ฉีเฟยอวิ๋นหยิบหญ้าก้นจ้ำขาวอีกกำมือหนึ่งและมอบให้กับหมอประจำจวน “เคี้ยวแล้วให้เขากิน และส่วนที่เหลือนั่นก็กินเข้าไปด้วย”
หมอในจวนจับแล้วรู้สึกหดหู่ใจ สิ่งนี้ดูเหมือนกับใบฝืน จะเคี้ยวได้อย่างไรกัน? ยังต้องการลำคออีกหรือไม่?
แต่พระชายาสามารถเคี้ยวได้ เขาก็ต้องทำได้เหมือนกัน!
หลังจากที่มอบให้กับหมอปรจำจวนแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็เดินไปตรงหน้าของหนานกงเย่ หนานกงเย่โกรธจนแทบจะตะคอกใส่เธอ ทำไมเธอถึงต้องป้อนสิ่งนั้นให้กับอาซิวด้วย ไม่รู้สึกละอายใจบ้างเลยหรือ หากมีคนพูดออกไปเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!
ไม่รอให้เขาพูด ฉีเฟยอวิ๋นก็เข้าไปสู่อ้อมกอดของหนานกงเย่ ร่างกายของเธออ่อนไหวจนแทบยืนไม่ไหว
ทันทีที่ร่างของเธอแนบชิด ฉีเฟยอวิ๋นก็กอดรัดเอวของหนานกงเย่ด้วยสองมือของเธอ “ท่านอ๋อง ข้าเหนื่อยเหลือเกิน!”
หนานกงเย่กอดฉีเฟยอวิ๋นก้มศีรษะลงและหลับตาลง เขาตำหนิตัวเอง แค่เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็เหลือเพียงความเจ็บปวด
หนานกงเย่ก้มลงอุ้มฉีเฟยอวิ๋นขึ้นมา และเดินออกไปข้างนอก
ระหว่างทาง หนานกงเย่กระชับแขนหลายครั้งเพราะกลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเธอ
“เหนื่อยแล้วก็กลับไปนอน ข้างนอกลมแรงและหนาวแล้ว” ฉีเฟยอวิ๋นถูกเรียกให้ตื่นเป็นระยะ แต่คนเหนื่อยถึงขีดสุดไม่สามารถห้ามได้
ฉีเฟยอวิ๋นหลับตาของเธอไม่ได้พูดอะไร และปล่อยให้หนานกงเย่อุ้มเธอไว้
หลังจากกลับไปที่สวนดอกกล้วยไม้ หนานกงเย่วางเธอลง และเรียกหมอในจวนมา หมอในจวนเข้ามาตรวจดูอาการให้ฉีเฟยอวิ๋น โดยบอกว่าเป็นเพราะเหนื่อยล้ามากเกินไปจึงทำให้หมดสติลง
“มียาอะไรให้กินบ้างหรือไม่?”
หนานกงเย่กุมมือของฉีเฟยอวิ๋นไว้ โดยปกติก็มีความกังวลอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้กลับยิ่งเพิ่มความกังวลเข้าไปอีก
เขารู้ว่าเธอไม่เป็นอะไร อีกไม่นานก็จะตื่นขึ้นมา แต่เขาก็ยังเป็นกังวลอยู่
หมอในจวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ดูแล้วสีหน้าของพระชายาไม่ค่อยดีนัก ดูเหมือนกับว่าเลือดและพลังลมปราณไม่ดีนัก ไม่เช่นนั้นก็บำรุงโลหิตสักหน่อยก็ดีขอรับ”
“บำรุงเช่นไรหรือ?”
