แม่นมและซูหลานเป็นคนละเอียดรอบคอบ ฉะนั้นอาการป่วยของหลงอิงฮวามิได้เกิดขึ้นเพราะพวกนางดูแลได้ไม่ดีพออย่างแน่นอน
หลินเมิ้งหยาปรี่เข้าไปนั่งข้างเตียง กุมมือเด็กน้อยเพื่อตรวจชีพจร
มองใบหน้าซีดเซียวของเขา หลินเมิ้งหยาสงสัยจึงเปิดเปลือกตาและง้างปากของเขาเพื่อตรวจสอบ ก่อนจะกระซิบถามเสียงเบา
“วันนี้เขาดื่มน้ำบ้างหรือไม่? มีอาการท้องร่วงหรือเปล่า?”
แม่นมปาดน้ำตา ก่อนจะตอบ
“วันนี้องค์ชายสิบดื่มน้ำเข้าไปมากเพคะ หนู่ปี้กลัวองค์ชายจะอิ่มน้ำจึงมิได้ให้ดื่มอีก องค์ชายมีอาการท้องร่วงเล็กน้อย แต่วันนี้องค์ชายบอกว่าเหนื่อยมาก ไม่อยากขยับเขยื้อนไปไหน ไม่มีใครคาดคิดเลยว่าองค์ชายจะเป็นไข้หลังจากเสวยอาหารเย็นเพคะ”
หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด ดูเหมือนปัญหาจะอยู่ที่อาหาร
หลินเมิ้งหยารีบออกคำสั่งให้ป๋ายซูและซูหลานไปเตรียมน้ำหวาน หลังจากนางลองชิมดูเองแล้วจึงป้อนอิงฮวา
คนในเรือนต่างยุ่งวุ่นวายเพราะอาการประชวรขององค์ชายสิบ แต่ไม่มีใครคาดคิดเลยว่าหลินเมิ้งหยาจะไม่ใช้ยาแก้อาการเลยแม้แต่น้อย นางเพียงสั่งให้คนเตรียมน้ำหวานให้เท่านั้น
หลินเมิ้งหยากอดอิงฮวาเอาไว้ มองดูเขาที่กำลังกลืนน้ำหวานลงคอ มือข้างหนึ่งนวดตามลำตัวของเด็กน้อยเบาๆ
แม้แม่นมจะร้อนใจเป็นอย่างมาก แต่พระสนมเสียนเฟยรับสั่งเอาไว้ว่าให้เชื่อฟังคำสั่งของพระชายา ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงสะกดความกระวนกระวายเอาไว้ในใจและช่วยพระชายาดูแลองค์ชาย
โชคดีที่หลังจากหนูน้อยดื่มน้ำหวานเข้าไปไม่นาน อาการของเขาก็ค่อยๆ ทรงตัว สีหน้ากลับมาแดงระเรื่อเหมือนเก่า หัวคิ้วก็ค่อยคลายออกจากกัน
หลินเมิ้งหยาตรวจชีพจรของเขาอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะรู้สึกเบาใจ นางบอกกับทุกคนว่าอาการขององค์ชายสิบไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว ดังนั้นทุกคนจึงถอนหายใจยาว
ตอนนี้เลยเที่ยงคืนแล้ว หลังจากกล่อมองค์ชายสิบแล้วแม่นมจึงเข้ามารับช่วงต่อ หลินเมิ้งหยากำชับหลายเรื่อง ก่อนจะพาป๋ายซูและซูหลานกลับไปยังห้องของตนเอง
เพียงเข้ามาภายในห้อง ซูหลานก็รีบคุกเข่าลง น้ำตาไหลนองเปรอะเปื้อนใบหน้า ก่อนจะร้องขอให้หลินเมิ้งหยาลงโทษตนเอง
“เจ้าหาได้ทำผิดอันใดไม่ แล้วข้าจะลงโทษเจ้าได้อย่างไร รีบลุกขึ้นเถิด”
หลินเมิ้งหยานั่งลงบนตั่งเพราะอาการปวดเมื่อย นางรู้ว่าซูหลานจะต้องโทษตัวเองเพราะเรื่องนี้อย่างแน่นอน ซูหลานเป็นคนดื้อรั้น ดังนั้นป๋ายซูจึงเข้าไปประคองนางลุกขึ้นด้วยตัวเอง
“พระชายามีน้ำพระทัยกว้างขวางยิ่งนัก หนู่ปี้จะจดจำเอาไว้ในใจมิลืมเลือน แต่อาการป่วยขององค์ชายสิบในคราวนี้น่าประหลาดยิ่งนัก ทั้งที่หนู่ปี้และแม่นมตรวจสอบอาหารที่องค์ชายเสวยเป็นอย่างดีแล้ว แต่เพราะเหตุใดองค์ชายจึงประชวรได้หรือเพคะ?”
