ฉีเฟยอวิ๋นเองก็หมดหนทางเช่นกัน การกำจัดคนพวกนี้ในวันนี้ หากนางไม่เห็นคงไม่เป็นไร แต่ทว่านางเห็นเข้าแล้ว เช่นนี้นางจะอยู่ในจวนท่านอ๋องต่อไปได้อย่างไรกัน
ก่อนหน้าก็เป็นแผนการอันไร้ยางอายของเจ้าของร่างเดิม ตอนหลังก็เป็นวิธีการอันไม่ยำเกรงกลัวของหนานกงเย่ หนทางถอยกลับของนางถูกดักไว้หมดทุกทาง แล้วนางจะทำอย่างไรได้?
“ท่านอ๋องเพคะ หากหม่อมฉันก็ถูกใส่ความจนตายเช่นกัน ท่านอ๋องจะไม่ล้างแค้นให้หม่อมฉันเลยหรือเพคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นยิ่งพูดยิ่งทำคนฉุนเฉียวนัก ทำเอาหนานกงเย่ต้องกุมขมับเลยทีเดียว
วันนี้เขาต้องการกำจัดอาซิวจริง แต่มิได้อยากให้นางรู้ ถึงได้สั่งให้คนไปดูว่านางหลับหรือยัง นางหลับแล้ว เขาถึงได้ลงมือทำเรื่องนี้ได้
มิเช่นนั้น เรื่องภายในจวนจะให้เขาจัดการบนท้องถนนงั้นรึ?
นางเป็นถึงพระชายา จะให้ส่งกลับไปยังจวนแม่ทัพงั้นรึ?
ย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะเช่นนี้จึงทำได้เพียงรอให้นางนอนหลับไปก่อน
แต่พ่อบ้านไร้ประโยชน์นั่นกลับไปหาเข้าจนได้
หนานกงเย่เคาะกระบาลพร้อมกับกล่าวว่า : “ข้าต้องถูกเจ้าทำฉุนเฉียวจนตายเสียในสักวันจริงๆ”
“ท่านอ๋อง หนนี้หนเดียวเพคะ ได้โปรดให้โอกาสอาซิวแก้ตัวด้วยนะเพคะ หากยังทำอีกท่านค่อยลงมืออีกครั้งก็ยังมิสายเพคะ ถือว่าท่านอ๋องตบรางวัลให้หม่อมฉันแล้วกันนะเพคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นพูดไปพลางจะคุกเข่าลง แต่หนานกงเย่คว้านางไว้ : “อย่ามาใช้วิธีนี้กับข้า เจ้าจะคุกเข่าต่อข้าจริงๆงั้นหรือ?”
“……ท่านอ๋อง หากข้าคุกเข่าต่อท่าน ท่านจะไม่เอาความงั้นรึ?”
ฉีเฟยอวิ๋นจ้องไปยังดวงตาของหนานกงเย่ จากการอยู่ร่วมกันของพวกเขาหลายวัน ฉีเฟยอวิ๋นเองก็เริ่มรู้สึกถึงอารมณ์ของชายผู้นี้แล้วเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเกลียดชังเจ้าของร่างเดิมจริง แต่บัดนี้ เขาก็ดีต่อนางไม่น้อย นุ่งดีกินดี น้ำเสียงก็อ่อนโยน ไม่ว่าเรื่องอะไร เขาก็ตามใจนางเสมอ
เรื่องวันนี้เป็นเรื่องใหญ่นัก แต่ทว่า หากนางวุ่นวายขึ้นมาจริงๆ ไม่แน่อาจจะหลอกต่อไปได้
จ้องมองกันครู่หนึ่ง หนานกงเย่ก็ลุกขึ้นเตะเก้าอี้ จากนั้นก็เดินจากไปอย่างไม่ลังเล
ฉีเฟยอวิ๋นหันไปมองตามแผ่นหลังของหนานกงเย่ที่เดินจากไป รีบเดินไปไวเช่นนั้น เกรงว่าจะมีผู้ใดมาเห็นใบหน้าอันหมดหนทางหรืออย่างไรกัน?
เหตุใดจึงต้องทำตัวโหดเหี้ยมราวกับหมาป่า ทั้งๆที่ตนไม่ได้เป็นเช่นนั้นกัน?
