“รู้จักสิ เดิมทีนางเป็นเจ้าเมืองอยู่นอกเมืองหลวง เป็นบุคคลที่ใคร ๆต่างก็รู้จักกันกันเป็นอย่างดี ต่อมาได้ถูกเรียกตัวเข้าวัง และรู้จักกับท่านอ๋องกั่วจวิ้น ก่อนจะกลายเป็นพระชายาของท่านอ๋องกั่วจวิ้นไปในที่สุด

“กล่าวเช่นนี้ ก็แสดงว่าท่านอ๋องกั่วจวิ้นชมชอบนาง จึงขอนางแต่งงานหรือ?”

ฉีเฟยอวิ๋นพอจะเข้าใจ ท่านอ๋องกั่วจวิ้นไม่ใช่คนดีอะไร อย่างน้อยก็ไม่ใช่ผู้ชายที่ดีนัก หากดูจากโฉมหน้าของพระชายากั่วจวิ้น พระชายากั่วจวิ้นมีโฉมหน้าที่ไม่ธรรมดา เมื่อครั้งวัยเยาว์ต้องงดงามอย่างไร้ที่ติเป็นแน่ คนเฉกเช่นท่านอ๋องกั่วจวิ้น จะปล่อยไปได้อย่างไร

“ได้ยินมาว่าเป็นเช่นนี้ ข้าในตอนนั้นยังวัยเยาว์มาก ไม่ค่อยรู้เรื่องนัก แต่บัดนั้นจวบจนถึงบัดนี้ฝ่าบาททรงขึ้นครองราชย์แล้ว คงเห็นสมควรพระราชทานให้เขาอภิเษกสมรส”

“ปกติแล้วท่านอ๋องกั่วจวิ้นเป็นคนเช่นไรรึ?” ฉีเฟยอวิ๋นเอ่ยถาม

หนานกงเย่ไม่ตอบ แต่กลับเป็นทังเหอ ที่เอ่ยขึ้นเบา ๆ ว่า : “ท่านอ๋องกั่วจวิ้นเป็นคนที่มีชื่อเสียงไม่สู้ดีนัก ชอบหยอกล้อยั่วเย้ากับสาว ๆ ไม่เพียงแค่นี้ เขายังชอบผู้ชายด้วยกันอีกด้วย ข่าวลือบอกว่าเขาเคยมีรักร่วมเพศมาก่อน”

“กล่าวเช่นนี้ เขาดูไม่ดีเลยจริง ๆ ภรรยาสามสนมสี่ เจ็ดคนยังพอทนได้ เขาเล่นถึงสิบสองคนก็ไม่น่าเอ่ยถึงแล้ว นี่เขายังพ่วงผู้ชายเข้ามาเกี่ยวข้อง ได้กำไรเต็ม ๆ!”

ทังเหอหมดคำพูด พระชายากล่าวอะไร!

หนานกงเย่กลับยกยิ้ม : “ช่างพล่ามนัก!”

ฉีเฟยอวิ๋นเดินตามเข้ามาในลานกว้างแห่งหนึ่ง หลังจากเข้าไปแล้วหนานกงเย่ก็ชี้ไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง : “ที่นั่นเป็นสถานที่ที่เกิดเรื่อง คดีความไร้ซึ่งเบาะแส ยังไม่ได้เก็บกวาดสถานที่ มาช่วยข้าไม่ใช่รึ งั้นก็ไปเถอะ ข้าจะคอยดู”

ฉีเฟยอวิ๋นไม่ลังเล นางมาที่นี่ก็เพื่อมาช่วย

จากสถานที่ที่หนานกงเย่ชี้บอก ฉีเฟยอวิ๋นได้เดินเข้าไปดู

มีรอยคราบเลือดหนึ่งในสถานที่แห่งนั้น เพราะเวลาล่วงเลยมาเนิ่นนานมันจึงฝั่งแน่นอยู่บนพื้นดิน ต่อให้ทำความสะอาด ก็คงจะไม่ออก