“อันนี้หรือ? น้ำตาลทรายแดงบำรุงโลหิต”
“ขอรับ นำมาหน่อย”
“ขอรับ”
หมอในจวนเตรียมน้ำตาลก้อนไว้จำนวนหนึ่ง และนำไปแช่ในน้ำร้อนแล้วรอให้ละลายแล้วใส่โสมลงไปสองแผ่น
เพื่อลดระยะเวลาการทำ หนานกงเย่ดื่มเข้าปากและป้อนผ่านทางปากด้วยตัวเองจนหมดถ้วย
หมอในจวนมองด้วยสายตาที่ร้อนแรง ต่างพากันก้มหน้าลงไม่กล้ามอง
หลังจากที่เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน เวลานี้ก็เป็นวันที่สองแล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกตัวขึ้นมาเล็กน้อย หนานกงเย่อุ้มเธอๆ จึงยอมไปอาบน้ำ
ทั้งสองกำลังแช่ตัวอยู่ในถังน้ำอุ่น ฉีเฟยอวิ๋นถูกกดอยู่ในอ้อมกอดของหนานกงเย่ เธอไม่สามารถขยับตัวได้ เธอทำได้เพียงนอนหงายและเงยศีรษะขึ้น
หนานกงเย่โอบรอบเอวของเธอ ไม่ค่อยพอใจนักและกล่าวว่า “เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ข้าจะคิดเสียว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เรื่องแบบนี้ห้ามเกิดขึ้นอีก”
“เพคะ”
หากทำผิดพลาด ก็จะมีทัศนคติในการยอมรับโดยธรรมชาติ
ฉีเฟยอวิ๋นถอนหายใจ “เกรงว่าเรื่องนี้จะไม่จบลงเพียงแค่นี้ หวังว่าอาซิวจะมีชีวิตรอด และลืมข้าไป”
ประกายในดวงตาของหนานกงเย่หรี่ลง “ข้าจะจัดการกับอาซิว เขาจะไม่ตาย ข้าให้คำสัญญา”
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่เขา “แต่ความหมายของท่านอ๋องคือตั้งใจจะกักขังเขาไว้ตลอดชีวิต”
“ข้าเมตตาต่อเขามากแล้ว”
“ท่านอ๋อง หากไม่มีข้า ท่านอ๋องจะลงโทษอาซิวหรือไม่เพคะ?” จู่ๆ ฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกสงสัยขึ้นมา
หนานกงเย่ส่ายหน้า “บางทีอาจไม่มีอะไรเกิดขึ้นหากไม่มีเจ้า น้องสาวของอาอวี่ก็จะไม่ตาย อาซิวก็คงไม่คิดทรยศข้า”
“แต่คนรอบตัวของข้า จำเป็นต้องฟังคำสั่งของข้าเท่านั้น และไม่สามารถคิดกบฏทรยศแม้แต่น้อย ไม่เช่นนั้นข้าจะฆ่าล้างตระกูลพวกเขาให้สิ้น พวกเขาทำได้เพียงเชื่อฟัง”
“หากท่านอ๋องฆ่าท่านพ่อของข้า ข้าจะฆ่าท่านก่อน!”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้ล้อเล่นอย่างแน่นอน
หนานกงเย่หัวเราะอย่างเยือกเย็น “เรื่องของอนาคตไม่มีใครรับรู้ได้?”
“ไม่ว่าจะเป็นวันนี้หรืออนาคต ใครที่ฆ่าท่านพ่อของข้า ข้าก็จะฆ่าคนนั้น” ฉีเฟยอวิ๋นเป็นเด็กกำพร้าในชาติที่แล้ว เธออิจฉาคนที่มีพ่อแม่ แต่ตอนนี้เธอมีพ่อแล้ว ถ้าใครคิดจะฆ่าพ่อของเธอ เธอจะทำลายคนคนนั้น!
หนานกงเย่บีบไปที่เอวบางของฉีเฟยอวิ๋น “ข้าไม่คิดทำเช่นนั้นหรอก”
“มีหรือไม่ใช่เรื่องเดียวกัน หากท่านไม่มีความสามารถพอ แล้วจะออกมาเหมือนกันได้เช่นไร?” ฉีเฟยอวิ๋นถอนหายใจด้วยความโล่งอกและไม่ต้องการพูดต่อในหัวข้อนี้ แต่อาศัยอยู่ในตระกูลของราชวงศ์จักรพรรดิ ไม่สามารถควบคุมอะไรได้มากมายดังนั้นเธอควรป้องกันไว้ล่วงหน้า หากวันใดหนานกงเย่มีความคิดเช่นนั้น เธอจะทำอย่างไร?
