ภาคที่ 2 บทที่ 12 แมงป่องพายุลม (2)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 12 แมงป่องพายุลม (2)

ณ กระท่อมหินเล็ก ๆ ริมทะเลสาบที่มุมหนึ่งทางตะวันออกเฉียงใต้ของสถาบันมังกรซ่อนเร้น

เมื่อซูเฉินมาถึงเขาก็เห็นชายชราผู้มีรูปลักษณ์มอมแมมจากเมื่อวานนี้ กำลังตะลุมบอนอยู่กับแรดทลายค่ายอยู่

แรดทลายค่ายเป็นสัตว์อสูรระดับสูงชนิดหนึ่ง มันดุร้ายมาก ร่างกายของมันสูงใหญ่ มันสามารถแบกน้ำหนักได้ราว ๆ 2,500 จิน และทรงพลังมากพอที่จะเจาะทะลุเนินเขาได้ในการพุ่งชนครั้งเดียว

ในการต่อสู้ครั้งหนึ่งที่หุบเขาแห่งเปลวเพลิง ฝูงขนาดใหญ่ของแรดทลายค่ายได้พุ่งเข้าใส่กองทัพของเผ่ามนุษย์ ใช้ร่างกายที่อันทรงพลังของพวกมันปะทะเข้าใส่ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดของมนุษย์อย่างรุนแรงราวกับคลื่นยักษ์ เจาะแนวป้องกันของทหารเหล็ก 3,000 นายไปได้แบบสบาย ๆ และกลายเป็นฝันร้ายของการต่อสู้ในครั้งนั้น

ตั้งแต่นั้นมาสัตว์อสูรตัวนี้ก็ได้รับการขนานนามว่า แรดทลายค่าย

แรดทลายค่ายที่ขึ้นชื่อในเรื่องของพละกำลังตัวนี้ กลับเป็นราวกับทารกที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย ภายใต้เท้าของชายชรา ไม่ว่ามันจะพยายามมากแค่ไหนมันก็ไม่สามารถลุกขึ้นมาได้

ชายชราเหยียบแรดทลายค่ายเอาไว้ด้วยเท้าข้างหนึ่ง ในขณะที่มือข้างหนึ่งกำลังค่อย ๆ ตัดผ่านผิวหนังที่แข็งแกร่งแรด พลางพึมพำกับตัวเอง “ยันต์ 124 รูปแบบ เหลือเพียงแค่นี้เท่านั้นหรือ ? เหตุใดมันถึงเป็นแบบนี้ ? ต่างออกไปอีกแล้ว”

ชายชรายังคงพึมพำในขณะที่เขาดึงหนังของแรด

ซูเฉินเดินตรงมาทางด้านหน้าของชายชราและประสานมือทักทายเขา “ผู้อาวุโสฉือ”

ชายชราหันกลับไปมองซูเฉินและย่นหน้าของเขา จากนั้นเขาก็มุ่งความสนใจกลับไปที่การผ่าแรดต่อไป “เจ้า เด็กจากเมื่อวาน ? มาทำอะไรที่นี่ ?”

ซูเฉินตอบว่า “ข้าอยากขอให้ท่านมาเป็นอาจารย์ส่วนตัวของข้า”

การเคลื่อนไหวของชายชราชะงักลงไป

“อาจารย์ส่วนตัว ?” เขาจ้องมองไปที่ซูเฉิน “เจ้าต้องการให้ข้าไปเป็นอาจารย์ส่วนตัวของเจ้า ? แน่ใจหรือว่าเจ้าไม่ได้เข้าใจอะไรผิด ?”

“ไม่ได้อย่างแน่นอน !” ซูเฉินตอบอย่างจริงจัง “ข้าต้องการให้ท่านเป็นอาจารย์ส่วนตัวของข้า !”

ชายชราหัวเราะ “เจ้าต้องการให้ข้าไปเป็นอาจารย์ส่วนตัวของเจ้า เพียงเพราะเรื่องที่ข้าดุเจ้าเมื่อวานนี้งั้นหรือ ? ช่างน่าขันนัก นี่เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร ?”

ซูเฉินตอบกลับไปว่า

“แมงป่องพายุลมฉือไคฮวงจากหมู่บ้านจี่แห่งป่าตอนเหนือ ท่านได้เข้าร่วมกองทัพเมื่อตอนอายุ 16 และประจำการอยู่ที่ชายแดนมากว่า 20 ปี เมื่อท่านอายุ 36 ด้วยความโลภและการทุจริตของนายพลทะเลเหนือลู่เชาหลาน ได้ทำให้มีผู้เสียชีวิต 324 คนเกิดขึ้นและท่านเป็นเพียงผู้เดียวที่รอดชีวิต ท่านกลับมาในสภาพโชกเลือดและได้สังหารลู่เชาหลานต่อหน้าทหารนับหมื่น ทำให้ท่านถูกเนรเทศไปยังค่ายพายุมรณะ”

