บทที่ 104 ไฟไหม้ลานหลังจวน

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

หนานกงเย่กลับจวนยามค่ำ ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้ไปรับประทานอาหารร่วมด้วย

“พระชายาล่ะ?” ไม่เห็นนางแล้ว หนานกงเย่รู้สึกราวกับขาดอะไรไป

พ่อบ้านลังเลชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวว่า “วันนี้ยุ่งอยู่แต่ที่ลานหลังจวน ไม่ได้ออกมาเลยพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้ยังอยู่ในเรือนพ่ะย่ะค่ะ”

“ใช่หรือ?” หนานกงเย่วางตะเกียบลง เตรียมลุกขึ้นยืน

“ท่านอ๋อง บ่าวไปดูพ่ะย่ะค่ะ”

“ไม่ต้องแล้ว” หนานกงเย่ออกจากห้องรับประทานอาหารไปหาฉีเฟยอวิ๋นอย่างไม่ชักช้า เมื่อถึงสวนดอกกล้วยไม้พลันมองเข้าไปภายในเรือนแล้วพบมีไฟจากตะเกียงสอดส่อง แสดงว่านางอยู่ในนั้น

เคาะประตูพร้อมกับกล่าวว่า “อยู่ไหม?”

“อยู่เพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นยุ่งกับการทำยาสมุนไพรอยู่

หลังหนานกงเย่ผลักประตูเข้าไปแล้วหันกายไปล็อคประตู

ฉีเฟยอวิ๋นล้างมือ นางทำเสร็จแล้วจึงไปหาหนานกงเย่

“กลับมาแล้วหรือเพคะ?” หลังจากที่ทั้งคู่ร่วมหลับนอนกันแล้ว ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ดีขึ้น ยามที่อยู่กันแค่สองคน ฉีเฟยอวิ๋นจะเรียกคำว่า ท่านอ๋องหรือไม่ก็แล้วแต่นางสะดวกเลย

หนานกงเย่เรียกนางว่า อวิ๋นอวิ๋น

“ไยเจ้าไม่ไปกินข้าว?” หนานกงเย่เข้าโอบกอดฉีเฟยอวิ๋น จากนั้นก็ผลักไปยังเตียง

ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้ห้ามปราม เพราะห้ามก็ห้ามไม่อยู่ ร่างกายโน้มตัวลงเตียงด้านหลัง หนานกงเย่ปลดอาภรณ์บนกายออก

สองมือของฉีเฟยอวิ๋นคล้องคอหนานกงเย่ไว้ เพ่งมองเขา “มีเรื่องหนึ่ง ท่านรับปากข้าได้ไหม?”

“เรื่องแต่งตั้งสนมหรือ?” ไม่รู้ว่าสมองกำลังครุ่นคิดสิ่งใดอยู่ ถึงแม้การแต่งสนมเข้าจวนคือสิ่งที่ผู้เป็นอ๋องพึ่งปฏิบัติ ทว่าเขาอยากได้สนมเสียที่ไหนล่ะ

“ไม่ใช่เพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นตอบอย่างหนักแน่น

หนานกงเย่เลิกคิ้ว ปลงแล้วหรือ?

“แล้วเรื่องอันใดล่ะ?”

“เรื่องของอาซิวเพคะ”

หนานกงเย่ชะงักชั่วอึดใจ ทว่าไม่นานก็อุ้มนางเข้าด้านในเตียง ต่อด้วยปล่อยมุ้งลงทำการใหญ่เสียก่อน

หลังเผด็จศึกอย่างหนักหน่วง ฉีเฟยอวิ๋นนอนบนเตียงอย่างเหนื่อยล้า พลางใช้มือลูบบนกายหนานกงเย่เป็นรูปวงกลมซ้ำๆ อันที่จริงนางรู้สึกหิวนิดๆแล้ว เพียงแต่ไม่กล้าสู้รบกับสงครามที่ไม่มั่นใจว่าจะได้รับชัยชนะหรือเปล่า

