บทที่ 304: การขยายตัวครั้งใหญ่ครั้งแรกของยมโลก (3)

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

บทที่ 304: การขยายตัวครั้งใหญ่ครั้งแรกของยมโลก (3)

“ฉินเย่ !” อาร์ทิสตะโกน “อย่า…”

“หุบปากไปซะ !” ฉินเย่เอ่ยขึ้นอย่างทนไม่ไหว ริมฝีปากของอาร์ทิสกระตุกเล็กน้อย จากนั้นนางก็เงียบไปด้วยความเหนื่อยใจ

โดยเหตุผลที่แปลกประหลาดบางประการ มันมีวินาทีหนึ่งที่นางสัมผัสได้ถึง… อำนาจที่ท่วมท้นจากฉินเย่

ระดับการบ่มเพาะของเด็กนี่อยู่ต่ำกว่านาง แต่ทำไมนางถึงสัมผัสได้ถึงพลังอำนาจจากร่างของอีกฝ่ายกัน ?

ฉินเย่หันกลับมาและจ้องมองอสูรศักดิ์สิทธิ์ตรงหน้า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำมาตั้งแต่ก่อตั้งยมโลกแห่งใหม่แวบเข้ามาในหัว และเขาก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำและทรงอำนาจ “ข้าใช้ชีวิตอยู่อย่างสบาย ๆ ในแดนมนุษย์ แล้วเหตุใดปัญหาระหว่างแดนมนุษย์และยมโลกถึงต้องมายุ่งกับข้าด้วย ? หลังจากที่ได้กินเห็นเทียนสุ่ยเข้าไป ข้าสามารถมีชีวิตอยู่ได้ชั่วนิรันดร์ จนกระทั่งโลกนี้จะสูญสลายไป แล้วท่านคิดว่าทำไมข้าถึงต้องอยากได้ตำแหน่งนี้ ?”

ตอนแรกเขาคิดว่าตัวเองจะสามารถทนได้

เพราะอย่างไรแล้ว ประสบการณ์มากมายในแดนมนุษย์ก็ได้ฝึกฝนความอดทนและความทนทานให้ข้าได้อยู่ในระดับที่เหนือมนุษย์อยู่แล้ว

แต่มันเป็นตอนที่ตี้ทิงเริ่มดูถูกความพยายามของเขานั่นเองที่เขาตระหนักได้ว่าตัวเองไม่สามารถทนได้อีกต่อไป !

“และท่านคิดหรือว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเป็นเหมือนกับการเดินเล่นในสวนสาธารณะ ? ตอนที่ข้ายอมรับมันในตอนแรก ท่านรู้หรือไม่ว่าข้าต้องอดทนต่อไม่ความพอใจและความโกรธของเหล่าวิญญาณที่มีต่อข้าเพียงใด ? แต่ข้าก็สามารถผ่านมันมาได้ ! หลังจากนั้นยมโลกก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง รอยยิ้มของประชากรวิญญาณพวกนี้ทำให้ข้ามีความสุข ท่านคิดว่าข้ากำลังพยายามหาผลประโยชน์จากตำแหน่งนี้อย่างนั้นหรือ ?! ท่านคิดว่าชีวิตข้าไม่มีอะไรอื่นให้ทำหรืออย่างไร ?!” เสียงของฉินเย่ดังขึ้นเรื่อย ๆ “ท่านรู้หรือไม่ว่าเหตุผลที่ทำให้ข้าตกลงและยอมแบกรับภาระหน้าที่ในฐานะของจ้าวนรกคืออะไร ? ทั้งหมดมันเป็นเพราะท่านอย่างไรเล่า !!!”