“และในช่วง 12 ปีที่อยู่ในค่ายนั่น มีเจ้าของค่าย 6 คนได้เสียชีวิตจากไป ทหารสับเปลี่ยนหน้าเข้ามาแทนที่ผู้จากไปนับครั้งไม่ถ้วน มีเพียงฉือไคฮวงเท่านั้นที่ยังคงยืนหยัดอยู่ นั่นคือที่มาของแมงป่องพายุลม ต่อมาท่านได้รับความสนใจจากท่านหยางและถูกพาออกไปจากค่าย หลังจากรับใช้อีกฝ่ายมาเป็นถึง 24 ปี ท่านหยางรับการแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการของสถาบันมังกรซ่อนเร้น ฉือไคฮวงได้กลับไปสู่ชีวิตแห่งความสันโดษอีกครั้ง โดยการเข้าสู่สถาบันมังกรซ่อนเร้นและกลายเป็นอาจารย์ส่วนตัว”

ชายชราพูดไม่ออก เขาจ้องมองซูเฉิน “ไม่เลวนี้ เจ้าหนู ทักษะการรวบรวมข้อมูลของเจ้าช่างน่าประทับใจ”

ซูเฉินตอบอย่างเคารพ “ในเมื่อข้าต้องการเป็นศิษย์ส่วนตัวของผู้อาวุโส ข้าจะกล้ามาโดยไม่ทำการบ้านได้อย่างไรกัน ?”

ฉือไคฮวงทำความสะอาดมือของเขาและนั่งลงบนตัวแรดทลายค่าย ก่อนจะมองไปที่ซูเฉินและพูดว่า “เจ้าดูจะเป็นพวกค่อนข้างมั่นใจในตัวเองสินะ ? แต่หากเจ้าไม่มั่นใจขนาดนั้น แล้วเจ้าจะกล้าสาบานอย่างป่าเถื่อนเช่นนั้นได้อย่างไรกัน”

ซูเฉินยิ้มอย่างอ่อนโยน “ไม่ใช่ว่าผู้อาวุโสก็เช่นกันหรอกหรือ ? หลังจากเข้าสู่สถาบันมังกรซ่อนเร้น ท่านก็มุ่งมั่นที่จะทำลายข้อจำกัดทางสายเลือด ถึงได้ค้นคว้าวิจัยมากว่า 50 ปี”

“แล้ว ? เพราะเหตุนั้นเจ้าเลยเชื่อว่าข้าจะรับเจ้าเป็นศิษย์ ?” ฉือไคฮวงหัวเราะอย่างเย็นชา “ช่างน่าขันจริง ๆ !”

ซูเฉินไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าฉือไคฮวงจะมีทัศนคติเช่นนี้ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกใจ “ผู้อาวุโส ท่านไม่ต้องการเช่นนั้นหรือ ?”

อาจารย์ส่วนใหญ่ในสถาบันมังกรซ่อนเร้น มักจะแข่งขันกันเพื่อแย่งชิงเหล่าลูกศิษย์ มีน้อยคนนักที่จะปฏิเสธศิษย์ผู้ที่มาเยือนถึงประตู

ซูเฉินมึนงงไปชั่วครู่ ก่อนที่จะตระหนักได้ว่าอาจารย์ส่วนตัวจะต่อสู้เพื่อศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดเท่านั้นไม่ใช่ผู้ที่พวกเขาคิดว่าไร้ค่า ความประทับใจแรกที่เขามอบให้ฉือไคฮวงไม่ได้นับว่าดีเสียเท่าไหร่ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่คำตอบของอีกฝ่ายจะเป็นเช่นนี้ ซูเฉินยิ้มและพูดว่า “ข้าเป็นหน่ออ่อนระดับ 2 ของสถาบัน และได้อันดับที่ 5 ในการแข่งขันระดับเขตของมณฑลสามเทือกเขา”

“เจ้ารีบกลับไปซะดีกว่า แม้ว่าเจ้าจะเป็นศิษย์ดีเด่นอันดับ 1 ของสถาบันข้าก็ไม่สนใจหรอก” ฉือไคฮวงไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามองอีกฝ่าย

เด็กหนุ่มชะงักไปอีกครั้ง เขาครุ่นคิดสักครู่ก่อนที่จะพูดว่า “ข้าสร้างทักษะต้นกำเนิดไร้สายเลือดที่เทียบได้กับทักษะต้นกำเนิดจากสายเลือด”

“หืม ?” ดูเหมือนเรื่องนี้จะทำให้ฉือไคฮวงสนใจขึ้นมาเล็กน้อย เขาสะบัดมือ “แสดงให้ข้าดูสิ”

ซูเฉินยิงระเบิดเพลิงปักษาที่ได้รับการปรับปรุงแล้วไปยังก้อนหินขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้ ๆ หินที่ระเบิดส่งเศษชิ้นส่วนไปทั่วทุกทิศทาง ดูทรงพลัง

ทว่าฉือไคฮวงกลับแสดงปฏิกิริยาราวกับว่าเขาเพิ่งได้เห็นเรื่องตลก ชายชราตบต้นขาและหัวเราะเสียงดัง “นี่คือสิ่งที่เจ้าบอกว่ามันคือทักษะต้นกำเนิดไร้สายเลือดที่เทียบได้กับทักษะต้นกำเนิดจากสายเลือด ? ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าเกือบจะตายเพราะหัวเราะเสียแล้ว !”