ไม่สนใจว่าหนานกงเย่จะเดินไปไวเพียงไหน ฉีเฟยอวิ๋นก็รีบไปดูอาซิวทันที บนร่างของอาซิวเต็มไปด้วยแผลจากกริช หากไม่รีบจัดการให้ไวคงได้ตายสถานเดียวแน่
ฉีเฟยอวิ๋นก้มลงพยุงอาซิว แต่ทว่าอาซิวเกลียดชังนาง จึงได้ผลักนางออก : “ออกไป คนชั่ว!”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่ทันตั้งตัว จึงล้มลงไปกับพื้น
อาอวี่อยากจะลุกขึ้นให้ไว แต่ทว่าแขนของเขาออกแรงได้ไม่มากนัก จึงทำได้เพียงกังวล : “พระชายา”
หงเถา ลี่ว์หลิ่วรีบเข้าไปพยุงฉีเฟยอวิ๋นขึ้นมาโดยไว ฉีเฟนอวิ๋นปัดมือ ไม่ได้ถือสาอะไร : “ลุกขึ้นเถอะ ผู้ใดที่ไม่มีเรื่องอันใดแล้ว ก็เชิญกลับได้เลย”
ไม่มีผู้ใดกล้าขัด ต่างพากันลุกขึ้นและแยกย้ายกันไปโดยไว
ทังเหอกับพ่อบ้านเดินมาดูฉีเฟยอวิ๋นพร้อมกัน สีหน้ารู้สึกผิดที่นำพระชายาเข้ามาเกี่ยวพันกับเรื่องนี้ด้วย
“ พระชายา อาซิว……” พ่อบ้านพูดไม่ออก ฉีเฟยอวิ๋นเองก็ไม่อยากฟังนัก เรื่องดำเนินมาถึงตอนนี้แล้วพูดไปก็เปล่าประโยชน์
“ไม่ต้องพูดแล้วล่ะ ข้ารู้ว่าพวกเจ้าทำไปก็เพื่ออาซิว”
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่อาซิว อาซิวที่เลือดอาบเต็มตัวจ้องฉีเฟยอวิ๋นอย่างโกรธแค้น
ราวกับว่าเขาจะยอมทำทุกอย่าง เพียงแค่ฆ่าฉีเฟยอวิ๋นเสีย
“ข้ารู้ว่าเจ้าเกลียดชังข้า อยากแก้แค้นข้า ก็จะให้โอกาสเจ้าได้แก้แค้น นี่เป็นยาห้ามและยาสมานแผล เจ้าอยากฆ่าข้าเมื่อใดก็ย่อมได้ แต่ข้าหวังว่าเจ้าจะมาอย่างเปิดเผย มิใช่มาอย่างลับๆล่อๆเช่นนี้
ข้าเสียใจนักที่ทำร้ายคนรักของเจ้า แต่ข้าจะไม่เบี่ยงความรับผิดชอบ เจ้ามาหาข้าเมื่อใดก็ย่อมได้ ข้าจะรอ หากข้ากลัวเจ้า ข้าก็ไม่แซ่อัน
อย่างไรก็ตาม หากเพียงความกล้าที่จะแก้แค้นข้าอย่างเปิดเผย เจ้ายังทำไม่ได้ล่ะก็ เจ้าเป็นชายแบบใดกัน?”
กล่าวสิ้น ฉีเฟยอวิ๋นก็เดินสะบัดออกไป
อาอวี่ยื่นมือเข้าไปพยุงอาซิว แต่ก็ถูกอาซิวผลักออก
“นางเป็นน้องสาวของเจ้านะ เหตุใดเจ้าถึงไม่แก้แค้นให้นางกัน?” อาซิวตะโกนอย่างโกรธ ฉีเฟยอวิ๋นหันกลับไปมอง อาอวี่มองอาซิวอย่างเจ็บปวด
หงเถา ลี่ว์หลิ่วกลัวว่าจะเกิดเรื่อง จึงรีบพาฉีเฟยอวิ๋นออกจากลานหลังจวนไป
หลังจากออกจากลานหลังจวนไป ฉีเฟยอวิ๋นยังคงไม่วางใจนัก ยืนมองอยู่หน้าประตู
อาซิวไม่รับยาพวกนั้น คิดอยากจะลุกเดินจากไป แต่ขณะที่คิดอยากจะลุกเดินจากไปนั้น ก็เกิดอาการมึนหัวแล้วล้มเป็นลมลงไป เนื่องจากแผลบนตัว
ฉีเฟยอวิ๋นไม่รีบกลับสวนดอกกล้วยไม้ รีบวิ่งเข้าไปยังลานหลังจวน
อาอวี่เห็นฉีเฟยอวิ๋นก็รีบกล่าว : “พระชายา ช่วยอาซิวด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ฉีเฟยอวิ๋นนั่งลงและรีบดูอาการ อาซิวยังมีลมปราณอยู่
“ทังเหอ พ่อบ้าน ช่วยนำตัวอาซิวไปที่ห้องที”
ทังเหอและพ่อบ้านนำตัวอาซิวเข้าไปในห้อง ฉีเฟยอวิ๋นพับแขนเสื้อขึ้น และจัดการกับบาดแผลบนตัวอาซิวด้วยตัวเอง
“หงเถา เจ้ารีบไปหยิบกล่องยาที่ห้องข้าเร็ว ให้ไวนะ ข้าจะเย็บแผลให้เขา”
หงเถาไม่เข้าใจโดยทันที แต่ก็รีบวิ่งไปเช่นกัน
“ลี่ว์หลิ่ว น้ำ น้ำร้อน”
“เจ้าค่ะ”
ลี่ว์หลิ่วยกกระโปรงขึ้น รีบวิ่งไป
พ่อบ้านกระวนกระวายใจ : “พระชายา ต้องช่วยให้ได้นะพ่ะย่ะค่ะ!”