หนานกงเย่กอดเธอ ก้มศีรษะและจูบเธอ ไม่พูดเรื่องนี้ต่อไปอีกแล้ว “เหนื่อยมากแล้วก็พักผ่อนก่อน”
“เพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นถูกอุ้มออกไปและทั้งสองก็ไปพักผ่อน ฉีเฟยอวิ๋นกอดเอวของหนานกงเย่และถามเขาว่า “ท่านไม่ไปสอบสวนหรือ?”
“ไม่มีอะไรคืบหน้า วันนี้หยุดพักหนึ่งวัน”
“ท่านอ๋อง ข้าอยู่แต่ในจวนก็ไม่รู้จะทำอะไร ไม่เช่นนั้นข้าคิดตามท่านไปด้วยได้หรือไม่ หรือข้าอาจจะช่วยท่านสอบสวนได้บ้าง?” ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวอย่างจริงจัง และเปิดเปลือกตาที่เหนื่อยล้าขึ้น
หนานกงเย่คิดอยู่ครู่หนึ่ง “ก็ดีเหมือนกัน เจ้าอยู่แต่ในจวนข้าก็เป็นกังวล”
“ขอบพระทัยท่านอ๋องเพคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นค่อยๆ ขยับตัวออกไป หนานกงเย่รู้สึกสะดุ้ง เขาเอื้อมมือออกไปจับและพลิกตัวกลับไปจับฉีเฟยอวิ๋นไม่ให้ขยับ
“วันนี้ข้ายังไม่ให้รางวัลกับเจ้าเลย”
“ช่างน่าไม่อายเสียจริง!”
“สิ่งที่ข้าต้องการก็คือไม่อาย ข้าหน้าหนาอยู่แล้ว”
ฉีเฟยอวิ๋นตื่นขึ้นในตอนเช้าและกดเอวของเธอ รู้สึกเจ็บจนแทบทนไม่ได้
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ฉีเฟยอวิ๋นก็ใส่ชุดคลุมของผู้ชายและออกเดินทางไปสอบสวนคดีกับหนานกงเย่
ทั้งสองเดินออกจากจวน หลังจากที่ฉีเฟยอวิ๋นออกจากประตูมาก็ถูกหญิงสาวจำนวนมากจ้องมอง ฉีเฟยอวิ๋นตกใจจนต้องยกแขนเสื้อขึ้นมาปิดบังใบหน้าของเธอขณะที่เดินไปข้างหน้า
“ข้าเดินตามหลังติดตามเจ้ามาทำงาน หรือว่าเจ้าติดตามข้ามาทำงานกันแน่ ทำไมถึงเดินไปก่อนหน้าข้าล่ะ?”
ถึงแม้ไม่ได้ทำให้หนานกงเย่โกรธโมโห แค่ออกจากจวนมาก็สามารถสร้างปัญหาให้เขาได้
ฉีเฟยอวิ๋นรีบเดินกลับไปด้านหลัง และก้มศีรษะเดินตามหลังเขา
“พรุ่งนี้หากจะติดตามออกมาทาหน้าให้เป็นสีดำ เพื่อไม่ให้คนจำได้ หากทำให้คนอื่นรู้ว่าท่านอ๋องอย่างข้าออกไปข้างนอกก็ต้องพาพระชายาติดตามออกไปด้วยละก็ พูดออกไปข้าคงไม่รู้จะเอาหน้าไปวางไว้ที่ไหน”
“เพคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกว่านี่เป็นวิธีที่ดีเหมือนกัน
เมื่อฉีเฟยอวิ๋นเดินทางมาถึงจวนท่านอ๋องกั่วจวิ้น ฉีเฟยอวิ๋นเงยหน้าขึ้นมองตัวอักษรทั้งสี่ตัวอย่างประทับใจ
หน้าประตูจวนของท่านอ๋องจวิ้นมีคนจำนวนหนึ่งยืนเฝ้าเวรยามอยู่ มีคนจำนวนหนึ่งที่ฉีเฟยอวิ๋นไม่รู้จัก หนึ่งในนั้นมีทังเหอ