เขายกนิ้วขึ้นและชี้ไปที่ตี้ทิง ด้วยความโกรธที่ครอบงำ เด็กหนุ่มไม่สังเกตเลยว่าเสียงของเริ่มดังกึกก้องไปทั่วดินแดนที่พวกเขาอยู่

มันแทบจะเหมือนกับว่า… ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังสะท้อนคำพูดของเขา

“นี่มัน…” อาร์ทิสผงะไปกับปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาดนี้ แต่ในเสี้ยววินาทีต่อมา ประกายแห่งความดีใจก็ปรากฏขึ้นในแววตาของนางขณะที่มองไปยังฉินเย่ด้วยความเหลือเชื่อ

ตี้ทิงเองก็ตกตะลึงเช่นกัน รูม่านตาของมันหดตัวลงขณะที่มองไปรอบ ๆ ด้วยความเหลือเชื่อ

สืบเนื่องมาจากความเดือดดาลที่กำลังปะทุอยู่ ฉินเย่ไม่ตระหนักเลยว่าเกล็ดที่ตั้งขนบนหลังของตี้ทิงไม่ได้ตั้งขึ้นอีกต่อไป กลับกัน… พวกมันราบเรียบไปตามผิวหนังดังเดิม

เกิดความเงียบปกคลุมไปทั่ว

สิ่งเดียวที่สามารถได้ยินในตอนนี้มีเพียงเสียงลมหายใจที่ฉุนเฉียวของฉินเย่ “หากไม่ใช่เพราะท่าน… ไม่สำคัญหรอกว่าท่านยายเมิ่งจะฝากฝังมันไว้กับข้าหรือไม่ อย่างไรข้าก็จะหลบหนีไปสุดขอบโลกพร้อมกับเศษตราจ้าวนรกอยู่ดี ! เหตุผลเดียวที่ข้ายอมรับหน้าที่จ้าวนรกก็เพราะว่าข้ากลัวว่าท่านจะตื่นขึ้นจากการหลับใหลและฆ่าเราทั้งหมดอย่างเลือดเย็น ! ท่านคิดว่าข้าเต็มใจยอมรับมันหรืออย่างไร ?! ท่านคิดว่าข้าไม่ต้องการที่จะเล่นโทรศัพท์และท่องโลกอินเทอร์เน็ตทั้งวันอย่างนั้นหรือ ?! เหตุใดข้าถึงต้องมารับงานบ้า ๆ นี่ด้วย ?! คนบ้าที่ไหนอยากจะเป็นจ้าวนรกกัน ?!”

ครืน !!!

อาร์ทิสมองไปรอบ ๆ ด้วยความตกตะลึง ยิ่งเสียงของฉินเย่ดังขึ้นเท่าไหร่ ยมโลกแห่งใหม่ก็เริ่มส่งเสียงออกมามากเท่านั้น

นี่ไม่ใช่สิ่งที่ขั้นยมทูตขาวดำจะสามารถทำได้

เพราะอย่างไรแล้ว ไม่ว่าจะเล็กเพียงใด ยมโลกแห่งใหม่ก็ยังเป็นดินแดนที่อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของมันเอง ! หากพูดกันตามความจริง แม้แต่ตี้ทิงก็ไม่สามารถทำให้มันสั่นไหวแบบนี้ได้ !

แต่… ฉินเย่กลับทำได้

“ไม่น่าเชื่อ…” อาร์ทิสยกมือขึ้นปิดปากตัวเองและมองภาพที่น่าเหลือเชื่อด้วยความประหลาดใจ

เหตุการณ์ในอดีตเริ่มฉายชัดเข้ามาในหัวของฉินเย่ ตั้งแต่จุดเริ่มต้นที่เมืองชิงซี มาจนถึงการเดินทางมาที่เมืองเป่าอัน มีเหตุการณ์มากมายเกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา เขาไม่ได้รู้สึกไม่พอใจและก็ไม่ได้รู้สึกมีความสุข อันที่จริง ไม่ว่าเขาจะคิดอย่างไร เขาก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าทำไมเขาถึงตอบตกลงรับตำแหน่งจ้าวนรก รวมถึงความยากลำบากทั้งหมดที่มาพร้อมกับมันไป

อยากได้รับความสนใจอย่างนั้นหรือ ? เช่นนั้นข้าก็ขอพูดให้ชัดเจนก็แล้วกัน พอกันที !