“คุณชายทัง ตามหมอประจำจวนมาเร็ว จากนั้นก็ไปที่โรงเก็บยาสมุนไพรหยิบโสมซานชี จื่อจูเฉ่า เสี่ยวจี๋ ตังกุย อู่เป้ย์จื่อ ดินชื่อสือ เปลือกทับทิม หนังเม่น และกระดองหมึก……”
“พระชายา ข้าน้อยจำไม่ได้ รอเดี๋ยวนะพ่ะย่ะค่ะ” ทังเหอรีบกัดนิ้วของตัวเอง แล้วรีบจดยาสมุนไพรที่ต้องการไว้บนเสื้อของตน
พ่อบ้านตกใจจนตัวสั่น ยืนต่อไปไม่ไหวจึงนั่งลงกับพื้น
อาอวี่เป็นกังวล : “พระชายา แขนของข้า”
“เจ้ารอที่หน้าประตูก่อน เมื่อหมอประจำจวนมาถึง เจ้าก็รีบต้มยาเลยนะ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ฉีเฟยอวิ๋นออกคำสั่งไปพลางดึงเสื้อของอาซิวไปพลาง กริชที่อยู๋บนตัวฉีเฟยอวิ๋นดึงมันออกภายในพริบตา คนเจ็บไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย เพราะเหลือลมปราณเพียงน้อยนิดแล้ว
เลือดไหลเต็มพื้น น่าตกใจนัก
ลี่ว์หลิ่วหยิบน้ำร้อนมาให้ ฉีเฟยอวิ๋นถอดกี่เพ้าอันใหญ่และกว้างออกโดยทันที ช่างลำบากนัก
เมื่อจัดเสื้อของตัวเองแล้วเสร็จ ก็รีบนำผ้าขาวบางมาจัดการกับบาดแผลบนตัว
หงเถานำกล่องยาไปถึงฉีเฟยอวิ๋นก็จัดการกับบาดแผลไปได้ไม่น้อยแล้ว เปิดกล่องยาออกและหยิบเข็มปักดอกไม้เบอร์ใหญ่ออกมา สอยด้ายเข้าไปและเริ่มเย็บแผล
การกระทำเช่นนั้น ทำเอาหงเถา ลี่ว์หลิ่วตกใจแทบเป็นลม
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าว : “กลัวก็ออกไปรอข้างนอก”
“ไม่ ไม่กลัวเจ้าค่ะ!” หงเถาตอบอย่างตัวสั่น นางกลัวมิได้อันขาด ตามติดพระชายาจะมีชีวิตที่ดี เพราะพระชายาเป็นคนดี
ลี่ว์หลิ่วมิกล้าออกเสียง เหลือเพียงตัวสั่นอย่างเดียว
หมอประจำจวนมาถึงในไม่ช้า เมื่อเห็นสภาพของอาซิวและฉีเฟยอวิ๋นที่กำลังใช้เข็มเย็บแผลอยู่นั้น ก็ตกใจกันไม่น้อย
แต่พระชายามีทักษะทางการแพทย์ดุจดั่งเซียน แม้แต่คนบ้าก็ยังรักษาหายได้ ไม่แปลกใจเลย
หมอประจำจวนยกมือขึ้นและใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อบนใบหน้าของตัวเอง
“พระชายา ข้าน้อยรอคำสั่งเจ้าค่ะ”
“เหลือหนึ่งท่านไว้ต่อกระดูกให้กับอาอวี่ ส่วนอีกท่านให้มาช่วยข้า”