ซูหลานยังคงไม่เข้าใจ หลินเมิ้งหยายกมือขึ้นนวดขมับ อันที่จริงอาการป่วยของอิงฮวามิได้มีอะไรซับซ้อน สาเหตุมาจากอาการขาดน้ำ วิธีแก้คือการเสริมน้ำเข้าไปในร่างกายให้มากเพียงพอ
ทว่าอาหารของอิงฮวาผ่านการตรวจสอบอย่างละเอียด ซ้ำนางยังตรวจสอบเสื้อผ้าของเขาเองกับมือ เช่นนั้นปัญหาอยู่ที่ใดกัน?
จริงสิ แม่นมบอกว่าวันนี้เจ้าหนูดื่มน้ำเข้าไปมาก เช่นนั้นเหตุใดเขาจึงมีอาการขาดน้ำได้เล่า?
ครุ่นคิดทบทวนอีกรอบ หลินเมิ้งหยารีบสั่งให้ซูหลานนำน้ำที่องค์ชายสิบดื่มมาให้นาง
เพียงดื่มเข้าไปอึกเดียว หลินเมิ้งหยารีบคายทิ้งทันที
ป๋ายซูเองก็รีบหยิบน้ำขึ้นดื่ม ก่อนที่ทั้งสองจะสบตากัน คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น
“เหตุใดพวกเจ้าจึงให้องค์ชายสิบดื่มน้ำเค็มขนาดนี้เข้าไป? เพราะอย่างนี้องค์ชายจึงประชวรอย่างไรเล่า”
ป๋ายซูรีบสาดน้ำลงบนโต๊ะ สีหน้าของซูหลานตื่นตระหนก นางรีบหยิบน้ำมาดื่ม แต่นางกลับไม่มีท่าทางเหมือนหลินเมิ้งหยาและป๋ายซู ซ้ำยังหันไปมองพวกนางด้วยความสงสัย
“เค็ม? นี่เป็นน้ำเปล่าไร้รสชาติมิใช่หรือ?”
ซูหลานไม่มีความจำเป็นต้องโกหกหลินเมิ้งหยา แต่ประสาทการรับรสของหลินเมิ้งหยากับป๋ายซูไม่มีทางผิดเพี้ยน หลินเมิ้งหยาเข้าใจในทันทีว่าจะต้องมีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้น
“เหตุใดองค์ชายสิบจึงมิได้ดื่มน้ำเหมือนกันกับพวกเรา? ใครเป็นคนส่งน้ำเหล่านี้มา?”
ร่างกายของเด็กแตกต่างจากผู้ใหญ่ หากดื่มน้ำเค็มจัดขนาดนี้เข้าไปก็เตรียมตัวกลายเป็นมัมมี่ได้เลย โชคดีที่นางไหวตัวทัน ไม่ว่าใครก็คงคิดไม่ถึงว่าสาเหตุการประชวรขององค์ชายจะมาจากเกลือในน้ำ
“ทูลพระชายา น้ำเหล่านี้เป็นน้ำแร่จากภูเขาที่พระสนมเสียนเฟยส่งมาเพคะ หนู่ปี้และแม่นมตรวจสอบแล้ว ไม่มีทางเกิดข้อผิดพลาดอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นแม่นมยังบอกว่าองค์ชายสิบดื่มน้ำแร่นี้มาตั้งแต่ยังแบเบาะ แม้แต่แม่นมยังต้องดื่มน้ำแร่นี้ครั้นเมื่อตอนที่ให้น้ำนมแก่องค์ชายเพคะ”
หลินเมิ้งหยาผงกศีรษะลง คนเป็นบิดามารดาย่อมต้องการมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูก พระสนมเสียนเฟยอยากมอบสิ่งดีที่สุดให้แก่องค์ชาย แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีคนใช้ประโยชน์จากมัน
ทว่าปัญหาได้เกิดขึ้นแล้ว ทั้งที่น้ำเค็มขนาดนี้ แต่เพราะเหตุใดแม่นมและซูหลานจึงไม่รู้สึก?