หากเวลานี้ไม่คว้าโอกาสไว้ให้เหมาะสม เกรงว่าจะขอความเมตตาแทนอาซิวไม่ได้

หนานกงเย่บีบมือเล็กของฉีเฟยอวิ๋นเบาๆ ในใจรู้สึกแรงปรารถนายังลุกโชติช่วง ทว่าร่างกายของนางอ่อนแอนัก หากเอาอีกสักยก เกรงว่านางคงรับไม่ไหว

ได้แต่ข่มกลั้นอารมณ์ไว้

“ข้าหิวแล้ว” ฉีเฟยอวิ่นพึมพำ หนานกงเย่หัวเราะ หลุบตามองสาวน้อยผู้จิ้มลิ้มในอ้อมกอด

“หิวแล้วยังไม่ลงไปทานอีก?” เวลาเขายิ้มคล้ายกับความสดใสในวสันตฤดู ฉีเฟยอวิ๋นมองแล้วรู้สึกความปวดเมื่อยบนกายทุเลาลงไม่น้อย

อดจินตนาการไม่ได้ นอกจากซูมู่หรงแล้ว เขาก็คือบุรุษที่หล่อเหลาที่สุดสินะ

ไม่รู้ว่าหากพวกเขายืนเปรียบเทียบกันแล้วผลจะเป็นเช่นไร?

ทว่าก็รู้สึกขำในใจ บุรุษทั้งสองคนนี้อยู่กับคนละภพคนชาติ จะเปรียบเทียบได้อย่างไร

“ไม่ใช่รอท่านอ๋องมาเชยชมก่อนหรอกหรือ?” ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้น ถึงแม้จะรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย ทว่าเพื่อกินข้าวลงท้อง นางก็ต้องสู้อยู่แล้ว

ดึงผ้านวมออกนิดหนึ่ง ฉีเฟยอวิ๋นตัดสินใจลองเป็นฝ่ายรุกเองบ้าง

หนานกงเย่หอบหายใจถี่กระชั้น “งั้นกินข้าวก่อนหรือไม่?”

“ไม่รีบ”

ไม่ว่าสตรีบนกายจะทำตามใจเช่นไร หนานกงเย่แค่หรี่ตาให้ความร่วมมือเท่านั้น

ฉีเฟยอวิ๋นเล่นไปได้สักพักก็ลุกขึ้นอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด ทันใดนั้นหนานกงเย่ลืมตาขึ้น เห็นนางสวมอาภรณ์เสร็จเดินไปทางประตูเสียแล้ว

“เจ้า?” แล้วที่นางเย้ายวนเขาจนกลายเป็นเพลิงราคะบนร่างกายเขาล่ะ?

ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ “ข้าหิวแล้วต้องไปกินข้าว ท่านอ๋องพิจารณาเรื่องอาซิวด้วยนะเพคะ?”

กล่าวจบ ฉีเฟยอวิ๋นก็เดินออกไป หนานกงเย่โกรธจนไม่มีความคิดอะไรแล้ว ในสมองตอนนี้อยากคิดบัญชีกับฉีเฟยอวิ๋นอย่างเดียว

หลังฉีเฟยอวิ๋นเดินพ้นประตูธรณีก็ไปยังห้องรับประทานอาหารทันที และมีหนานกงเย่ตามมาติดๆ

เขาเดินเข้าไปถลึงตาใส่ฉีเฟยอวิ๋นแวบหนึ่ง พลันสะบัดเสื้อนั่งมองฉีเฟยอวิ๋น

ฉีเฟยอวิ๋นยกถ้วยทานข้าว

“อร่อยไหม?” หนานกงเย่ถามเย็นเยียบ

“อร่อยเพคะ ท่านอ๋องชิมดูเพคะ แตงอันนี้หอมอร่อยมากเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นป้อนแตงไปยังปากของหนานกงเย่ อารมณ์ฉุนเฉียวของหนานกงเย่ก่อนหน้าลดลงกว่าครึ่ง เขาอ้าปากกินแตงที่นางป้อนให้

