เมื่อมาถึงลานหน้าจวน ฉีเฟยอวิ๋นเพิ่งจะได้นั่งลง และยังไม่ทันจะได้จิบชาแม้สักนิด อาอวี่ก็ถามขึ้นมา “พระชายาสงสัยในอาซิวหรือขอรับ?”
ฉีเฟยอวิ๋นยกถ้วยชาขึ้นมาและเป่าไปที่ใบชาบนขอบถ้วยชา ใบชาหมุนวนราวกับว่ายังไม่เต็มใจที่จะตกลงสู่ก้นถ้วย
อันที่จริงแล้วชาถ้วยนี้ไม่ได้มีเพียงใบชาเพียงแค่ใบเดียว แต่ใบชาใบอื่นต่างก็ตกลงสู่ก้นถ้วยไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนที่เหลืออยู่นั้นทำอย่างไรก็ไม่จมลงสักที หากไม่ใช่เป็นเพราะน้ำไม่ดี ก็คงเป็นเพราะชาไม่ดี
สำหรับเธอ แน่นอนเธอเป็นน้ำ แต่อาซิวต่างหากที่เป็นสิ่งที่ไม่ดี
หลังจากจิบชาถ้วยนี้เสร็จ ฉีเฟยอวิ๋นก็วางถ้วยชาลงและตอบอาอวี่ “ถ้าข้าบอกว่าคนที่ลอบทำร้ายในจวนท่านแม่ทัพในคืนนั้นคืออาซิว เจ้าจะทำอย่างไร”
อาอวี่ถอยหลังไปหนึ่งก้าว และมันก็เป็นอย่างที่เขาคิด
“พระชายา ได้โปรดปล่อยอาซิวไปเถอะขอรับ” อาอวี่รู้ว่าหากเรื่องนี้ไปถึงหูของท่านอ๋องเย่ อาซิวจะไม่สามารถมีชีวิตรอดได้
สถานะของพระชายาตอนนี้ไม่เหมือนในอดีตอีกแล้ว หากพระชายาเกิดเรื่องขึ้นตั้งแต่แรก ท่านอ๋องเย่ก็คงไม่ให้ความสำคัญและไม่สนใจไยดีอะไร แต่ตอนนี้ท่านอ๋องเย่ดูแลพระชายาราวกับเป็นไข่ในหิน เรื่องที่อาซิวก่อขึ้นนั้น ท่านอ๋องเย่ไม่มีทางปล่อยไปเฉยๆ โดยไม่ทำอะไรแน่นอน
ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้พูดอะไรในทันที อาอวี่หันหลังกลับไปปิดประตูแน่น แล้วหันกลับมาคุกเข่าลง
“พระชายา อาอวี่ยินยอมที่จะรับผิดชอบทุกอย่างที่เกิดขึ้นขอรับ”
อาอวี่คุกเข่าลงไม่ยอมลุกขึ้น
ฉีเฟยอวิ๋นจัดปัดเสื้อผ้าของเธอและมองออกไปที่อาอวี่ “ไม่ใช่ว่าข้าไม่ยอมปล่อยอาซิวไป แต่หากเรื่องนี้จัดการไม่ดี ต่อให้ครั้งนี้ข้าปล่อยอาซิวไป เขาก็ไม่ยอมยกเลิกความคิดที่จะฆ่าข้าหรอก เขายังคงคิดจะฆ่าข้า และหากเรื่องนี้สร้างความตกใจให้กับท่านอ๋องเย่ คิดหรือว่าท่านอ๋องเย่จะยอมปล่อยไปง่ายๆ ท่านอ๋องอาจไม่เพิกเฉยในเรื่องนี้”
เมื่อคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับแม่นมเมื่อวานนี้ หนานกงเย่มาถามทันทีที่เขากลับมา แสดงว่าหนานกงเย่รู้เรื่องนี้แต่แรกแล้ว
มีเรื่องเกิดขึ้นในจวนท่านอ๋องเย่ที่ไม่สามารถปิดเป็นความลับได้อีก
อาอวี่อยู่ในความงุนงงและถามฉีเฟยอวิ๋นว่า “พระชายา เป็นข้าน้อยเองที่บอกเรื่องของแม่นมกับท่านอ๋องไป พระชายา ตราบใดที่ข้าน้อยไม่พูดออกไป เรื่องนี้จะยังเป็นความลับขอรับ”
“อาอวี่ จวนท่านอ๋องเย่มีคนนับร้อยคน เจ้าไม่พูดเพียงคนเดียว คนอื่นก็พูดขึ้นมา ข้าสามารถรับปากเจ้าได้ว่าจะไม่บอกเรื่องนี้กับท่านอ๋อง แต่ข้าไม่รับปากว่าเขาจะไม่รู้เรื่องนี้ได้”
“อาซิวและน้องสาวของข้าน้อยตกลงกันดิบดี ตอนที่ยังอายุยังน้อยมากอาซิวก็เคยพูดไว้ว่าจะแต่งงานกับน้องสาวของข้าน้อย หลังจากที่น้องสาวของข้าน้อยจากไป อาซิวก็อยากจะตายตามไป ไม่ง่ายเลยที่ข้าน้อยจะยังสามารถทำให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไป หากเขายังคงไม่สำนึกเสียใจ จะต้องไม่จบลงง่ายๆ แน่ พระชายา ข้าน้อยจะไปหาเขา เพื่อไปบอกเขาว่าไม่ต้องให้เขามาแก้แค้นพระชายาแล้ว เรื่องนี้พระชายาไปขอร้องอ้อนวอนกับท่านอ๋อง ท่านอ๋องจะต้องฟังพระชายาแน่ขอรับ” อาอวี่คุกเข่าก้มศีรษะลงกับพื้น
ในทางตรงกันข้าม ฉีเฟยอวิ๋นยิ้มหัวเราะ พวกเขาทั้งหมดเป็นคนดี แต่เธอเป็นคนชั่วร้าย!
