ตอนที่ 156 หยุนชิ่วเอ๋อ

ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน

ตอนที่ 156 หยุนชิ่วเอ๋อ

แม่นางเฉินเป็นผู้ไม่มีมโนธรรม เมื่อเห็นหยุนลี่เซียวแสดงความอกตัญญูด้วยการยึดเงินสองตําลึงไปเป็นของตนเอง นางไม่เพียงไม่ห้ามปรามแต่ยังอยากจะติดตามไป

ทว่าหยุนลี่เซียวคิดถึงการไปหอส้วยเซียงในเมืองเพื่อหาความสำราญใส่ตนด้วยการฟังเพลงจากหญิงสาว แล้วเขาจะยินดีพาภรรยาไปด้วยงั้นหรือ?

แม่นางเฉินที่รู้สึกว่าตนเองถูกปฏิบัติด้วยความไม่เป็นธรรมจึงพร่ำบ่นไม่หยุดถึงเรื่องที่ไม่ได้ทำอันใด แต่ครั้นเข้าประตูมากลับกลายว่าตนกลายเป็นแพะรับบาป โดยการถูกแม่เฒ่าจูโกรธเคืองและโดนหยุนชิ่วเอ๋อทุบตี

เวลานี้แม่นางเฉินจึงทำได้เพียงร้องไห้ร้องห่มด้วยความเสียใจอยู่ในลานบ้าน

ซึ่งทำให้แม่นางเหลียนที่มีนิสัยใจอ่อนเห็นแล้วรู้สึกสงสารจับใจ และอยากจะออกไปช่วยพูดสักสองสามคํา ทว่าเมื่อหยุนเชวี่ยเตือนจึงตกใจและเผยความลังเลออก

เนื่องจากก่อนหน้านี้หยุนลี่เซียวร้องตะโกนว่า จะให้หยุนลี่เต๋อจ่ายเงินเพิ่มอีกสามตําลึง ดังนั้นหากนางออกไปห้ามปรามแล้วกลับกลายเป็นการหาเรื่องมาใส่ตัวเอง ถึงตอนนั้นนางจะทําอย่างไร เพราะที่บ้านไม่มีเงินเหลือเก็บ และแม้แต่เงินสำหรับสร้างบ้านก็ยังไม่มี!

แม่นางเหลียนยังคงยืนอยู่หน้าประตูอย่างลําบากใจครู่ใหญ่ นางทำได้เพียงมองแม่นางเฉินอย่างเห็นอกเห็นใจก่อนจะหมุนตัวกลับเข้าห้องและปิดประตูพลางทอดถอนหายใจ “สะใภ้สามผู้นี้ช่างน่าสงสาร เป็นเพราะเจ้าสามทำเรื่องชั่วช้าไว้ ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่ควรกล่าวโทษนาง เฮ้อ!”

หยุนเชวี่ยกลอกตาก่อนจะกล่าวว่า “นางน่าสงสารตรงไหนกัน อาสะใภ้สามสั่งให้ท่านแม่ตักน้ำ ซักผ้า อีกทั้งทำงานสารพัด เหตุใดตอนนั้นนางจึงมิสงสารท่านบ้าง แต่กลับกินดื่มอย่างหน้าไม่อาย เวลามีความสุขไม่เห็นจะสนใจผู้อื่นดังนั้นสมควรแล้วที่คนน่าสะอิดสะเอียนอย่างนางจะได้รับผลกรรมเช่นนี้ ท่านจะเห็นใจนางไปเพื่ออันใดกัน?”

“ฮึฮึ” หยุนเยี่ยนหัวเราะเยาะ

แม้คําพูดเหล่านี้จะกล่าวถึง ‘ความเลวร้าย’ ของนางแต่ทุกประโยคล้วนเป็นความจริง และเมื่อยิ่งนึกถึงเรื่องราวในอดีตยิ่งไม่อยากให้อภัย!

“ไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็นอาสะใภ้สามของเจ้า เจ้าพูดเช่นนี้ไม่ได้” แม่นางเหลียนขมวดคิ้วพร้อมกลอกตาใส่หยุนเชวี่ย “หากมองในทางกลับกัน อาสะใภ้สามผู้นี้ใช้ชีวิตอย่างคับข้องใจยิ่งนัก”

หยุนเชวี่ยนอนอยู่บนเตียงขนาดเล็กพลางใช้แขนหนุนหัวของตนเองขณะไขว้ขา หยุนเชวี่ยแลบลิ้นและมองไปยังหลังคาบ้านอย่างจนปัญญา “ท่านแม่ ท่านเคยรู้สึกหดหู่เช่นนี้มาก่อนหรือไม่?”

แม่นางเหลียนนั่งลงข้างเตียงพลางก้มหน้าหาเข็มในตะกร้า “แม่ยังต้องอัดอั้นตันใจเรื่องใดอีก อย่างไรเสียท่านพ่อของเจ้ากับข้าย่อมมีใจเดียวกัน แต่อาสะใภ้สามของเจ้าคงจะรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ เพราะเมื่อกลับมาที่บ้าน แม้แต่คำพูดปลอบโยนจากใครสักคนยังไม่มี แล้วเหตุใดถึงไม่น่าสงสารเล่า?”

“ท่านแม่ ท่านใจอ่อนเกินไป” หยุนเชวี่ยแกว่งขาไปมา “ความดีนี้ต้องใช้กับคนที่มีจิตสำนึก หากเจอคนที่ไม่มีมโนธรรม สิ่งที่ได้ตอบกลับมาย่อมมีแต่ความเจ็บปวด”

“อาสะใภ้สามของเจ้าคงไม่รู้ว่าจะหันหน้าไปพึ่งใคร เมื่อนางถูกตีจึงร้องเรียกให้ข้าช่วย แต่เหตุใดจึงไม่เรียกท่านลุงใหญ่กับท่านป้าใหญ่?”

“นั้นเป็นเพราะนางรู้ว่าการเรียกท่านลุงใหญ่กับท่านป้าใหญ่ย่อมไม่มีประโยชน์ ส่วนผู้ที่จะสนใจนางคือท่านที่ใจอ่อน เห็นได้ชัดว่าอาสะใภ้สามไม่ได้โง่!” หยุนเชวี่ยส่ายหน้าพลางคิดในใจว่ามารดาของตนเองนั้นช่างไร้เดียงสายิ่งนัก เหตุใดถึงรู้ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของผู้คนบ้าง

หยุนเชวี่ยทำให้แม่นางเหลียนพูดไม่ออกไปครู่ใหญ่ สุดท้ายจึงถอนหายใจอย่างแผ่วเบา “ผู้หญิงคนนี้ ทั้งชีวิตไม่ได้หวังเงินทองหรือชีวิตที่สุขสบาย แต่สิ่งที่นางต้องการคือหวังว่าจะได้แต่งงานกับคนที่เข้าอกเข้าใจ…”

หยุนเชวี่ย…

จิตใจของคนผู้นี้ช่างคดเคี้ยวเสียยิ่งนัก!

ด้านแม่นางเหลียนยังคงทอดถอนใจ อยู่ ๆ พลันได้ยินเสียงร้องดังขึ้นในเรือน เนื่องจากแม่นางเฉินรับไม่ไหวที่ถูกทุบตีอย่างหนักทำให้รีบแย่งเปิดประตูแล้ววิ่งหนีออกไป

แม่เฒ่าจูส่ายเอวพร้อมด่าเสียงดัง “ไสหัวไป! นอกจากขี้เกียจแล้วยังเอาแต่กิน! ไปตายข้างนอกแล้วอย่ากลับมาให้ข้าเห็นหน้าอีก อยู่ต่อไปก็คงไม่มีอันใดดีขึ้นมา!”