“ซูหลาน เจ้าจงอ้าปากแลบลิ้นให้ข้าดู”
ขณะพูด หลินเมิ้งหยาเริ่มตรวจสอบลิ้นของซูหลาน
ผลปรากฏว่าลิ้นของนางมีจุดกลมสีแดงเล็กๆ แซมอยู่
แม้จะเตรียมใจเอาไว้ก่อนแล้ว แต่ซูหลานกลับรู้สึกตื่นตระหนกเป็นอย่างมากเพราะคิดว่าตนเองป่วยเป็นโรคร้ายแรง
แม้ขอบตาจะเปียกชื้น แต่ถึงกระนั้นก็ไร้ซึ่งความรู้สึกหวาดกลัว บางทีอาจเพราะในสายตาของทาสรับใช้อย่างพวกนาง ความเป็นความตายหาใช่เรื่องสำคัญไม่
“อย่าตื่นตระหนกไป ไม่มีอะไรหรอก เพียงแค่ลิ้นของเจ้าจะชาและรับรสไม่ได้ชั่วคราวเท่านั้น ปกติเจ้าและแม่นมมิได้กินอาหารมากมายนัก ดังนั้นจึงไม่เกิดผลกระทบร้ายแรงต่อร่างกาย”
หลินเมิ้งหยาเอ่ยปลอบซูหลาน นางมั่นใจแล้วว่ามีคนต้องการปองร้ายหลงอิงฮวา แต่เพราะน้ำถูกส่งมาจากพระสนมเสียนเฟย เช่นนั้นปัญหาจึงอยู่ที่การจัดเก็บ
“พวกเจ้าอย่าได้เอะอะเรื่องนี้ หากมีใครถามให้บอกว่าองค์ชายสิบประชวรเพราะเล่นมากจนเกินไป ซูหลานและแม่นมต้องเฝ้าเรือนให้ดี ห้ามมิให้ผู้ใดเข้าไปตรวจสอบภายในเป็นอันขาด อาหารที่ส่งมาจงนำไปเททิ้งให้หมด จากนั้นจงแบ่งอาหารที่พวกเจ้ากินให้กับองค์ชายเพียงเล็กน้อยก็พอ จำเอาไว้ว่าจะต้องเป็นอาหารที่ย่อยง่าย พวกเจ้าต้องระมัดระวังอย่าให้ใครเข้าใกล้องค์ชายสิบเป็นอันขาด ไม่ว่าคนผู้นั้นเป็นใครก็ตาม”
บังอาจลงมือในจวนของนาง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนคนนั้นเป็นใคร
ตั้งแต่เรื่องตุ๊กตาสาปแช่งจนกระทั่งทำร้ายองค์ชายสิบ ไม่ต้องคิดนางก็รู้ได้ว่าเป็นฝีมือของใคร ทว่าสิ่งที่นางสงสัยก็คือใครเป็นคนหนุนหลังเจินจูกันแน่
หรือเจินจูจะไม่รักตัวกลัวตาย ฉะนั้นจึงทำเรื่องไร้ความยั้งคิดเช่นนี้
“เพคะ หนู่ปี้จะปฏิบัติตามคำสั่งมิให้ขาดตกบกพร่องและจะไม่ให้เกิดเหตุร้ายกับองค์ชายสิบอีกแล้วเพคะ”
ในเมื่อรู้แล้วว่าปัญหาเกิดขึ้นจากอะไร ซูหลานและแม่นมจะต้องไม่ปล่อยให้เกิดเรื่องอันใดขึ้นกับหนูน้อยอีกอย่างแน่นอน
“ออกไปก่อนเถิด รีบนอนพักผ่อน จากนี้ไปทั้งเจ้าและแม่นมจงดื่มน้ำถั่วเขียวและน้ำอุ่นให้มาก อย่าลืมแบ่งให้องค์ชายดื่มด้วย”
ซูหลานจดจำเอาไว้ในใจและคิดว่าจะต้องปฏิบัติตามคำสั่งอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
สีสันของท้องฟ้าเริ่มสว่างแล้ว หลังจากหลินเมิ้งหยาล้างหน้าแต่งตัวเสร็จ นางเข้ามานั่งข้างเตียงพูดคุยกับป๋ายซู
“เมื่อก่อนท่านอาจารย์เล่าให้ข้าฟังว่าคนในราชวงศ์ไร้หัวใจ สงครามในวังหลวงล้วนอาบนองไปด้วยเลือด แต่พอได้เจอกับตัววันนี้ ข้าเพิ่งจะรู้ว่ามันน่าหวาดกลัวกว่าที่คิดเอาไว้มากเจ้าค่ะ”
แม้ป๋ายซูจะถูกฝึกจนชินชากับการฆ่าฟันและการนองเลือดแล้ว แต่นางกลับรู้สึกหายใจหายคอไม่คล่องเมื่อต้องเจอกับแผนร้ายและเล่ห์กลต่างๆ ในวังหลวง