“ท่านรู้หรือไม่ว่ามันต้องใช้เวลานานเท่าไหร่กว่าข้าจะสามารถคุ้นชินกับความรับผิดชอบที่แบกไว้บนหลัง ? แต่ท่านกลับมาทำท่าทีหยิ่งผยองเช่นนี้ต่อหน้าข้าเนี่ยนะ ?” ฉินเย่ลืมตาขึ้นและจ้องไปที่ตี้ทิงด้วยแววตาโกรธเกรี้ยวอย่างไม่ปิดบัง “คิดบ้างหรือไม่ว่าท่านคือใคร ?! ท่านคืออสูรศักดิ์สิทธิ์แห่งยมโลก ! แต่ในขณะที่พวกเรากำลังพยายามอย่างหนักเพื่อสร้างยมโลกขึ้นมาใหม่ ท่านหายไปอยู่ที่ไหน ?”

“ใช่ ข้าอาจจะเป็นแค่ขั้นยมทูตขาวดำในสายตาของท่าน แต่ท่านอยู่ที่ไหนในขณะที่พวกเราไปที่ช่องแคบสึชิมะ ต่อสู้กันอย่างสุดชีวิตเพื่อที่จะทวงสมุดแห่งความเป็นตายกลับคืนมา ?!”

“ท่านเพลิดเพลินอยู่กับความรุ่งโรจน์ของยมโลกมาเป็นเวลานาน ดังนั้นมันจึงเป็นธรรมดาที่ท่านจะมีหน้าที่และภาระผูกพัน ! มันผิดอะไรที่จ้าวนรกองค์ที่สามจะขอพลังหยินจากท่านเล็ก ๆ น้อย ๆ?! ยมโลกล่มสลายไปแล้ว และแดนมนุษย์ก็กำลังตกอยู่ในความวุ่นวาย ท่านสนุกที่จะเห็นมันเป็นเช่นนั้นอย่างนั้นหรือ ?! พวกเราทั้งหมดกำลังคิดหาวิธีและพยายามอย่างหนักในยมโลกแห่งใหม่ แล้วที่ผ่านมาท่านหายไปไหน ?!!”

เสียงของฉินเย่ดังก้องไปทั่วทุกมุมของลิมโบ ราวกับมีผู้คนหลายแสนกำลังตะโกนอยู่ด้านหลัง เขายืดตัวขึ้นความโมโหและเอ่ยต่อ “หากท่านดีจริงอย่างที่ท่านว่า ท่านก็ทำให้ดูสิ ! อย่ามัวแต่นอนและเปิดปากบ่นเช่นนี้ ! หากท่านยังบอกว่าตนเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์แห่งยมโลกอยู่ เช่นนั้นก็เลิกทำตัวเป็นภาระและฉุดรั้งพวกเราเอาไว้ได้แล้ว !”

อาร์ทิสที่ได้ยินเช่นนั้นก็อ้าปากค้างด้วยความสะพรึงกลัว นางรู้ดีว่าฉินเย่นั้นไม่ได้เต็มใจรับหน้าที่ในฐานะของจ้าวนรก แต่นางไม่คิดว่าอีกฝ่าย… จะกล้าระบายทั้งหมดใส่ตี้ทิงแบบนี้

จิตใจของมนุษย์นั้นแปลกยิ่งนัก

ใครก็ตามที่ถูกบังคับให้เปลี่ยนแปลงความตั้งใจของตนเองล้วนต้องมีคำก่นด่าและต่อว่าอยู่ในใจทั้งนั้น ไม่มีใครสามารถยอมรับการเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่มีความไม่พอใจอะไรเลย

นอกจากนี้ มนุษย์นั้นมิใช่นักบุญ แม้แต่ขงจื๊อก็มีช่วงวินาทีแห่งความอ่อนแอเช่นกัน

อาร์ทิสรู้ดีว่าไม่ว่าฉินเย่จะรู้สึกภูมิใจกับงานของตัวเองมากเพียงใด มันก็ยังคงมีร่องรอยของความไม่พอใจติดค้างอยู่ภายในใจของเด็กหนุ่มอยู่ดี มันไม่สามารถมองข้ามได้ว่า… อีกฝ่ายไม่พอใจ !!