หยุนชิ่วเอ๋อไล่ตามแม่นางเฉินไปสองสามก้าว และเมื่อเห็นว่าไม่สามารถไล่ตามอีกฝ่ายได้ทัน หยุนชิ่วเอ๋อจึงก้มลงหยิบท่อนไม้ที่ร่วงหล่นอยู่บนพื้นขึ้นมาขว้างมันออกไป

“เพี๊ยะ…”

หลังของแม่นางเฉินถูกตีอย่างแรงอีกครั้ง ภายใต้แสงจันทร์ในยามราตรีแผ่นหลังอันกว้างและหนานั้นพลันหายวับไปในพริบตา

“เฮ้อ!” หยุนชิ่วเอ๋อพูดอย่างเหนื่อยหอบ “เก่งนักก็จงอย่ากลับมา หากกลับมาเมื่อใดข้าจะให้พี่สามเลิกกับเจ้า!”

แม่เฒ่าจูก่นด่าอยู่นานแต่กลับไม่รู้สึกเหนื่อยแม้แต่น้อย ครั้นทุกอย่างเริ่มสงบแม่เฒ่าจูจึงทิ้งตัวนั่งลงบนม้านั่งยาวใต้ชายคาพลางตบหน้าอกแล้วยังเงยหน้าด่าทออย่างไม่หยุดหย่อน

เวลานั้นหยุนเชวี่ยลุกขึ้นมองออกไปนอกหน้าต่างที่ถูกเปิดออก ทำให้บังเอิญเห็นเงาดําเงาหนึ่งยืนอยู่ตรงมุมหนึ่งของลานบ้าน และเมื่อเพ่งมองอีกครั้งจึงพบว่าเขาคือเอ้อหลางหรือหยุนเหริน

บริเวณมุมมืดนั้นไม่สามารถมองเห็นสีหน้าของเขาได้อย่างชัดเจน ทว่าสัญชาตญาณบางอย่างบอกว่าเด็กชายมีท่าทีโกรธมาก ร่างกายของเอ้อหลางเกร็งไปทั้งร่างจนสั่นสะท้าน

“ท่านแม่…” หยุนเชวี่ยส่งเสียงเรียกอย่างแผ่วเบา

“เกิดอันใดขึ้น?”

หยุนเชวี่ยก้มหน้าพลางกะพริบตาปริบ ๆ เมื่อพบว่าเอ้อหลางหายตัวไปแล้ว

ห้องโถงใหญ่

หยุนลี่เต๋อพาผู้เฒ่าหยุนเดินกลับไปที่ห้องและคอยปรนนิบัติชายชราอย่างดีด้วยการลากรองเท้าผ้าออกก่อนจะช่วยพยุงร่างของบิดาให้เอนหลังพิงหัวเตียง

“ท่านพ่อ ท่านพักผ่อนเสียเถิด สองวันนี้ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องงาน ข้าจะช่วยดูแลให้เอง” หยุนลี่เต๋อปลอบใจ

ผู้เฒ่าหยุนหลั่งน้ำตาไหลออกมาด้วยความขมขื่น

อันที่จริงผู้เฒ่าหยุนอยากจะบอกหยุนลี่เต๋อเสียเหลือเกินว่าสถานที่แห่งคงอยู่ได้อีกไม่กี่วัน เพราะกําลังจะกลายเป็นของผู้อื่น ทว่าเมื่อเห็นใบหน้าดําคล้ำและซื่อตรงนั้นแล้ว หัวใจของผู้เฒ่าหยุนพลันเต้นระรัว ลําคอแห้งเหือดและพูดอันใดไม่ออกสักคํา

“ท่านพ่อ พักผ่อนเถิด ข้าจะกลับแล้ว” หยุนลี่เต๋อก้มตัวลงดึงผ้าห่มผืนบางมาคลุมร่างผู้เฒ่าหยุน

“เจ้ารอง…” ริมฝีปากสีม่วงคล้ำของผู้เฒ่าหยุนร้องเรียกขณะขยับมืออันแห้งเหี่ยวขึ้นด้วยความลังเลใจราวกับต้องการกล่าวบางอย่าง

“ท่านพ่อ” หยุนลี่เต๋อที่เดินออกมาสองก้าวหันกลับมามองอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงเรียก เมื่อเห็นว่าสีหน้าของอีกฝ่ายเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันจึงรีบเอ่ยถามว่า “นี่มันเรื่องอันใดกัน? มีเรื่องร้ายเกิดขึ้นงั้นรึ?”

