ภาคที่ 2 บทที่ 13 ตื่นสู่ความเป็นจริง

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 13 ตื่นสู่ความเป็นจริง

เมื่อจู่ ๆ ซูเฉินมาปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูห้องของหวังโต้วซานและชวนให้ไปดื่มด้วยกัน ทำให้เจ้าอ้วนถึงกลับอ้าปากค้างจนขากรรไกรแทบร่วง

“เจ้าไม่ได้ขังตัวเองอยู่ในห้องเพื่อทำการทดลองหรอกหรือ ? เจ้าอยากจะไปดื่ม ? นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นกัน !?” หวังโต้วซานกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อ

“ตกลงว่าเจ้าจะไปหรือไม่ไป” ซูเฉินถามอย่างหงุดหงิด

“ก็ต้องไปสิ ! ข้าจะปล่อยให้เจ้าไปคนเดียวได้อย่างไรกัน ?” หวังโต้วซานตอบพร้อมกับทุบหน้าอกของเขา

สถาบันมังกรซ่อนเร้นไม่อนุญาตให้นำเครื่องดื่มมึนเมาเช่นเหล้าหรือสุราเข้ามาภายใน ทว่าบนถนนที่ด้านนอกทั้ง 2 ข้างทางนั้น ได้มีร้านขายเหล้าที่ตั้งเรียงรายอย่างคึกคักเพื่อตอบสนองความต้องการของเหล่าศิษย์โดยเฉพาะอยู่

ศิษย์ของสถาบันมังกรซ่อนเร้นหลายคนมักจะมายังที่แห่งนี้ในเวลาว่าง ดื่มกินเพื่อความสนุกสนาน ผลาญเงินและระบายพลังงานส่วนเกินในแต่ละวันของพวกเขา

ซูเฉินกับหวังโต้วซานเลือกร้านอย่างไม่ใส่ใจและหาโต๊ะนั่ง

ซูเฉินสั่งสุราเชาเต๋าซือไหใหญ่ มารินใส่จอกจนเต็มแล้วกระดกลงไปรวดเดียว จนดวงตาของเขาเริ่มแดงขึ้น

“นี่ ๆ พี่ชาย ถึงแม้ว่าเจ้าจะกำลังทุกข์ใจ แต่มันก็ไม่จำเป็นที่จะต้องดื่มซะขนาดนั้นหรอกน่า มา ๆ ไหนบอกข้ามาสิเหตุใดเจ้าถึงได้อารมณ์เสียเช่นนี้กันหืม ?” หวังโต้วซานถามพลางตบไหล่ของซูเฉิน

ซูเฉินวางจอกเหล้าลงและตอบเขา “เมื่อตอนข้าอายุ 12 ปี ข้าได้พบกับชายชราผู้หนึ่ง ชายชราผู้นั้นได้ทำให้ข้าตาบอดมาถึง 4 ปี ก่อนที่ข้าจะกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง … ”

ซูเฉินได้เริ่มหยิบยกเหตุการณ์ในอดีตทั้งหมดของเขาขึ้นมาเล่าให้หวังโต้วซานฟังทีละเรื่อง ยกเว้นเพียงแค่ความลับที่ละเอียดอ่อนบางเรื่องที่เขาไม่สามารถพูดออกไปได้

ซูเฉินเล่าถึงการต่อสู้ระหว่างกับตระกูลและญาติพี่น้องของตัวเอง เล่าถึงเรื่องที่เขาได้เอาชนะการแย่งชิงอำนาจในเทือกเขาสีเลือดมาได้ เล่าว่าเขาจัดการกับตระกูลหลินอย่างไร และเล่าว่าเขาผ่านการแข่งขันระหว่างมณฑลสามเทือกเขาเขามาได้อย่างไร …