ฉีเฟยอวิ๋นคุกเข่าลงและมองไปยังคราบเลือดบนพื้นอย่างละเอียด จากนั้นก็หยิบถุงมือสีขาวออกมาจากตัว พร้อมกับกระดาษสีขาวบางอย่าง ใช้มีดขนาดเล็กขูดคราบเลือดบนพื้นมาเช็ดบนกระดาษ จากนั้นก็ห่อหุ้มไว้และวางลงด้านข้าง ก่อนจะทำการตรวจสอบต่อ

หนานกงเย่ไขว้มือไว้ด้านหลัง ทังเหอไม่เข้าใจ เดินมาข้างกายของหนานกงเย่และเอ่ยถาม : “ท่านอ๋อง พระชายากำลังทำอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

หนานกงเย่หมดความอดทน : “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรเล่า?”

ทังเหอเองก็ไม่เข้าใจ : “ปกติแล้วเจ้าหน้าที่ชันสูตรจะตรวจสอบร่างกาย พระชายากลับตรวจสอบบนพื้นเช่นนั้นรึ?”

“พูดไม่ได้ก็ไม่ต้องพูด จะได้ไม่ถูกโยนออกไปเหมือนสุนัข” หนานกงเย่ไม่พอใจนัก ผู้หญิงคนนี้แปลกก็จริง แปลกตั้งแต่อภิเษกสมรสเข้ามา แต่คนก็ยังเชื่อใจ

ความสงสัยของทังเหอ เขาไม่พอใจนัก!

“…” ทังเหอรีบหุบปากทันที เขาไม่กล้าพูดจามั่วซั่วอีก

ฉีเฟยอวิ๋นตรวจสองคร่าว ๆ เสร็จก็ลุกขึ้น จากนั้นก็เดินสำรวจโดยรอบอีกเล็กน้อย ลานกว้างแห่งนี้ไม่ได้ใหญ่มาก แต่ในลานกว้างมีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง อีกด้านของลานกว้างแห่งนี้คือเรือนสี่ประสาน มีห้องทั่วทั้งสี่ทิศ และมีโครงสร้างที่สมบูรณ์แบบอีกด้วย

ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปยังเรือนตรงหน้า จากนั้นก็ผลักประตูและชะโงกหน้าเข้าไปด้านใน ครั้นฉีเฟยอวิ๋นเห็นวัตถุโบราณที่พบเห็นได้ยากบางอย่างในห้อง จึงอดเดินเข้าไปไม่ได้

เตียงถูกจัดไว้ตรงกลางห้องห้อง มีกล่องบางอย่างอยู่ภายในห้อง พื้นห้องสะอาดเอี่ยมอ่อง แต่บนกำแพงเต็มไปด้วยอุปกรณ์ทรมานหลากหลายรูปแบบ

ตรงหน้าของฉีเฟยอวิ๋น จู่ ๆ ก็มีภาพหนึ่งแวบขึ้นมาฉับพลัน ที่แห่งนี้ เป็นสถานที่ทรมานคน เคยมีผู้หญิงนับไม่ถ้วนตาย ณ ที่แห่งนี้ มีเสียงร้องไห้คร่ำครวญอยู่ทั่วทุกมุมห้อง

ฉีเฟยอวิ๋นนวดขมับเล็กน้อย จะต้องมีการสืบค้นหลายครั้งแล้วเป็นแน่ แต่จะเป็นได้อย่างไร?

ฉีเฟยอวิ๋นหยุดชะงักชั่วครู่ และเดินออกมาจากห้อง จากนั้นก็ทำการสำรวจในส่วนอื่น พบว่าห้องในลานกว้างแห่งนี้ล้วนเป็นเช่นนี้ โครงสร้างภายในไม่เพียงแต่จะเหมือนกัน การจัดวางก็ยังคล้ายกันมากด้วย

