม้นางจะเชื่อว่าพวกหมอหลวงไม่รู้ความลับนี้ แต่ถึงกระนั้นนางก็ไม่อยากทำให้พวกเขาเกิดความสงสัย
ป๋ายซูที่ถูกกำชับไว้เป็นพิเศษเองก็รู้เรื่องนี้ด้วยเช่นเดียวกัน
แต่กลับไม่มีใครเข้ามาถามไถ่นางเลยแม้แต่คนเดียว อย่าว่าแต่ถามเลย ขนาดสบตานางให้เกินสามวินาทียังไม่มีใครกล้า
น่าแปลกเหลือเกิน หรือคนร้ายที่กำลังหลบซ่อนตัวคนนั้นจะทำเพียงยืนนิ่งเพื่อรอดูสถานการณ์เท่านั้น หากเป็นเช่นนั้นจริง แสดงว่านางกำลังประเมินความสามารถของอีกฝ่ายต่ำเกินไปใช่หรือไม่?
ดูเหมือนนางจะต้องเปลี่ยนแผนและดึงคนคนนั้นให้โผล่หัวออกมาเสียแล้ว
“ดี ข้าเข้าใจแล้ว จริงสิ วันนี้เจ้าจงทำให้เจินจูกับหมาหน่าวหลับเร็วหน่อย คืนนี้จะมีคนมาที่เรือน”
ป๋ายซูรีบพยักหน้าอย่างแข็งขัน ก่อนที่อยู่ๆ นางจะนึกอะไรขึ้นมาได้ ดังนั้นจึงยื่นหน้าเข้าไปกระซิบข้างใบหูของหลินเมิ้งหยาเพื่อรายงาน
คิ้วของหลินเมิ้งหยาขมวดเข้าหากันแน่น
สุดท้ายจ้องหน้าป๋ายซูด้วยท่าทางเคร่งขรึม นัยน์ตาแฝงไว้ซึ่งความสงสัยและโกรธเกรี้ยว
ป๋ายซูเล่าว่าใต้เตียงของเจินจูมีตุ๊กตาสลักวันเดือนปีเกิดของนาง ยิ่งไปกว่านั้นตุ๊กตาตัวนั้นยังถูกเจินจูแทงพร้อมทั้งสาปแช่งทุกวัน
นางเคยเห็นการทำคุณไสยเช่นนี้ในละครและหนังสือประวัติศาสตร์ คนสมัยก่อนล้วนคิดว่าบนโลกนี้มีเวทมนตร์คาถา แม้นางจะไม่เชื่อ แต่เพราะตนเองข้ามภพมาเกิดใหม่ ดังนั้นนางจึงไม่อาจคัดค้านเรื่องนี้
แต่เพราะเหตุใดเจินจูที่อาศัยอยู่ในวังหลวงจึงล่วงรู้ถึงวันเกิดของนางกันเล่า? ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้เจินจูเกลียดชังนางมากขนาดไหน แต่เรื่องแบบนี้หาใช่สิ่งที่นางจะทำเพียงคนเดียวได้
ป๋ายซูยังเล่าอีกว่าเจินจูด่าว่านางที่ทำให้คนในครอบครัวของเจินจูต้องตาย
นี่มันเรื่องตลกอันใดกัน? จนกระทั่งตอนนี้นางยังไม่รู้เลยว่าเจินจูเป็นใคร เช่นนั้นนางจะไปฆ่าล้างตระกูลของเจินจูได้อย่างไร?
“พวกเราแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องนี้ไปก่อนเถิด บางทีนางอาจถูกใครบางคนหลอกมาก็เป็นได้ เรื่องนี้ยังไม่สำคัญเท่าเรื่องการเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ตอนนี้ข้ารู้สึกจิตใจไม่สงบเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่ากำลังจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นอย่างไรอย่างนั้น”
หลินเมิ้งหยาแหงนหน้ามองท้องฟ้า ลางสังหรณ์ของนางแม่นยำเสมอ แม้นางจะไม่รู้สถานการณ์ของวังหลังและราชสำนัก แต่การที่ทุกคนในวังหลวงกำลังตกอยู่ในอันตรายก็หาใช่เรื่องดี
หลังจากทำงานยุ่งที่สำนักหมอหลวงตลอดทั้งวัน หลินเมิ้งหยาก็นำสูตรยาของตนเองวางไว้ที่หัวโต๊ะ
ตัวอักษรภาษาอังกฤษและโรมันเขียนอยู่บนกระดาษ นางไม่เชื่อหรอกว่ายุคสมัยนี้จะมีใครอ่านตำรับยาของนางออก ยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นเพียงตัวอย่างเท่านั้น แต่สูตรยาที่แท้จริงอยู่ในระบบเซินหนงของนาง
หลังจากคำนวณทุกอย่างและความเป็นไปได้อีกหลายร้อยรูปแบบแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงรอเวลารักษาอาการประชวรของฮ่องเต้แต่เพียงเท่านั้น
กล่าวลาคนของสำนักหมอหลวง หลินเมิ้งหยาและป๋ายซูกลับไปยังเรือนเล็กด้วยสภาพอ่อนล้า
เพียงเดินผ่านประตูเข้าไป ซูหลานก็รีบวิ่งเข้ามาพาหลินเมิ้งหยาไปยังห้องขององค์ชายสิบ
“เกิดอะไรขึ้น?”
เพียงเดินผ่านประตูเข้ามา นางได้เห็นสีหน้าตื่นตระหนกของแม่นม
ส่วนองค์ชายสิบที่เคยแจ่มใสร่าเริงกลับนอนซมอยู่บนเตียง ดวงตาปิดสนิท คิ้วขมวดเข้าหากันราวกับกำลังรู้สึกเจ็บปวดทรมาน
“หลังจากองค์ชายเสวยอาหารเย็นก็กลายเป็นเช่นนี้เพคะ หนู่ปี้กำลังจะไปเชิญพระองค์เสด็จกลับจากสำนักหมอหลวงพอดี หนู่ปี้ไม่รอบคอบเอง พระชายาได้โปรดลงโทษด้วย”