ปกติกินแตงก็ไม่ได้รู้สึกวิเศษวิโสแต่อย่างใด ทว่าวันนี้กินแตงที่นางป้อนแล้วรู้สึกรสชาติไม่เหมือนกันเลย

“ท่านอ๋องทานข้าวเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวต่อ หนานกงเย่ยกถ้วยหยิบตะเกียบกินข้าวอย่างเชื่อฟัง

ทั้งสองนั่งรับประทานอาหารคนละฝั่ง ช่างเป็นทัศนียภาพที่งดงามละลานตายิ่ง นางอยากหัวเราะเสียงดังลั่นเหลือเกิน

ยังเป็นท่านอ๋องในอดีตหรือไม่ ยามนี้เชื่อฟังขนาดนี้เชียว

หลังทานข้าวเสร็จ ฉีเฟยอวิ๋นกลับไปยังสวนดอกกล้วยไม้ เมื่อใคร่ครวญสักพัก นางตัดสินใจพูดเปิดอกคุยกับท่านอ๋องถึงเรื่องอาซิว

“ข้ายังมีธุระ กลับเถอะ” ไม่รอให้ฉีเฟยอวิ๋นเอ่ยปากพูด หนานกงเย่ก็หันกายเดินออกจากสวนดอกกล้วยไม้เสียแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นอึ้ง คิดจะหนีแล้วหรือ?

เห็นทีคงสะสางเรื่องอาซิวยาก นางอุตส่าห์ลงทุนลงแรง แต่หนานกงเย่ก็ไม่ติดกับ ยุ่งแล้วสิทีนี้

เดิมทีคิดจะรอหนานกงเย่กลับมา สุดท้ายที่อยู่ในสภาวะอิ่มหนำสำราญก็หลับใหลโดยไม่รู้ตัว

ทว่าฉีเฟยอวิ๋นนอนไม่นานก็มีคนปลุกให้ตื่น

“พระชายา พระชายาพ่ะย่ะค่ะ……” พ่อบ้านทุบประตูแรงๆ ประหนึ่งเกิดเรื่องเร่งด่วนสุดแสนขึ้น

บานประตูถูกทุบจนเกือบเปิดออกแล้ว แม้นฉีเฟยอวิ๋นจะหลับลึกกระทั่งฟ้าร้องฟ้าผ่าก็ไม่ตื่น แต่เวลานี้ก็ควรตื่นแล้ว

ฉีเฟยอวิ๋นออกจากห้วงนิทราด้วยความตื่นตระหนก สะดุ้งตกใจกับเสียงเรียกของพ่อบ้าน นางมองดูตัวเองเห็นว่าสวมอาภรณ์อยู่ จึงลงจากเตียงแล้วไปเปิดประตูห้องทันที

“พ่อบ้าน” ฉีเฟยอวิ๋นมองสำรวจพ่อบ้าน พ่อบ้านมีเหงื่อท่วมหัว สีหน้าร้อนรนเจียมจะร้องไห้อยู่แล้ว

ตอนที่มีคนเคาะประตู นางได้ยินเสียงเรียก รู้ว่าเป็นพ่อบ้านจึงไม่รู้สึกประหลาดใจหลังเจอหน้า

แต่ด้วยใบหน้ากระวนกระวายดุจเสือติดจั่นของพ่อบ้าน ทำให้ฉีเฟยอวิ๋นแปลกใจเล็กน้อย “ท่านมีอะไรหรือ?”