เขาค่อย ๆ เล่าเรื่องมากมายไปอย่างช้า ๆ และละเอียดยิ่ง

หวังโต้วซานตั้งใจฟัง

ความเข้าใจระหว่างเพื่อนมักจะเกิดจากสถานการณ์เช่นนี้ สถานการณ์ที่ซึ่งความขุ่นเคือง ความเสียใจ ความผิดหวัง ความคับแค้น ทำให้ ‘ความรู้สึกจากก้นบึ้งของหัวใจ’ ไหลทะลักออกมาภายใต้อิทธิพลของความมึนเมาจากเหล้าไม่กี่จอก หรือในทางกลับกันเมื่อมีใครสักคนเปิดใจบอกเล่าเรื่องราวของเขากับคุณ นั่นหมายความว่าพวกเขาถือว่าคุณเป็นเพื่อนที่ดีของพวกเขา

แม้ว่าหวังโต้วซานจะอ้วน แต่เขาก็ไม่ได้โง่ ซูเฉินรู้ถึงข้อเท็จจริงนี้เป็นอย่างดี

หวังโต้วซานฟังอย่างตั้งใจ และในบางครั้งก็พูดแทรกขึ้นนิดหน่อยในจังหวะที่เหมาะสม

“ข้าได้เอาชนะลุงสอง ป้าสี่ หลินเย่เม่า และผู้แข่งขันอีกนับไม่ถ้วนในระหว่างการสอบของมณฑลสามเทือกเขา ข้ายังได้สร้างระเบิดเพลิงปักษา ซึ่งเป็นทักษะต้นกำเนิดที่เทียบกับทักษะต้นกำเนิดจากสายเลือดได้ ข้ารู้สึกว่าตัวเองช่างน่าทึ่ง ข้าคิดว่าข้าเป็นคนพิเศษ ข้าไม่กลัวใคร แม้ว่าตอนนี้พวกมันจะทรงพลังมากกว่าข้า แต่ข้าเชื่อว่ามันก็เพียงชั่วคราวเท่านั้น ช้าเชื่อว่าข้าสามารถเอาชนะพวกมันได้ ไม่ว่าพวกมันจะเป็นตระกูลสายเลือดชั้นสูงหรืออย่างอื่นก็ตาม !”

ซูเฉินพูดอย่างจริงจังด้วยน้ำเสียงโทนต่ำและแววตาที่ดูลึกล้ำ

เขาเคยมั่นใจในตัวเองมาก รูปลักษณ์ภายนอกที่อ่อนโยนและเจียมเนื้อเจียมตัวของซูเฉิน กลับปกปิดหัวใจที่ดูถูกคนทั้งโลกเอาไว้

เขามั่นใจว่าสามารถแก้ไขปัญหาที่ต้องเผชิญทั้งหมดด้วยตัวเองได้ มั่นใจว่าสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้

จะกระทั่งวันนี้

หวังโต้วซานเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่าง เขาพูดว่า “เจ้าไปเจอคู่ต่อสู้ที่ไม่มีทางเอาชนะได้มางั้นหรือ ?”

“หากจะบอกว่าเขาทำให้ข้าได้ตระหนักถึงความโง่เขลาและความหยิ่งยโสของตัวเองคงจะถูกต้องกว่า” ซูเฉินส่ายหัวและหัวเราะอย่างขมขื่น “เขาช่วยทำให้ข้าได้ตาสว่างว่า เหตุผลเดียวที่ข้าสามารถชนะมาได้ ไม่ใช่เพราะข้าแข็งแกร่ง แต่เป็นเพราะคู่ต่อสู้ของข้าอ่อนแอเกินไป”

“แค่ก ๆ ” หวังโต้วซานกระแอมไออย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ซูเฉินก็ยังคงเป็นเพื่อนของเขา และยังเป็นผู้ฝึกฝนที่แข็งแกร่งคนหนึ่ง

หากว่าซูเฉินนั้นเย่อหยิ่งและโง่เขลา แล้วเขาจะนับเป็นอะไร ?

“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?”

จากนั้นซูเฉินก็พูดถึงเรื่องที่เขาพยายามไปขอเป็นศิษย์ของฉือไคฮวง

“ฉือไคฮวง ? เจ้าต้องการให้เขาเป็นอาจารย์ส่วนตัวของเจ้างั้นหรือ ?” ดวงตาของหวังโต้วซานแทบจะถลนออกมา

“เจ้ารู้จักเขา ?”