เพราะอย่างไรแล้ว ทั้งหมดก็ล้วนเป็นเรื่องของโชคชะตาที่ทำให้เขาได้มายืนอยู่ในจุดที่ตัวเองอยู่ในตอนนี้

ตอนแรกนางคิดว่าหากนางบังคับให้ฉินเย่มีสมาธิกับงานตรงหน้าและทำมันให้สำเร็จ ความไม่พอใจของเขาก็จะมลายหายไปในท้ายที่สุด เพราะอย่างไรแล้ว พลังอำนาจของนิสัยก็ไม่ใช่สิ่งที่สามารถปฏิเสธได้ นอกจากนี้ นางยังสามารถบอกได้ด้วยว่าฉินเย่นั้นค่อนข้างเพลิดเพลินเมื่อเป็นเรื่องของการปกครอง

แต่น่าเสียดาย เพราะนางเองก็ไม่คิดว่าฉินเย่จะพูดทั้งหมดออกไปแบบนั้น

และอีกฝ่ายที่เขาพูดด้วยก็คือตี้ทิง หนึ่งในตัวตนที่ทรงพลังที่สุดในโลก…

ที่สำคัญกว่านั้น นางก็ไม่คิดว่าตี้ทิงจะยอมทนกับคำพูดเช่นนั้น แถมอีกฝ่ายยังหุบเกล็ดกลับไปด้วยความตั้งใจของตัวเองอีกด้วย

“อาร์ทิส ! กลับ !” ฉินเย่ไม่สนใจอสูรศักดิ์สิทธิ์และหมุนตัว เตรียมที่จะจากไป แต่ทันใดนั้นตี้ทิงก็เอ่ยออกมาเสียงเบา “เจ้าหนู… นี่เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะตื่นขึ้นมาในอีกไม่กี่ร้อยปี ทำลายยมโลกจำลองของเจ้าทิ้งและแต่งตั้งผู้ที่ข้าเห็นสมควรให้ขึ้นมาปกครองยมโลกแทนเจ้าเลยอย่างนั้นหรือ ?”

“อย่างที่ข้าเคยพูดไปเมื่อครู่นี้ หากท่านยังคิดว่าตัวเองเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ของยมโลกอยู่ไม่ว่าในแง่มุมใดก็ตาม ท่านก็จะไม่ทำ และท่านก็จะไม่มีทางกล้าทำ !” ฉินเย่เอ่ยออกมาพร้อมกับส่งเสียงฮึดฮัดก่อนที่ทั้งเขาและอาร์ทิสจะกลับไปยังยมโลกทันที

ทุกอย่างตกสู่ความเงียบอีกครั้ง

จนกระทั่งร่างของทั้งคู่ได้หายไปและเหลือเพียงตี้ทิงเท่านั้นที่มองไปรอบ ๆ อย่างหวาดระแวง “คำตักเตือนจากสวรรค์อย่างนั้นหรือ ?”

“จิตสังหารของข้าเมื่อครู่นี้… สร้างความไม่พอใจให้กับสวรรค์เช่นนั้นหรือ ?”

“เป็นไปไม่ได้… เช่นนี้ก็หมายความว่า… พวกเขายอมรับหรือ ?”