“พระชายา ท่านอ๋องกำลังจัดการอาอวี่กับอาซิวอยู่หลังจวนพ่ะย่ะค่ะ ทรงรีบไปดูเถอะ”

พ่อบ้านกล่าวจบแทบอยากดึงฉีเฟยอวิ๋นไปให้รู้แล้วรู้รอดเลย ฉีเฟยอวิ๋นรีบวิ่งไปยังลานหลังจวนทันที

บัดนี้ลานหลังจวนมีแสงไฟสว่างจ้า

ที่ลานบ้านมีคนคุกเข่าบนพื้นหลายชีวิต ซึ่งรวมไปถึงทังเหอด้วย

ไม่มีผู้ใดหนีรอด ล้วนคุกเข่าอยู่กับที่ บริเวณรอบๆมีคบเพลิงเสียบบนท่อนไม้

ฉีเฟยอวิ๋นยืนนิ่งตรงประตูชั่วครู่ กวาดสายตามองไปก็เห็นหนานกงเย่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือ ในมือถือขวดน้ำไว้

เขาสวมอาภรณ์สีน้ำเงิน ใช้ผ้าคลุมไหล่ขนจิ้งจอกตัวใหญ่ กำลังหลุบตามองด้านล่างอยู่ โดยจัดวางน้ำมันหอมระเหยบนโต๊ะด้านข้างเขา

ลานบ้านอันกว้างขวางแห่งนี้ น้ำมันหอมระเหยดูแปลกตาพิกล หากอยู่ในห้อง แม้นห้องจะใหญ่เพียงใด กลิ่นน้ำมันหอมระเหยก็จะเกิดผล ทว่าตรงนี้คือลานหลังจวนของท่านอ๋อง ภายในจวนอ๋องมีเรือนน้อยใหญ่มากๆจนนับไม่ถ้วน ซึ่งส่วนใหญ่ลานหลังบ้านของทุกเรือนถือว่ามีเนื้อที่มากที่สุด และรวมถึงใหญ่กว่าพื้นที่หน้าจวนด้วย

ในลานหลังจวนที่กว้างใหญ่เพียงนี้ หนานกงเย่จัดวางชุดโต๊ะเก้าอี้สำหรับหนึ่งคนไว้ ทั้งยังวางน้ำมันหอมระเหยบนโต๊ะอีกต่างหาก นี่น้ำมันหอมระเหยนะ ไม่ใช่ติ่ง(กระถางทองสัมฤทธิ์) ตั้งวางแล้วจะเกิดประโยชน์อันใด?

ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้ตกใจจนคางหลุดก็ดีถมแล้ว นี่กำลังเล่นอะไรอยู่?

ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปเบื้องหน้าก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังคุกเข่าบนพื้น มีเพียงเขาผู้เดียวที่กำลังกอดขวดน้ำนั่งแบบกึ่งนอนกึ่งตื่น เพราะสีหน้าเรียบเฉยมาก ดูคล้ายว่าเขาจะหลับลึกแล้ว ทว่าเขายังคงใช้นิ้วดีดขวดน้ำอันประณีตเบาๆด้วย ทำให้รู้ว่าเขาไม่ได้นอนหลับ คลับคล้ายว่ากำลังเล่นอยู่

ตั้งแต่ที่รู้จักกันมา ฉีเฟยอวิ๋นพึ่งเคยเห็นหนานกงเย่เป็นเช่นนี้ครั้งแรก ช่างไม่คุ้นเคยและลุ่มลึกมากมาย

ชั่วอึดใจนั้น นางเองก็ตอบสนองไม่ทัน

เดินไปเบื้องหน้าแล้วก็ยืนเงียบงัน

ทว่านางมาถึงเบื้องหน้าหนานกงเย่ถึงได้กลิ่นคาวเลือดสด จึงรู้ว่าน้ำมันหอมระเหยมีไว้เพื่อกลบกลิ่นคาวเลือดพวกนี้