ฉีเฟยอวิ๋นเดินออกมาจากห้องและตรงมาหาหนานกงเย่ เฟยอวิ๋นจึงได้เอ่ยขึ้นต่อหน้าว่า : “ดูท่าท่านอ๋องกั่วจวิ้นจะเป็นพวกคลั่งไคล้มาก เขาทำร้ายคนในนี้ไปไม่น้อย คืนนั้นเขาตายที่นี่ เป็นไปได้ว่าอาจจะถูกคนที่มีความอาฆาตต่อเขาฆ่าตาย”

“ข้าได้รับของล้ำค่าโดยแท้จริง ชายามีความสามารถในการวิเคราะห์คดีความอีกด้วย” หนานกงเย่กล่าวหยอกล้อ

จากนั้นก็มองไปยังสถานที่ที่มีคนเคยตาย พลางกล่าวว่า : “ทังเหอ เล่าเรื่องราวให้พระชายาฟังหน่อยสิ”

“พ่ะย่ะค่ะ”

ทังเหอจึงกล่าวออกไป : “พระชายา เมื่อสองเดือนก่อนในคืนที่ท่านอ๋องกั่วจวิ้นจะสิ้นใจ อากาศเหน็บหนาวมาก ในวันนั้นมีหิมะตกหนักมากด้วย”

ในตอนที่เข้ายึดลานกว้างแห่งนี้ ทั่วทั้งพื้นที่เต็มไปด้วยหิมะขาวโพลน แต่กลับปรากฏรอยเท้าไม่มากนัก บนหลังคายังมีรอยเท้าที่หลบหนีกลุ่มหนึ่ง แต่ในส่วนของพื้นที่มีคนตาย ได้ทิ้งรอยคราบเลือดขนาดใหญ่ไว้ ภายในห้องมีเครื่องประดับเงินและทองหายไปบางส่วน นอกจากของเหล่านี้ ก็ไม่มีสิ่งอื่นใด

ครั้นจะบอกว่าเป็นการแก้แค้น แต่การแก้แค้นต้องฆ่าคน รอยเท้าที่ลงบันทึกในคำตัดสินตอนนั้น โจรผู้นั้นมาจากทางหลังคา หลังจากกระโดดลงมาก็ทำการสำรวจโดยรอบ ครั้นพบห้องที่มีทรัพย์สมบัติ จึงแทรกตัวเข้าไป ซึ่งทิ้งรอยเท้าในตอนที่เข้าไปเสาะหาไว้ภายในห้อง มีอัญมณีตกลงพื้นสองชิ้นที่ไม่ได้เก็บไป

ครั้นออกมาโจรผู้นั้นก็หยุดชะงัก เวลานี้น่าจะถูกท่านอ๋องกั่วจวิ้นพบเข้า รอยเท้าจึงค่อนข้างวุ่นวายมาก

ทั้งสองคนไล่ตามกัน โจรผู้นั้นคิดจะหนี แต่ถูกท่านอ๋องกั่วจวิ้นขัดขวางไว้ ทั้งสองคนจึงต่อสู้กันบนลานกว้างแห่งนี้ สุดท้ายท่านอ๋องกั่วจวิ้นก็นอนตายอยู่บนพื้น ส่วนโจรผู้นั้นก็แบกศีรษะออกไปจากที่นี่ สุดท้ายศีรษะนั้นก็ถูกพบอยู่นอกกำแพง

ฉีเฟยอวิ๋นครุ่นคิดตามคำพูดของทังเหอ : “กล่าวเช่นนี้ แสดงว่าที่นี่ไม่มีแม้แต่รอยเท้าของคนที่พบเจอเช่นนั้นรึ?”

“ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ คนที่พบเรื่องนี้คือเด็ก และก็เป็นบุตรชายตัวน้อยของท่านอ๋องกั่วจวิ้น ต่อมาก็เป็นหล่าภรรยาและนางสนมที่อยู่ในลานกว้าง ตามมาด้วยคนรับใช้อีกสองสามคน อาจเป็นเพราะลานกว้างแห่งนี้ไม่อนุญาตให้มีความสัมพันธ์เกิดขึ้นภายใน เหล่าภรรยาและนางสนมบอกว่ามีแค่ต้องได้รับอนุญาตเท่านั้นถึงจะเข้ามาได้ ที่แห่งนี้เป็นสถานที่ฝึกวิทยายุทธ์ของท่านอ๋องกั่วจวิ้น ดังนั้นจึงถูกหวงห้าม คนรับใช้เองก็ไม่กล้าถลันเข้ามา

ส่วนวันที่ท่านอ๋องกั่วจวิ้นเกิดเรื่อง พวกเขามาถึงหน้าประตูแล้วแต่ไม่กล้าเข้ามา

เด็กน้อยได้ถลันเข้ามาในด้วยความตกใจ และร้องไห้ไม่หยุด พระชายาไม่สนใจสิ่งใด ถลันเข้ามาอุ้มตัวเด็กน้อย จึงได้พบเรื่องนี้ ดังนั้นจึงทิ้งรอยเท้าในบริเวณนี้ค่อนข้างมาก

เรื่องนี้สะเทือนถึงชั้นศาล จนกระทั่งชั้นศาลมาสอบสวนด้วยตนเอง แต่หลังจากค้นหาร่วมครึ่งเดือน ก็เจอรังที่ซ่อนตัวของโจรผู้นั้น

แต่ท่านอ๋องกั่วจวิ้นคือคนในวังหลวง ครั้นเกิดเรื่องพี่สาวของท่านอ๋องกั่วจวิ้น ฉงหยางจวิ้นจู่ได้กราบทูบต่อฝ่าบาทถึงสาเหตุการตายของท่านอ๋องกั่วจวิ้น และเพิ่งได้รู้ว่าเรื่องนี้ เดิมทีเป็นคดีความสิ้นสุดไปแล้ว จับมือใครดมไม่ได้”

ฉีเฟยอวิ๋นตกอยู่ในห้วงความคิด หลังจากครุ่นคิดอยู่ครึ่งวันพลางเดินสำรวจรอบ ๆ เรือน นางจึงกล่าวว่า : “ท่านอ๋อง ท่านคิดว่าความจริงแล้วไม่มีโจรผู้นั้น แต่ทุกอย่างมันคือการจัดฉากใช่หรือไม่?”

“ข้ารู้ ว่าเดิมทีไม่มีโจรผู้นั้น อีกอย่าง ฆาตกรก็อยู่ในจวนด้วย แต่ข้ายังหาวิธีการไม่ได้เลย”

หนานกงเย่คาดไม่ถึงว่าความสามารถของผู้หญิงคนนี้จะเก่งกาจเพียงนี้ เมื่อหลายวันก่อนในตอนที่มาถึงชั้นศาล คนในชั้นศาลยืนยันว่าคดีความจะไม่ถูกรื้อขึ้นมารอบที่สอง ผู้คนคิดว่าเป็นฝีมือของโจรผู้นั้น แต่เขากลับรู้ว่าเรื่องนี้ไม่ได้ง่ายเช่นนั้น

ในจวนของท่านอ๋องกั่วจวิ้น เรือนแห่งอื่นล้วนมั่งคั่งร่ำรวยกว่าเรือนตรงหน้า ที่แห่งนี้ไม่มีของล้ำค่าอะไร โจรไม่เลือกเรือนอื่น แต่เลือกมายังจวนท่านอ๋องกั่วจวิ้นและมุ่งหน้าตรงไปยังหลังเรือนที่ไกลจากผู้คนที่สุด ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย

ก็เห็นอยู่ว่าที่นี่เป็นห้องทรมาน แต่มาขโมยเงินจากในนั้น

เส้นทางที่โจรจากไปคือนอกลานกว้าง โดยพื้นฐานมันออกไปไม่ได้

หิมะแห่งนี้ช่วยเอื้ออำนวยแก่ฆาตกรมาก ประกอบกับคดีความที่หาเบาะแสได้ยากยิ่ง

ฉีเฟยอวิ๋นจ้องเขม็งไปยังหนานกงเย่ และส่งยิ้มด้วยความเคารพให้แก่เขาอย่างอดไม่ได้ ชายผู้นี้เก่งกาจเสียจริง ความจริงแล้วเขามีใบหน้าของฆาตกรอยู่ในใจ แต่ไม่มีหลักฐาน จับตัวไม่ได้