“แน่นอน ! ชายชราคนนั้นเป็นคนที่ดื้อรั้นที่สุดในสถาบันมังกรซ่อนเร้นแล้ว เขาอยู่ที่นี่มากว่า 50 ปีแล้ว แต่ก็ยังไม่เคยรับศิษย์เลยแม้แต่คนเดียว หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากผู้อำนวยการของสถาบันเขาก็จะถูกขับไล่ไปนานแล้ว ไม่ใช่ว่ามันเรื่องปกติที่เจ้าถูกเขาปฏิเสธหรอกหรือ ?” หวังโต้วซานหัวเราะ

“เขาดื้อขนาดนั้นเลยเหรอ ?” ซูเฉินตกใจ

ข้อมูลที่ซูเฉินรวบรวมมานั้นไม่ได้สมบูรณ์ เขาไม่รู้ว่าฉือไคฮวงเป็นคนเช่นนี้ ไม่น่าแปลกใจเลยที่อีกฝ่ายจะไม่สนใจและดูถูกดูแคลนเขา

ซูเฉินได้รับรู้จากหวังโต้วซานว่า ฉือไคฮวงนับเป็นอัจฉริยะคนหนึ่งของสถาบันมังกรซ่อนเร้น เขาไม่เคยรับลูกศิษย์หรือเข้าสอนในชั้นเรียนเลยมากว่า 50 ปี และใช้เวลาทั้งหมดทำวิจัยอยู่คนเดียวในที่ของเขา

หากนับตามกฎปกติของสถาบันมังกรซ่อนเร้น อาจารย์ส่วนตัวที่ขาดความรับผิดชอบอย่างเขาคงจะถูกไล่ออกจากสถาบันไปนานแล้ว แต่ด้วยการสนับสนุนจากผู้อำนวยการของสถาบัน ฉือไคฮวงจึงสามารถเพิกเฉยต่อข้อร้องเรียนจากเหล่าลูกศิษย์ และยุ่งอยู่แต่กับธุระของตัวเองได้ตลอด 50 ปีที่ผ่านมา

“ตอนนี้เจ้ารู้สึกดีขึ้นหรือยัง ?” หวังโต้วซานยิ้ม

ซูเฉินครุ่นคิดครู่หนึ่งจากนั้นก็ยิ้มและส่ายหัว “ถึงกระนั้นสิ่งที่เขาต่อว่าข้าก็ยังถูกต้อง ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเส้นทางที่ข้าเดินผ่านมามันราบรื่นเกินไปจริง ๆ เหตุผลที่ข้าสามารถถือครองอำนาจในตระกูลของข้าได้ ก็เพราะสายเลือดเดียวกันและไม่มีใครเต็มใจที่จะลงมืออย่างเด็ดขาด เหตุผลที่ข้าเอาชนะคู่ต่อสู้มาได้ ก็เพียงเพราะเราอยู่ใกล้กับชายแดนทางเหนือที่ มันคงจะยากเกินไปที่จะหามังกรในหมู่มนุษย์ห่างไกลเช่นเมืองหลินเป่ยแบบนี้ ข้าก็แค่คนหลงตัวเองเหมือนเด็กน้อย แต่ถ้าหากข้ายังคงมีทัศนคติเช่นนี้ ไม่ช้าก็เร็วข้าจะต้องทนทุกข์ทรมานเพราะมัน ดังนั้นไม่ว่าเขาจะเป็นคนอย่างไหน เขาก็พูดถูก”

“แล้วไง ?” หวังโต้วซานกล่าวอย่างไม่พอใจเล็กน้อย “เขาก็ยังคงเป็นอาจารย์ส่วนตัว อาจารย์ส่วนตัวควรเป็นคนเช่นไร ? ถ้าเขาไม่มีความสามารถที่จะต่อว่าเจ้า แล้วเขาจะมีสิทธิ์อะไรมาสั่งเจ้ากัน ?”

ดวงตาของซูเฉินเปล่งประกายขึ้น เขาตบโต๊ะแล้วพูดว่า “เจ้าพูดถูก ! เนื่องจากผู้อาวุโสฉือสามารถปัดเป่าความหลงผิดที่ข้ามีต่อตัวเองได้ นั้นย่อมหมายความว่าเขามีความสามารถในการสอนคนเช่นข้าได้อย่างแน่นอน การที่เขาสามารถสั่งสอนข้าให้ตระหนักได้ถึง 2 ครั้งติด นั่นหมายความว่าเขาเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดที่จะเป็นอาจารย์ส่วนตัวของข้า !”