ฉีเฟยอวิ๋นยังคงคิดไม่ตก เรื่องนี้จะช่วยดีหรือไม่ช่วยดี หากจะพูดความจริงคือ นำชีวิตของตัวเองมาจัดการปัญหา
แต่เธอไม่ใช่พระแม่มารี จะผิดไหม?
ในที่สุดฉีเฟยอวิ๋นก็ตอบตกลง แต่เธอก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง อาอวี่จึงรีบพูดออกมา “พระชายา ข้าน้อยขอยอมรับผิดทุกอย่าง ข้าน้อยจะบอกว่าเรื่องคืนนั้นเป็นข้าน้อยเองขอรับ”
“อาอวี่ เจ้าคงยังไม่รู้อะไร คืนนั้นที่ข้าออกจากจวนท่านอ๋องไป นอกจากคนในจวนท่านอ๋องแล้ว ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ พูดอีกก็คือว่า อาซิวเป็นบุคคลที่น่าสงสัยมาก เรื่องนี้ข้าสามารถคาดเดาได้ ท่านอ๋องก็สามารถคาดเดาได้เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าข้าปกปิดเรื่องนี้ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้คนต่างรู้ได้อย่างไรว่าเลือดของข้าสามารถช่วยชีวิตผู้คนได้? ในจวนมีคนไม่มากนักที่รู้เรื่องนี้ และคนที่ปล่อยข่าวเรื่องนี้ออกไปจะต้องเป็นคนในจวนอย่างแน่นอน
แต่หากคนร้ายต่างพากันเข้ามา ก็สามารถพูดได้ว่าเป็นเพราะอาซิวปล่อยข่าวออกไป เพื่อต้องการให้คนร้ายมาฆ่าข้า
แต่ตอนนี้หากมองดู ผู้คนที่เข้ามาแต่ละครั้งก็ไม่บ่อยมากนัก คนร้ายต่างก็ไม่มีข่าวลือเกี่ยวกับข้า แต่มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับจวนท่านอ๋องเย่
กล่าวคือ คนแพร่ข่าวไม่ได้แพร่ข่าวไปทั่วปฐพี แล้วปล่อยข่าวลือไปทั่ว แต่ใช้วิธีบอกทีละคน เรียกว่าสมรู้ร่วมคิด
การสมรู้ร่วมคิดกันของเหล่าคนร้ายถือเป็นอาชญากรรมและโทษคือการตัดศีรษะและลงโทษเก้าชั่วโคตรในอาณาจักรต้าเหลียง
แต่ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องรองไม่ได้สำคัญเท่าไรนัก ถ้าอาซิวปฏิเสธที่จะหันหลังกลับ เขาคงไม่สั่งคนให้มาจัดการข้าหรอก
เขารู้ว่าผู้คนมีจิตใจแจ่มใสและไม่มีใครเอาจริงเอาจังกับเขา ในขณะที่ข้าเป็นถึงพระชายาเย่มีเกียรติอย่างสูงศักดิ์ เขาจึงต้องหาวิธีมาจัดการข้า
“เจ้าเข้าใจใช่หรือไม่? หากวันนี้ข้าตอบตกลงกับเจ้าไปแล้วก็เท่ากับว่าข้าเอาศีรษะของข้าออกมาแขวนไว้หน้าประตู เพื่อรอให้เขามารับ”
ฉีเฟยอวิ๋นพูดอย่างสุภาพ และอธิบายเรื่องนี้อย่างละเอียด
อาอวี่ตกตะลึงอยู่พักหนึ่ง แต่ก็ยังไม่สามารถลุกขึ้นได้
ฉีเฟยอวิ๋นจิบชาในมือของเธอและไม่ต้องการพูดอะไรอีก จากนั้นจึงเดินออกจากประตูไป
ภายนอกประตูมีทั้งพ่อบ้านและทังเหอต่างก็อยู่ที่นั่น แต่ฉีเฟยอวิ๋นกลับรู้สึกขบขันเมื่อเห็นชายสองคนนี้ ทำอะไรหรือ? ดูสนุกมากไหม?