“คุณชายทัง…เจ้าคิดว่าอย่างไร?” ฉีเฟยอวิ๋นอยากฟังความคิดเห็นของทังเหอ

ทังเหอส่ายหน้า : “ข้ายังสืบหาความจริงไม่ได้ ซึ่งคดีความนี้ข้าตรวจสอบมาหลายรอบแล้ว แต่หากให้ข้าพูด ข้าเองก็รู้สึกว่าคดีความนี้ยังมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล มีจุดน่าสงสัย แต่หากต้องการความคิดเห็น ข้ายังคิดไม่ออก”

“เจ้ากล่าวได้เลย” ฉีเฟยอวิ๋นไม่ละความพยายาม

ทังเหอทำได้เพียงฝืนกล่าวออกไปว่า : “ท่านอ๋องบอกว่าเป็นคนในจวน ข่าวลือที่แพร่สะพัดก็อาจจะมาจากคนในจวน แต่ถึงอย่างไรท่านอ๋องกั่วจวิ้นก็เป็นถึงท่านอ๋อง เมื่อครั้งท่านอ๋องยังมีชีวิต จวนท่านอ๋องกั่วจวิ้นช่างงดงามมาก หลังจากท่านอ๋องจากไป จวนท่านอ๋องกั่วจวิ้นก็ทรุดโทรม ภรรยาและนางสนมมากมายเหล่านั้น ใช้ชีวิตกันอย่างไร?

ต่อให้คนรับใช้จะอาจหาญเพียงใด ก็ไม่กล้าขัดคำสั่ง นับประสาอะไรจะกล้าลงมือสังหารผู้เป็นนาย

เรื่องนี้ อาจจะเป็นฝีมือของโจรผู้นั้นจริง ๆ ก็ได้”

ฉีเฟยอวิ๋นมองไปยังหนานกงเย่ด้วยความรู้สึกเดียวกัน มีลูกน้องเช่นนี้ เหตุใดถึงไม่โกรธ

“คุณชายทังเป็นคนที่เฉลียวฉลาดถึงเพียงนี้ กลับสับสนกับเรื่องตรงหน้าเสียได้ เรื่องราวเหล่านั้นอาจจะเป็นเรื่องโกหกก็ได้”

ยกตัวอย่างเช่นอาซิว สำหรับคนภายนอก เขาคือคนที่จงรักภักดีต่อท่านอ๋องมาก ไม่มีทางทำเรื่องที่หักหลังท่านอ๋องเป็นแน่ แต่การปรากฏตัวของข้าทำให้อาซิวสับสน อาซิวอาจจะทรยศหักหลังก็ได้

อีกทั้ง ทุกส่วนในลานกว้างแห่งนี้ล้วนเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด หรือคุณชายทังไม่รู้สึกว่า ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ฝึกฝนวิทยายุทธ์ แต่เป็นห้องทรมาน?”

ทังเหอชะงักชั่วขณะ และมองไปยังฉีเฟยอวิ๋นด้วยความประหลาดใจ : “ความหมายของพระชายาก็คือ?”

“ข้าและท่านอ๋องคิดเห็นเหมือนกัน ฆาตกรอยู่ในจวน อีกอย่างข้าสามารถย่อขอบเขตให้สั้นลงได้ คนที่ฆ่าคนได้ จะต้องเป็นหนึ่งในภรรยาและนางสนมทั้งสิบสองคนเป็นแน่ อาจจะมีแค่หนึ่งคน สองคน หรืออาจจะทั้งสิบสองคนเลยก็ว่าได้”