หวังโต้วซานตกใจ “นี่เจ้ายังไม่ยอมแพ้อีกเหรอ ? เขาไม่เคยยอมรับใครเป็นศิษย์เลยน่ะ”

“แล้วไง ?” ซูเฉินหัวเราะ “ข้าคือคนที่ใฝ่ฝันจะต่อสู้เพื่อก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำของเผ่าพันธุ์มนุษย์ และทำลายข้อจำกัดทางสายเลือด กับแค่ชายชราที่ดื้อรั้นเพียงคนเดียว ข้ายังไม่สามารถทำให้อีกฝ่ายยอมยกเว้นข้าได้ล่ะก็ แล้วข้าจะทำความฝันอันเก่าแก่ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้สำเร็จได้อย่างไร ? บางที … ”

ซูเฉินดึงคำพูดของเขา “บางทีนั่นอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมผู้อาวุโสฉือถึงไม่รับลูกศิษย์ ? ไม่ใช่ว่าไม่ต้องการรับลูกศิษย์ แต่เขาต้องการหาศิษย์ที่ไม่กลัวต่อความยากลำบากและกล้าเผชิญกับแรงกดดัน น่าเสียดายที่ไม่เคยมีใครทำเช่นนั้นได้มาก่อน”

“ผู้อาวุโสฉืออยู่ในสถาบันมังกรซ่อนเร้นมานานนับ 50 ปี ไม่มีทางที่จะไม่เคยมีคนพยายามสร้างความประทับใจ แต่ทั้งหมดนั้นล้มเหลว”

“ความฝันของเผ่าพันธุ์มนุษย์นี้ มีคนรุ่นหลังก่อนหน้าข้านับไม่ถ้วน ที่พยายามต่อสู้และมอบชีวิตของพวกเขาเพื่อไล่ตามมัน ผู้อาวุโสฉือเปรียบเสมือนป้อมปราการที่ยังไม่มีใครพิชิตได้มากว่า 50 ปี มันคุ้มค่าที่จะลอง” ซูเฉินสรุป

ในที่สุดซูเฉินก็หายจากอาการสูญเสียความภาคภูมิใจในตนเอง และกลับไปซูเฉินคนเดิมที่ไม่เคยท้อถอย เต็มไปด้วยความมั่นใจในตนเองและจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้แล้ว

ในทันใดนั้นในสายตาของซูเฉิน ฉือไคฮวงก็ได้กลายเป็นอุปสรรคที่ยากลำบากที่เขาต้องการท้าทายไปเรียบร้อย

หวังโต้วซานรู้สึกทึ่งกับจิตวิญญาณที่ไม่ย่อท้อของเพื่อนเขาจนพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ท้ายที่สุดเขาก็ทำได้เพียงยกนิ้วให้ “เจ้าทำให้ข้าเชื่อมั่นในตัวเจ้าอย่างสุดใจเลย !”

“ในเมื่อเจ้ามั่นใจในตัวข้าแล้ว งั้นเราก็ไปกันเถอะ” ซูเฉินหยิบเงินออกมาจ่ายค่าเครื่องดื่มของพวกเขา

หวังโต้วซานผงะ “ไป ? ไปไหน ? เราเพิ่งจะเริ่มดื่มกันเองนะ ?”

“ข้าเกรงว่าคืนนี้เราคงจะได้ดื่มกันต่อไม่ได้แล้ว” ซูเฉินถอนหายใจ “นับตั้งแต่เราออกจากสถาบันมา ก็มีคนแอบติดตามเรามาตลอด ข้าเดาว่าคนที่พยายามจะสร้างปัญหาผู้นั้นคงจะตามมาในอีกไม่ช้า หากเราไม่รีบไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ หลังจากนี้ก็คงจะไม่มีโอกาสได้ออกไปแล้ว”

* 烧刀子 shao dao zi – เซาเตาจือ – knife-burning สุราชนิดหนึ่งของจีน