เมื่อเห็นฉีเฟยอวิ๋น ทังเหอตกตะลึงอยู่พักหนึ่ง และเขาก็รีบเดินลงบันไดไป
“ท่านอ๋อง ทำไมท่านอ๋องถึง?” ประโยคหลังยังไม่ทันจะเอ่ยออกมา ฉีเฟยอวิ๋นก็หยุดคำพูดของเขาไว้
“วันนี้ข้ามาช่วยสอบสวนคดี”
“ท่านอ๋อง” ทังเหอคิดว่าเรื่องนี้ไม่สมควร หากเรื่องนี้ถูกพูดต่อออกไป ชื่อเสียงของท่านอ๋องเย่จะต้องเสียหายอย่างแน่นอน และรวมไปถึงชื่อเสียงของพระชายาเองก็จะเสียหายไปด้วย
มีอย่างที่ไหนท่านอ๋องออกมาทำงานนอกบ้านแล้วยังพาพระชายาติดตามออกมาทำงานด้วย ช่างไม่เข้าท่าเสียจริง
ทังเหอพยายามที่จะพูดจาเกลี้ยกล่อม แต่หนานกงเย่ไม่ฟังและก้าวเดินเข้าไปในจวนของท่านอ๋องกั่วจวิ้น และฉีเฟยอวิ๋นก็เดินตามไปข้างหลัง
“ท่านอ๋อง…” ทังเหอยังคงพยายามจะพูดอะไร หนานกงเย่ปัดมือขึ้นเพื่อเป็นสัญญาณให้เขาหุบปากลง!
ทังเหอไม่กล้าพูดอะไรอีก ทำได้เพียงแค่มองฉีเฟยอวิ๋นอย่างลำบากใจ โดยหวังว่าเธอจะกลับไปที่จวนท่านอ๋องเย่ในสภาพแวดล้อมที่ดีที่เธอควรอยู่ และหากไม่มีอะไรก็อย่าออกมาเดินเล่นแบบนี้
ถึงแม้ว่าครั้งนั้นที่วัดเฉิงหวงจะไปด้วยความหวังดี แต่ความหวังดีมักนำมาซึ่งเรื่องร้าย
เรื่องราวที่วัดเฉิงหวงเพิ่งจะจัดการเสร็จเรียบร้อยอย่างไม่เต็มใจเท่าไรนัก หากยังต้องเป็นแบบนี้ต่อไป เขาคงต้องเสียเหงื่อเพื่อจวนท่านอ๋องเย่อีกสักครั้งเสียแล้ว
ไม่ใช่ว่าฉีเฟยอวิ๋นจะไม่เข้าใจความคิดของทังเหอ แต่จวนท่านอ๋องเย่สำหรับเธอแล้วเหมือนกับเป็นกรงขัง มันคงเป็นเรื่องยากสำหรับเธอที่จะอยู่แต่ในจวน
คนดีก็จะรู้สึกเบื่อหน่ายเอาได้!
ทังเหอรอที่จะหาโอกาสในขณะที่ฉีเฟยอวิ๋นจดจ่ออยู่กับการพิจารณาสอบสวนเรื่องคดี
หนานกงเย่เดินผ่านประตูเข้าไปที่ห้องโถงด้านหน้าของจวนท่านอ๋องกั่วจวิ้น
ในขณะที่กำลังเดินไปห้องโถงด้านหน้า ฉีเฟยอวิ๋นถามขึ้นเกี่ยวกับการตายของท่านอ๋องกั่วจวิ้น “ท่านทัง ท่านช่วยพูดเกี่ยวกับการตายของท่านอ๋องกั่วจวิ้นให้ข้าฟังหน่อยได้หรือไม่”
ทังเหอไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร ทำได้เพียงไปพูดคุยกับบฉีเฟยอวิ๋น วิธีการก็เหมือนกับที่บอกกับหนานกงเย่ ถูกคนตัดศีรษะหายไป แต่ศีรษะก็ถูกพบขึ้นที่นอกจวนของท่านอ๋องกั่วจวิ้น โชคดีที่ยังเหลืออวัยวะครบทุกชิ้นส่วนให้กับศพของท่านอ๋องกั่วจวิ้น
“แล้วท่านอ๋องกั่วจวิ้นมีภรรยาและลูกทั้งหมดกี่คน? ยังมีพ่อแม่หรือบรรพบุรุษเหลืออยู่อีกหรือไม่?”