ดวงตาขุ่นมัวของผู้เฒ่าหยุนมองบุตรชายภายใต้ตะเกียงน้ำมันสลัวด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วน

“ท่านพ่อ? ท่านพ่อ?”

“อ้อ มิมีอันใดหรอก สองวันนี้คงต้องให้เจ้าช่วยดูแลเรื่องงาน” ผู้เฒ่าหยุนโบกมือที่ลอยอยู่กลางอากาศอย่างอ่อนแรง “กลับไปเถิด กลับไปพักผ่อนเถิด”

“ขอรับ! นั่นคือสิ่งที่ลูกควรทํา!” หยุนลี่เต๋อพยักหน้าด้วยความจริงใจ เมื่อเห็นผู้เฒ่าหยุนปิดเปลือกตาลง หยุนลี่เต๋อจึงปิดประตูและจากไป

ทว่าทันทีที่ก้าวออกจากประตู หยุนชิ่วเอ๋อรีบร้องตะโกนเรียกว่า “พี่รอง หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”

“อย่าส่งเสียงดัง ท่านพ่อพักผ่อนแล้ว” หยุนลี่เต๋อมองขึ้นไปที่ห้อง

“โอ้พี่รอง เดี๋ยวนี้ท่านกล้าที่จะสั่งสอนข้าเชียวรึ?” หยุนชิ่วเอ๋อเท้าเอวถลึงตาใส่อีกฝ่ายพลางเอ่ยถามเสียงแหลมว่า “ข้าอยากถามท่านว่า สิ่งที่พี่สามพูดเป็นเรื่องจริงหรือไม่?”

“เรื่องอันใดนะ?” หยุนลี่เต๋อทําหน้างง

“อย่ามาทําเป็นไขสือกับข้าเลย พี่สามบอกว่าหมูสามตัวนั่นควรจะขายได้ห้าตําลึง แต่ท่านกลับขายได้แค่สองตําลึงเท่านั้น!”

หยุนลี่เต๋อพูดด้วยความจริงใจอย่างไม่อ้อมค้อม “นั่นเป็นสิ่งที่ตกลงกันไว้แล้ว จะเปลี่ยนแปลงได้อย่างไรกัน”

หยุนชิ่วเอ๋อยังไม่ยอมแพ้และพูดพล่ามต่อไปว่า “เช่นนั้นท่านคงยอมรับแล้วสินะว่ามันเป็นเรื่องจริง!”

“เป็นเรื่องจริงแล้วมีปัญหาอันใดรึ!” เมื่อหยุนลี่เต๋อได้ยินคําพูดนี้เขาย่อมรู้สึกร้อนใจจึงร้องตะโกนขึ้น

“ท่านตะโกนเพื่ออันใด!” หยุนชิ่วเอ๋อไม่พอใจทันทีจึงตวาดกลับราวกับต้องการข่มขู่อีกฝ่าย “การที่พี่สามหนีไปได้ มิใช่เพราะท่านหยุดเขามิได้หรอกรึ!”

“…”

“อีกอย่าง ท่านพ่อบอกให้ท่านไปส่งหมู แล้วเงินมันไปอยู่ในมือเขาได้อย่างไร? ตอนนี้พี่สามหนีไปพร้อมกับเงินแล้ว ดังนั้นท่านต้องรับผิดชอบ!”

“เขารีบเข้าไปรับเงินก่อนข้า” หยุนหลี่เต๋ออธิบาย

“แล้วผู้ใดปล่อยให้เขารับมันไป? มิใช่ท่านหรอกรึ? ท่านจะชดใช้เป็นเงินห้าตําลึงหรือจะชดใช้เป็นหมูสามตัว!” หยุนชิ่วเอ๋อพูดอย่างตรงไปตรงมาขณะใช้ข้อศอกสะกิดแม่เฒ่าจูที่ยืนอยู่ด้านข้าง