“ข้าเองก็หาได้รู้สึกชินชากับเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ เมื่อเทียบกับจวนเราแล้ว ปัญหาที่นั่นกลายเป็นเรื่องหยุมหยิมไปในทันที ได้เกิดเป็นองค์ชายแล้วอย่างไรเล่า เด็กในวังหลวงจะมีโอกาสเติบโตได้สักกี่คนกันเชียว ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ก็ใช่ว่าจะมีความสุข”
ใบหน้าหล่อเหลาของใครบางคนเริ่มผุดขึ้นมาในห้วงความคิด
เขาเองก็เติบโตมาในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ใช่หรือไม่? เหตุเพราะต้องเอาตัวรอดจากเล่ห์กลเหล่านี้นับครั้งไม่ถ้วน ดังนั้นเขาจึงกลายเป็นคนเย็นชาอย่างนั้นหรือ? ตอนแรกที่นางทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อช่วยชีวิตหลงอิงฮวาก็เพราะใบหน้าของเขาคล้ายคลึงกับใบหน้าของหลงเทียนอวี้
ป๋ายซูมองเจ้านายของตนด้วยสีหน้าประหลาดใจ น้อยครั้งนักที่นายหญิงจะเหม่อลอยเช่นนี้
มือเล็กโบกตรงหน้านายหญิง ทว่านายหญิงกลับไม่ตอบสนอง
“คิก คิก” ป๋ายซูหัวเราะคิกคัก หลินเมิ้งหยาจึงได้สติกลับมา ก่อนจะหันหน้าไปจ้องสาวใช้ของตน
“เจ้าขำอะไร?”
มองนางด้วยแววตาสงสัย แต่กลับได้เห็นสีหน้าอ่อนโยนของป๋ายซู
“เช่นนั้นนายหญิงบอกข้าก่อนเถิดว่ากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่? เหม่อลอยอยู่หรือเจ้าคะ? หรือเพราะได้เห็นใบหน้าขององค์ชายสิบจึงทำให้คิดถึงองค์ชายอีกพระองค์?”
หลินเมิ้งหยาฉีกยิ้มพร้อมทั้งถลึงตาใส่นาง นับวันสาวใช้ที่เคยเย็นชาของนางก็ยิ่งทะลึ่งทะเล้นมากขึ้น
“ข้าไม่ได้คิดถึงท่านอ๋องเสียหน่อย แต่เพราะมีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย ข้าก็เลย….”
มองดูนายหญิงที่กำลังหาข้ออ้าง ป๋ายซูทนไม่ไหวจึงระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
หลินเมิ้งหยารู้สึกขุ่นเคืองใจเล็กน้อยจึงยื่นมือเข้าไปหยิกแก้มของป๋ายซู
นางมิได้คิดถึงเพียงแค่หลงเทียนอวี้เสียหน่อย ยังมีเสี่ยวอวี้ที่กลับไปยังบ่านเมืองของตนเองอีก หรือแม้แต่คนที่ยังติดค้างคำอธิบายกับนางอย่างชิงหูด้วย
จากคนที่เคยใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพัง ทว่าตอนนี้นางกลับกุมชะตาชีวิตของผู้คนมากมายเอาไว้ บางทีชีวิตของนางอาจเป็นของโลกใบนี้แต่แรกแล้วก็ได้
หลังจากยุ่งวุ่นวายตลอดคืน หลินเมิ้งหยานอนหลับพักผ่อนตลอดช่วงเช้าเพื่อชดเชยเวลานอนที่เสียไป
เมื่อตื่นขึ้นจึงไปดูอาการของอิงฮวา หลังจากมั่นใจว่าเด็กน้อยอาการทรงตัวแล้ว หลินเมิ้งหยาจึงพาป๋ายซูไปยังสำนักหมอหลวง
นางลืมสัญญาที่ทำไว้กับชิวอวี้จนหมดสิ้น แต่คนฉลาดอย่างเขาคงไม่ได้โง่จนถึงกับนั่งรอนางตลอดทั้งคืนหรอกกระมัง