เธอตั้งใจที่จะเดินกลับไป แต่ฉีเฟยอวิ๋นถูกทังเหอเรียกให้หยุดลง
“พระชายา”
ฉีเฟยอวิ๋นหันกลับมา ทังเหอรู้สึกลำบากใจ แต่ถึงอย่างไรวันนี้เขาก็ต้องพูดออกมา
“เชิญพระชายาทางนี้ขอรับ” ทังเหอเชิญให้ฉีเฟยอวิ๋นเดินตามเขาไป และฉีเฟยอวิ๋นก็เดินตามเขาไป
เมื่อถึงมุมที่ไกลออกไป ที่นั่นมีบ้านที่ค่อนข้างทรุดโทรมอยู่หนึ่งหลัง ฉีเฟยอวิ๋นเดินตามเขาไปจนถึงหน้าบ้าน ทังเหอยกนิ้วขึ้นชี้ไปตรงหน้าต่างที่ชำรุด ฉีเฟยอวิ๋นมองเข้าไปข้างใน
ภายในห้องไม่ใหญ่มากแต่กลับมืดมาก ดูเหมือนจะมีแค่มีเตียงที่อยู่ในห้อง และมีคนที่กำลังหายใจอย่างยากลำบากนอนอยู่บนเตียง และคนคนนั้นฉีเฟยอวิ๋นก็สามารถมองเห็นได้ นั่นก็คืออาซิว
อาซิวสวมชุดฉีกขาดและถือป้ายไม้ไว้ในอ้อมแขนของเขาซึ่งคือป้ายสถิตวิญญาณผู้ล่วงลับ ฉีเฟยอวิ๋นสามารถมองเห็นได้ชัดเจน
หลังจากผ่านไปไม่ผ่าน ฉีเฟยอวิ๋นก็เข้าใจทุกอย่าง
ความตั้งใจเดิมของทังเหอก็คือต้องการให้ฉีเฟยอวิ๋นขอร้อง
เรื่องภายในจวน อย่างไรเสียหนานกงเย่ก็ต้องรู้เป็นแน่ แต่หากมีคนไปขอร้อง ก็สามารถช่วยอาซิวได้ แต่หากไม่มี อาซิวจะต้องตายอย่างไม่มีข้อสงสัย
สำหรับผู้ที่ขอร้อง สิ่งที่เสียดสีเหน็บแนมก็คือ คนที่ผูกปัญหาขึ้นก็ต้องเป็นคนแก้ปัญหา เธอก็คือคนโง่ที่รับไป
หลังจากที่เข้าใจทุกอย่างแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็เหลือบมองไปที่ทังเหอครู่หนึ่ง และหันหลังเดินกลับไปที่อาอวี่
อาอวี่ยังคงคุกเข่าอยู่ในบ้าน และดูเหม่อลอย
ฉีเฟยอวิ๋นเดินเข้าประตูไป อาอวี่เห็นจึงยืดอกและมองมาที่ฉีเฟยอวิ๋น ทังเหอเดินตามหลังฉีเฟยอวิ๋นเข้ามา
ฉีเฟยอวิ๋นแต่งกายด้วยชุดคลุมสีขาวแม้ว่าเธอจะไม่เดินในท่าที่แกว่งไปแกว่งมา แต่ก็เห็นได้ว่าเธอเดินไม่น่าเกลียด
ฉีเฟยอวิ๋นหันหลังกลับนั่งลงและมองไปที่อาอวี่
“ข้าได้ขอร้องเรื่องนี้กับท่านอ๋องแล้ว เขาจะปล่อยหรือไม่ปล่อยอาซิวไป ข้าก็ไม่อาจรู้ได้ ส่วนเรื่องอื่นนั้น ข้าเป็นชีวิตกับพวกเจ้า ครั้งนี้ก็ถือว่าลืมมันไปเสียเถอะ” ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวพลางนำขวดเล็กๆ หนึ่งขวดออกมาจากแขนเสื้อ
“นี่คือยาถอนพิษ เจ้าเอาไปให้อาซิว บอกไปว่าเจ้าขโมยมา ไม่เช่นนั้นอาซิวคงไม่ใช้ เขาต้องการโกหกเพื่อที่จะได้ยาถอนพิษมา แต่ข้าได้ให้พ่อบ้านนำไปให้แม่นม แต่ยังดีที่เขาไม่ไปแย่งชิงมาอีก ดูแล้วเขายังพอสามารถช่วยเหลือได้”
“แต่จำไว้นะอาอวี่ ข้าเอาชีวิตของข้ามาแลกกับเรื่องแบบนี้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ต่อจากนี้ไปจะไม่มีอีกแล้ว”
หลังจากที่ฉีเฟยอวิ๋นพูดจบ เธอก็ลุกขึ้นและเดินออกไปข้างนอก ภายในใจของทังเหอนั้นรู้สึกไม่ค่อยดีนัก ครั้งนี้มันเกินไปจริงๆ
อาอวี่รีบหยิบยาถอนพิษบนโต๊ะและหันหลังวิ่งออกไปทางลานหลังเรือนเพื่อไปหาอาซิว
เมื่อฉีเฟยอวิ๋นเห็นว่าอาอวี่วิ่งออกไปแล้ว และเหลือบมองไปที่พ่อบ้านที่ยืนอยู่มุมหนึ่ง เธอก็กลับออกไป