ชายชรากุมท้องหัวเราะตัวสั่น

เด็กหนุ่มประหลาดใจกับท่าทีของอีกฝ่ายยิ่ง “ผู้อาวุโส ท่านหมายความว่าอย่างไร ? ข้าเข้าใจว่าทักษะเช่นนี้ย่อมดูไม่มีค่าในสายตาของท่าน แต่เหตุใดท่านถึงต้องว่ากล่าวให้ข้าอับอายเช่นนี้ด้วย ?”

“เจ้าคิดว่ากำลังจงใจดูถูกเจ้า ?” ฉือไคฮวงหุบยิ้มและมองไปที่ซูเฉินอย่างเย็นชา “ข้ายอมรับว่าทักษะต้นกำเนิดของเจ้านั้นไม่เลว เจ้าคงจะรวมทักษะลูกไฟกับรูปร่างพลังต้นกำเนิดเพลิงเข้าด้วยกัน จากนั้นใช้ทักษะเสริมพลังจากภายนอกเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของมัน คงต้องบอกตามตรงว่ามันช่างเป็นแนวคิดที่น่าสนใจ”

ซูเฉินตกใจมากเมื่อได้ยินสิ่งที่ชายชรากล่าวมา คนผู้นี้สามารถแยกย่อยและเข้าใจถึงจุดหลักของการสร้างระเบิดเพลิงปักษาได้ทั้งหมดในทันที ทั้งที่เขาเพียงแค่เหลือบมองเท่านั้น

ฉือไคฮวงกล่าวต่อ “แต่หากจะกล่าวว่ามันเทียบได้กับทักษะต้นกำเนิดจากสายเลือดด้วยระดับเพียงแค่นี้ มันก็คงจะดูอวดดีเกินไปหน่อยนะ ที่ข้าหัวเราะเยาะนั่นก็เพราะความหยิ่งผยองและความขลาดเขลาในประสบการณ์ของเจ้า”

“แต่ข้าใช้ทักษะต้นกำเนิดนี้ต่อสู้กับทักษะต้นกำเนิดจากสายเลือดของอันดับ 1 ในการแข่งขันระดับเขตได้โดยไม่เสียเปรียบเลยแม้แต่น้อยนะ !” ซูเฉินตอบเสียงดัง

“เพราะอย่างนั้น เจ้าก็เลยคิดว่าทักษะของเจ้าเทียบกับทักษะต้นกำเนิดจากสายเลือดได้ ?”

เด็กหนุ่มตกตะลึงค้าง “ไม่ใช่หรือ ?”

ฉือไคฮวงถอนหายใจ “เจ้าไม่ได้รู้อะไรเลย”

ชายชราพูดและชี้นิ้วไปที่แรดทลายค่ายด้านใต้ของเขา

แรดทลายค่ายดิ้นรนอย่างสิ้นหวังอยู่ข้างใต้ แต่เมื่อนิ้วสัมผัสลงบนร่างกายของมัน ร่างกายที่ใหญ่โตนั้นก็ได้เริ่มแยกออกจากกันอย่างช้า ๆ รอยแตกขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นก่อนที่จะพังทลายลงเป็นเสี่ยง ๆ ทว่ากลับไม่มีร่องรอยของเลือดเลยแม้แต่น้อย ไม่มีเลือดพุ่งออกจากศพ เนื้อและเลือดทุกชิ้นแข็งตัวกันจนกลายเป็นหิน

ซูเฉินเห็นมันแต่ก็ไม่ได้แสดงออกอะไรเป็นพิเศษ เมื่อพิจารณาจากฐานการฝึกฝนของอีกฝ่ายแล้ว ก็ไม่แปลกเลยที่ชายชราจะทำเช่นนี้ได้

อย่างไรก็ตาม ประโยคต่อมาของฉือไคฮวงทำให้เขาต้องสั่นสะท้าน

ชายชรากล่าวว่า “หากข้าบอกกับเจ้าว่า มีผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดด่านก่อเกิดลมปราณสามารถทำเช่นเดียวกับที่ข้าทำเมื่อครู่ได้ เจ้าจะว่าอย่างไร ?”

“อะไรนะ ?” ใบหน้าของเด็กหนุ่มเปลี่ยนไป “นั่นมันเป็นไปไม่ได้ ! เห็นได้ชัดว่ามีเพียงผู้อยู่ด่านทะลวงลมปราณเป็นอย่างน้อยเท่านั้นที่จะสามารถทำได้ !”

ฉือไคฮวงกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าบอกว่าเจ้ายังขาดประสบการณ์ ในโลกนี้ยังมีผู้คนอีกมากมายที่มีความแข็งแกร่งอยู่เหนือจินตนาการของเจ้า ในสายตาของข้า ผู้ถูกเลือกจากสวรรค์เช่นพวกที่เจ้าเคยพบมาจนถึงตอนนี้ ล้วนแต่เป็นเพียงขยะที่ไร้ค่าเท่านั้น”