เมื่อได้รับคำสั่ง หมอประจำจวนทั้งสองก็แยกย้ายกันไป ฉีเฟยอวิ๋นเองก็ดำนินการได้ง่ายดายมากขึ้น แต่การเย็บแผลก็ใช้เวลาไปนานเช่นกัน เม็ดเหงื่อของฉีเฟยอวิ๋นก่อตัวกันเป็นก้อนใหญ่เข้าด้วยกัน
หมอประจำจวนรีบนำผ้าเช็ดหน้าสะอาดมาเช็ดให้ฉีเฟยอวิ๋นช้าๆ
เมื่อหนานกงเย่มาถึง ก็เห็นภาพนั้นพอดี สีหน้าก็แย่ลงไม่น้อย เขาเดินเข้าไปดึงผ้าเช็ดหน้าออกจากมือหมอประจำจวน จากนั้นก็เช็ดหน้าให้กับฉีเฟยอวิ๋นด้วยตัวเอง
หมอประจำจวนทำความเคารพอย่างร้อนรน แต่หนานกงเย่มิได้สนใจนัก กลับหันไปว่าฉีเฟยอวิ๋น : “ข้ามองเจ้าต่ำไปจริงๆ!”
“……” ฉีเฟยอวิ๋นไม่สนใจเท่าไหร่นัก ตั้งใจเย็บแผลต่อไป
หนานกงเย่เช็ดเหงื่อให้นาง และจ้องใบหน้าที่แดงไปครึ่งหนึ่งของนาง
เห็นได้ชัดว่าเหนื่อยจนจะล้มลงไปแล้ว
ร่างกายนี้ ไม่สามารถทรมานต่อไปได้
ก่อนหน้าก็ทำเรื่องนั้นไป ย่อมอ่อนเพลียอยู่แล้ว
“ให้หมอประจำจวนเย็บต่อ”
หนานกงเย่ทนไม่ได้ที่จะเอ่ยปากออก ฉีเฟยอวิ๋นนั้นรับฟังสิ่งที่หนานกงเย่พูด แต่ก็ส่ายหัว : “คราวหน้าเถอะเพคะ คราวนี้ไม่ได้จริงๆ”
ในตอนแรกฉีเฟยอวิ๋นเองก็ตั้งใจจะให้หมอประจำจวนมาช่วยเช่นกัน แต่พอเห็นสีหน้าหวาดกลัวของหมอประจำจวนแล้ว นางก็รู้ได้ทันทีว่าคาดหวังไม่ได้เสียแล้ว
หนานกงเย่มอง : “อีกนานแค่ไหน?”
“ไม่ทราบเพคะ แต่ใกล้แล้วเพคะ!”
หนานกงเย่รีบร้อนแต่ก็ช่วยเหลือไม่ได้ เขาเหลือบมองไปที่อาซิว ตายไปก็ไม่น่าสงสารหรอก
“หมอ ดูให้ทีว่ามีโสมซานชีอยู่เพียงใด จากนั้นก็รีบบดให้เป็นผง ข้าจะประมาณเอา”
“เจ้าค่ะ”
หมอประจำจวนรีบไปบดโสมซานชี เกรงว่าคนจะไม่เพียงพอ จึงเรียกหมอประจำจวนท่านอื่นให้มาช่วยด้วย
ฉีเฟยอวิ๋นเย็บแผลเป็นเวลาหนึ่งชั่วยามแล้ว เหนื่อยจนหูดังหึ่งๆ
“ลี่ว์หลิ่วนำอาหารมาให้ข้าที ข้าหิวแล้ว”
ลี่ว์หลิ่วตกใจไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันหลังไปหาอาหาร
ฉีเฟยอวิ๋นนำผงโสมซานชีมาโรยบนบาดแผล เพื่อห้ามเลือด และนำผ้าขาวบางให้กับหมอประจำจวน : “พันไว้ และใช้ไม้กั้นระหว่างชั้น”
“เจ้าค่ะ”
หมอประจำจวนรีบพันไว้ ฉีเฟยอวิ๋นเปิดปากของอาซิวออก จากนั้นก็เคี้ยวหญ้าก้นจ้ำขาวและคายออกมายัดเข้าในปากของอาซิว
หนานกงเย่เห็นแล้วชี้ว่า : “หยุดประเดี๋ยวนี้!”