ก้มหน้ามองพลันเห็นมีดทิ่มแทงอยู่บนกายของอาซิว

เขาใกล้ไม่ไหวแล้ว กำลังหลับตาคล้ายกับเหลือลมหายใจเฮือกสุดท้าย

ส่วนอาอวี่นั้น แขนข้างหนึ่งของเขาหักเสียแล้ว

ฉีเฟยอวิ๋นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่าบัดนี้ สำหรับเรื่องอาซิวทำร้ายนาง เดิมทีนางคิดว่าหนานกงเย่แค่ไม่รับปากให้อภัยเขา คาดไม่ถึงว่าเขาจะจัดการอาซิวที่นี่

“ท่านอ๋อง” ฉีเฟยอวิ๋นปรับอารมณ์ เริ่มเอ่ยปากพูด

“ไม่ใช่ให้เจ้านอนแล้วหรือ มาทำไม?” หนานกงเย่รู้สึกหดหู่ยิ่ง เงยหน้ามองพ่อบ้านที่ยืนอยู่ด้านหลัง

เกิดเสียงโครม พ่อบ้านคุกเข่าลงกับพื้น

“ท่านอ๋องปล่อยอาซิวไปเถอะพ่ะย่ะค่ะ บ่าวมีบุตรชายแค่เขาคนเดียวพ่ะย่ะค่ะ” พ่อบ้านโขกศีรษะเต็มแรงเหวี่ยง ทำให้ฉีเฟยอวิ๋นสะดุ้งตกใจอย่างสุดแสน

หนานกงเย่ไม่ได้กล่าวสิ่งใด ฉีเฟยอวิ๋นมองอาซิวแวบหนึ่ง จากนั้นก็ละสายตามองไปยังพ่อบ้าน

“หากไร้กฎระเบียบทุกอย่างก็จะไม่สมบูรณ์ เมื่อทำผิดแล้วก็ต้องลงทัณฑ์ตามกฎของจวน พระชายาพึ่งแต่งเข้าจวนยังไม่รู้กฎระเบียบของจวนดีนัก พวกเจ้ากล้าลบหลู่เบื้องสูง คิดว่าข้าไม่เป็นวัตถุหรือไร? หลอกลวงพระชายาก็เท่ากับหลอกลวงข้า คิดว่าข้าหลอกง่ายอย่างนั้นหรือ?”

หนานกงเย่ยื่นขวดน้ำในมือให้ฉีเฟยอวิ๋น ซึ่งขวดน้ำนี้ทำมาจากทองแดง ประณีตยิ่งนัก ฉีเฟยอวิ๋นรับมากอดไว้ จึงรู้สึกถึงความอุ่น ที่แท้ก็มีไว้สำหรับให้ความอบอุ่นแก่มือของเขานี่เอง

หนานกงเย่ปัดอาภรณ์ของตน ก่อนจะกล่าวว่า “นับจากวันนี้ทุกอย่างในจวนอ๋องให้พระชายาเป็นผู้ควบคุมดูแล แต่ตอนนี้ข้าจะสะสางเรื่องบุญคุณความแค้นของข้ากับพระชายาตอนเข้าจวนอ๋องก่อน วันหน้าพระชายาจะได้อยู่ในจวนอ๋องได้อย่างสบายใจ ไร้คนย่ำยี”

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกทุกข์ทนแต่ก็ไม่อาจเอ่ยออกมาได้ ไม่เท่ากับเป็นการสร้างศัตรูให้นางหรอกหรือ

“ท่านอ๋องเพคะ มีอะไรค่อยคุยกันพรุ่งนี้นะเพคะ? ยามนี้มืดมากแล้ว อากาศหนาวและมีหยดน้ำค้างมาก เกรงว่าจะเสียสุขภาพได้เพคะ”

ฉีเฟยอวิ๋นเป็นฝ่ายเอ่ยก่อน มิฉะนั้นนางก็ไม่อาจผันเปลี่ยนได้อีกเลย

“พระชายาพูดถูก หงเถารีบส่งพระชายากลับไป อย่าให้นางหนาว” หนานกงเย่ยิ้มอ่อนโยนให้ฉีเฟยอวิ๋น ทว่ากลับทำให้ฉีเฟยอวิ๋นขนลุกซู่