“พระชายา ข้าน้อยไม่สามารถพูดเรื่องบรรพบุรุษได้ อันที่จริงแล้วบรรพบุรุษของท่านอ๋องกั่วจวิ้นก็คือเป็นพี่น้องของจักรพรรดิ หรือพูดให้เข้าใจง่ายก็คือ บรรพบุรุษของท่านอ๋องกั่วจวิ้นและท่านอ๋องเย่เป็นคนคนเดียวกัน ถ้าจะพูดให้ถูกพระชายาควรจะพูดว่ามีท่านปู่หรือไม่ขอรับ” ทังเหอกล่าวเตือน
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าว “ครั้งหน้าข้าจะระวังมากกว่านี้ ท่านทัง งั้นท่านช่วยเล่าเรื่องเกี่ยวกับท่านอ๋องกั่วจวิ้นให้ข้าฟังหน่อยได้หรือไม่”
“ท่านอ๋องกั่วจวิ้นสืบทอดสันติวงศ์มาจากท่านอ๋องจวิ้น พระอัยกาของท่านอ๋องกั่วจวิ้นได้สิ้นพระชนม์ไปแล้วหลายปี พระราชบิดาของท่านอ๋องกั่วจวิ้นก็คือท่านอ๋องหรงชิ่งจวิ้น ซึ่งสิ้นพระชนม์ไปเมื่อสองปีที่แล้ว ส่วนพระชายาของท่านอ๋องหรงชิ่งจวิ้นก็สิ้นพระชนม์ไปหลายปีแล้ว ดังนั้นจวนท่านอ๋องกั่วจวิ้นจนถึงตอนนี้ มีเพียงสมาชิกครอบครัวผู้หญิงเท่านั้น สำหรับทายาทของท่านอ๋องกั่วจวิ้นนั้น เมื่อพูดแล้วก็รู้สึกแปลก ท่านอ๋องกั่วจวิ้นมีภรรยาทั้งหมดสิบสองคน แต่กลับให้กำเนิดทายาทเพียงลูกชายคนเดียวเท่านั้น นั่นก็คือท่านอ๋องจวิ้นน้อย!”
เมื่อได้ยินสิ่งที่ทังเหอเล่ามา ฉีเฟยอวิ๋นมีความรู้สึกรับไม่ได้ ทำไมลูกหลานของอาณาจักรต้าเหลียงถึงอ่อนแอเช่นนี้นะ ทำไมเด็กเล็กแต่ละครัวเรือนช่างหายากเสียจริง
“แล้วภรรยาจำนวนมากนี้เข้ากันได้ดีหรือไม่? ท่านอ๋องกั่วจวิ้นสิ้นพระชนม์แล้ว ผู้หญิงในจวนจะมีข้อพิพาทแย่งชิงทรัพย์สมบัติกันหรือไม่?”
“เรื่องนี้คงไม่มีทางแน่นอน ระบบการลงทะเบียนของอาณาจักรต้าเหลียงนั้นเข้มงวด นางสนมจะได้รับเกียรติเช่นเดียวกับภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย นางสนมที่เหลือจะต้องเชื่อฟังคำสั่งของภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย นอกเสียจากว่าผู้นั้นจะเป็นที่รักและโปรดปรานเป็นพิเศษ เมื่อสามียังมีชีวิตอยู่ก็สามารถนำมาเชิดหน้าชูตาได้ แต่หากนางสนมไม่รู้จักขอบเขตของตัวเอง ได้รับการโปรดปรานแต่กลับเย่อหยิ่งแล้วละก็ ภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายก็มีสิทธิ์ลงโทษนางสนมที่โปรดปรานของสามีได้”
“ถ้าเป็นเช่นนั้น ตอนนี้สามีไม่อยู่แล้ว บ้านหลังนี้ก็มีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายเป็นผู้นำ ฉะนั้นนางสนมที่เหลือก็ต้องเชื่อฟังคำสั่ง ไม่แม้แต่จะพูดปฏิเสธสักคำ” ฉีเฟยอวิ๋นเข้าใจแล้ว มีสองคำที่สามารถอธิบายความเป็นผู้หญิงโบราณก็คือ โศกเศร้า!