“หา?” ทังเหอตกใจ

ฉีเฟยอวิ๋นหมุนตัวกลับไปมองในลานกว้างอีกครั้ง : “ปกติแล้วท่านอ๋องกั่วจวิ้นจะมีนิสัยชอบทรมานผู้หญิง ทุกคนภายในจวนล้วนรู้เรื่องนี้ดี แต่เพราะสถานะของท่านอ๋องกั่วจวิ้น จึงไม่มีใครกล้าปริปากพูดเรื่องนี้ออกไป”

แต่บรรดาภรรยาและนางสนมเหล่านั้นเดิมทีมีไว้เพื่อทรมานอยู่แล้ว ไม่ได้ถูกนำตัวมาเป็นภรรยา พวกนางกลัวมาก ใคร ๆ ก็ไม่กล้าปริปากพูดเรื่องนี้ออกไป หลายปีมานี้ จึงต้องทนทรมานอยู่ในจวนแห่งนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ในที่สุด ในคืนที่ทุกคนจะได้เป็นอิสระ พวกนางก็ได้ออกไปใช้ชีวิตของตนเองอีกครั้ง

สมมติว่า คืนนั้น ท่านอ๋องกั่วจวิ้นดื่มหนักมาก และเรียกหนึ่งในภรรยานางสนมออกมา ซึ่งนางผู้นั้นอดทนต่อท่านอ๋องกั่วจวิ้นได้ แต่คืนนั้น ท่านอ๋องกั่วจวิ้นคิดจะทรมานลูกน้องและเด็ก เช่นนั้น…

ในฐานะคนเป็นแม่ ความเป็นแม่สามารถอดทนต่อความทุกข์ทรมานได้ แต่กลับทนเห็นเด็กได้รับความทรมานเช่นนั้นไม่ได้ ดังนั้นคนเป็นแม่จึงพยายามต่อต้าน ตะโกนจนเสียงแหบแห้ง

แม้ว่าในลานกว้างแห่งนี้จะอยู่ในด้านหลัง แต่เรือนโดยรอบและที่ที่ภรรยาและนางสนามอยู่อยู่ใกล้กันมาก

ทันทีที่หญิงผู้นี้ตะโกนออกมา บริเวณโดยรอบก็รู้สึกไม่ดีนัก เหล่าพี่น้องที่อยู่ด้วยกันพากันตกใจตื่นด้วยความอกสั่นขวัญแขวน จะเห็นใจก็ดี หรือหวาดกลัวก็ดี แรกเริ่มพวกนางไม่กล้า แต่ต่อมาคิดได้ว่าชะตากรรมที่น่าอนาถนี้ไม่ช้าก็เร็วต้องตกมาถึงพวกนาง ดังนั้น จึงมีคนวิ่งออกมา

เวลานี้ เหล่าคนรับใช้ล้วนไม่กล้าออกมาเช่นกัน คนที่โหดเหี้ยม ฆ่าคนราวกับเป็นผักเป็นปลาย่อมไม่มีทางยั้งมือเป็นแน่ เรือนแห่งนี้เป็นสถานที่ทรมานคน ไม่ว่าจะร้องไห้คร่ำครวญอย่างไร ก็ไม่มีใครเข้ามา อย่างน้อยคนรับใช้ก็ยังไม่กล้า

ใคร ๆ ก็รักตัวกลัวตายทั้งสิ้น หากถูกเห็นเข้า ต้องมีจุดที่ไม่สวยเป็นแน่

ดังนั้นแม้จะตะโกนอย่างไร ก็ไม่มีใครเข้ามา

มีคนไปหาพระชายากั่วจวิ้น ก้มหัวโขกดินวิงวอนนาง

พวกผู้หญิงได้แต่กอดกันเป็นกลุ่ม ต่อต้านผู้ชายที่เกลียดชังคนนั้น

พวกนางพุ่งมาที่นี่ เพื่อลงโทษท่านอ๋องกั่วจวิ้นผู้นั้น

ฉีเฟยอวิ๋นหมุนตัวไปมองหนานกงเย่ แววตาของหนานกงเย่ลุกโชนราวกับประกายไฟ จ้องมองนางพลางพยักหน้า : “ถูกต้อง!”