คนนี้กำลังเกรี้ยวกราดอยู่อย่างฉายชัด

โกรธเรื่องที่นางขังอาซิวไว้

“ท่านอ๋องเพคะ งั้นข้าก็ขอคุกเข่าด้วยคน”

ฉีเฟยอวิ๋นทำท่าเตรียมคุกเข่า หนานกงเย่ประคองนางขึ้น “ลุกขึ้น”

ถ้อยคำนี้เจือความหงุดหงิดไว้ในที ทั้งยังดังกังวานและเปี่ยมไปด้วยพลังอีกด้วย

ฉีเฟยอวิ๋นถูกดึงเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนฉับพลัน

ต่อหน้าคนมากมายต้องหน้าแดงปลั่งอยู่แล้ว

ทว่าชีวิตคนสำคัญ สนใจอะไรมากไม่ได้

ฉีเฟยอวิ๋นเงยหน้ามองหนานกงเย่ “ท่านอ๋องเพคะ อย่างนี้ดีไหมเพคะ ตอนนี้ท่านมอบอำนาจดูแลจวนให้ข้าเดี๋ยวนี้เลย ข้าจะจัดการเรื่องนี้โดยที่ท่านไม่แทรกแซง หากข้าทำได้ไม่ดี ท่านค่อยเข้ามาแทรก”

“……” หนานกงเย่มองอาซิวกับอาอวี่บนพื้น ไม่ได้ตอบกระไร

“งั้นก็ได้ ข้ากลับจวนแม่ทัพแล้วกัน ท่านอ๋องจะลงโทษอย่างไรข้าไม่สน เหมือนกำลังหยอกล้อกับลิงอยู่ มันน่าสนุกตรงไหน อาอวี่ทำเพื่อสหายรัก ข้าคิดว่าอาอวี่ไม่ผิด ตั้งแต่อดีตกาลความภักดีกับความกตัญญูนั้นทำพร้อมกันยาก ซึ่งความภักดีของอาอวี่ที่มีต่อท่านอ๋องฟ้าดินเป็นพยานได้ การเห็นมิตรภาพของเพื่อนพ้องทำให้ข้าเลื่อมใสยิ่งนัก

ความรักของพ่อเหมือนดั่งภูเขา พ่อบ้านดิ้นรนเพื่อลูกชาย เขาก็ไม่ผิด

คุณทังทำเพื่อคิดถึงส่วนรวมเป็นหลัก

หากลงโทษข้ารับใช้เพราะข้าที่ชื่อเสียงฉาวโฉ่ คุณทังคงกลัวกระทบต่อภาพลักษณ์ของท่านอ๋อง

ท่านอ๋องเพคะ ถึงแม้พวกเขาจะผิดบ้าง แต่ก็ไม่ได้ทรยศหักหลังท่านอ๋อง ล้วนมีเจตนาดีกันทั้งนั้น

และข้าทำเรื่องเหี้ยมโหดจริงๆ ไม่ควรทำร้ายน้องสาวอาอวี่โดยไม่ไต่ถามให้รู้แจ้งก่อน

อาซิวเป็นบุรุษ เมื่อคู่หมั้นสิ้นชีพย่อมต้องเจ็บปวดเจียมตายเป็นเรื่องธรรมดา หากเขาไม่แก้แค้นแทนคู่หมั้นยังเป็นลูกผู้ชายอยู่ไหม

หากข้าหายไป ท่านอ๋องจะไม่ตามหาแล้วหรือ?” ฉีเฟยอวิ๋นผละตัวออกจากอ้อนแขน พลางถามหนานกงเย่

หนานกงเย่ไม่ได้ตอบ จ้องฉีเฟยอวิ๋นราวกับคมกริช