ทังเหอกล่าว “ใช่ขอรับ”
ฉีเฟยอวิ๋นเลิกคิ้วและเหลือบมองที่หนานกงเย่ซึ่งกำลังเดินอยู่ข้างๆ เธอและกล่าวว่า “ท่านอ๋อง ท่านไม่ชอบข้าเป็นเพราะว่าข้าเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายใช่หรือไม่?”
“ไร้สาระ ข้าพูดเมื่อไรว่าข้าไม่ชอบ?”
“……”
ฉีเฟยอวิ๋นพูดไม่ออก แบบนี้ไม่ไร้สาระหรืออย่างไร?
เมื่อเดินมาถึงตรงกลางประตูของห้องโถงมีผู้หญิงที่สง่างามจำนวนหนึ่งยืนอยู่ที่นั่น พร้อมกับคนรับใช้ในบ้านยืนอยู่ด้านหลัง เมื่อเห็นหนานกงเย่ หญิงสาวเหล่านั้นก็เดินไปข้างหน้าด้วยกันภายใต้การนำของหญิงสาวอายุประมาณสี่สิบปี ลูบร่างกายเพื่อแสดงความต้อนรับหนานกงเย่
“มิ่งฟู่ (บรรดาศักดิ์ของภรรยาของขุนนาง) คารวะท่านอ๋องเย่เพคะ”
คนที่เหลือก็ตอบรับเช่นเดียวกัน หนานกงเย่กล่าว “ลุกขึ้นเถิดฮูหยิน ข้ามาเพื่อสอบสวนการสิ้นพระชนม์ของท่านอ๋องกั่วจวิ้น ไม่ต้องการที่จะรบกวนทุกท่านเกินไป ฮูหยินไม่จำเป็นต้องดูแลข้าเป็นพิเศษหรอก เรื่องพิธีรีตองก็ไม่ต้องไปสนใจเท่าไรนัก ข้ายังจำได้ตอนวัยเด็กข้ายังวิ่งเล่นตามหลังฮูหยินอยู่เลย ข้ายังคงมีความเคารพและรักท่านฮูหยินอยู่เสมอ”
“ดีใจเหลือที่ท่านอ๋องเย่ยังจำได้ มิ่งฟู่ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร เป็นเรื่องเก่าในอดีตไปแล้ว” พระชายากั่วจวิ้นรู้สึกซาบซึ้งอย่างมาก
หนานกงเย่ยิ้มออกมาเล็กน้อย “เมื่อครั้งที่ฮูหยินอภิเษกสมรส ข้าก็อยู่ในงานด้วย”
“จริงหรือ?” พระชายากั่วจวิ้นหันหลังและเชื้อเชิญให้หนานกงเย่เข้าไปนั่งพัก แต่หนานกงเย่ปฏิเสธในทันที
“ข้าไม่ขอเข้าไปแล้ว ข้าขอตรวจดูอีกสักหน่อย หากวันนี้สอบสวนไม่ได้ความอะไร ก็จะต้องรีบกลับไปกราบทูลจักรพรรดิแล้ว คดีนี้คงต้องพิพากษาโดยโจรผู้ร้ายทำให้บาดเจ็บปางตายเท่านั้น”
“เช่นนั้นก็รบกวนท่านอ๋องเย่ด้วย ทุกคนในจวนพร้อมให้การดูแลและเรียกใช้จากท่านอ๋องเย่ทุกเมื่อ” พระชายากั่วจวิ้นกล่าวด้วยความเคารพ
“ข้าทราบแล้ว”
หนานกงเย่หันหลังกลับและเดินตรงไปที่เรือนหลังหนึ่ง ฉีเฟยอวิ๋นก็เดินตามไปข้างหลัง
ระหว่างทางไม่มีผู้คน ฉีเฟยอวิ๋นถามหนานกงเย่ “ท่านรู้จักพระชายากั่วจวิ้นจริงหรือ?”