สวรรค์จะต้องจับตาดูฉินเย่อยู่อย่างแน่นอน พวกเขาไม่มีทางปล่อยให้เกิดความผิดพลาดได้

เด็กหนุ่มเข้ารับตำแหน่งว่าที่จ้าวนรกองค์ถัดไป และสวรรค์ก็จับตาดูไม่ห่าง แต่พวกเขา… กลับยอมรับฉินเย่น่ะหรือ ?

“เป็นไปได้อย่างไร…” พลังหยินด้านล่างเริ่มหนาขึ้นอีกครั้ง มันก่อตัวเป็นกลุ่มเมฆที่ลอยปกคลุมร่างของตี้ทิงเอาไว้ “ในอีกความหมายก็คือแม้แต่สวรรค์ก็เชื่อว่าเขาจะสามารถฟื้นคืนยมโลกให้กลับไปสู่ยุคสมัยอันรุ่งโรจน์ได้ ? แต่เขามีความกล้าพออย่างนั้นหรือ ? เขามีความฉลาดเพียงพอที่จะทำเช่นนั้นอย่างนั้นหรือ ? เจ้ามนุษย์ผู้อ่อนแอที่ขาสั่นตั้งแต่เริ่มเผชิญหน้ากับปัญหานั่นน่ะหรือ ?!”

“ข้าไม่เชื่อ… ข้าไม่เชื่อเด็ดขาด !!!”

………

ฟึ่บ… กลุ่มก้อนพลังหยินสั่นเทาเล็กน้อย และเมื่อฉินเย่ลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขาก็พบว่าตนกลับมาที่ยมโลกแห่งใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

มันเป็นตอนนั้นเองที่เขารู้สึกถึงความเย็นยะเยือกที่ไล่ไปตามกระดูกสันหลังของตัวเอง เด็กหนุ่มสูดหายใจเข้าช้า ๆ และเริ่มตบปากของตัวเองเบา ๆ “เจ้าปากนี่ ! ใครบอกให้แกพูดออกไปแบบนั้น ! มันอาจจะรู้สึกดีอยู่ครู่หนึ่ง แต่แกจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต ! ทีนี้เราจะหนีไปไหนได้เมื่อตี้ทิงตื่นและออกมาจากลิมโบ ? อ๊ากกกก ทำไมถึงรู้สึกเหมือนนาฬิกาแห่งความตายกำลังเริ่มนับถอยหลังแล้วแบบนี้ !”

“รู้ตัวแล้วหรือว่าพูดอะไรออกไป ?” อาร์ทิสเอ่ยหยอกอีกฝ่ายจากกลุ่มก้อนเมฆสีดำด้านบน “กล้าดีจริง ๆ …จากตลอดหลายปีที่ข้าอยู่ในยมโลกแห่งเก่า นี่คือครั้งแรกที่ข้าเห็นคนพูดกับท่านตี้ทิงแบบนั้นและยังรอดชีวิต”

มือของฉินเย่ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะถามออกมาด้วยความไม่แน่ใจนัก “แล้วถ้า… ถ้าข้ามอบเลือดจำนวนมหาศาลให้กับท่านตี้ทิงและขอให้อีกฝ่ายยกโทษให้ ท่านคิดว่ามันจะได้ผลหรือไม่ ?”

“ให้ตายเถอะ…” กลุ่มก้อนพลังหยินด้านบนนั้นหนาจนปิดบังสีหน้าของอาร์ทิสไปจนหมด แต่ถึงอย่างนั้นฉินเย่ก็สามารถเดาสีหน้าของอีกฝ่ายได้จากน้ำเสียงที่เอ่ยออกมา อาร์ทิสสูดหายใจเข้าช้า ๆ และข่มความโกรธภายในใจของตน “ไม่ต้องห่วง ตั้งใจทำหน้าที่ของเจ้าในฐานะจ้าวนรกต่อไป มัน… ยังไม่กล้าทำอะไรกับยมโลกแห่งใหม่ในตอนนี้แน่”

“จริงหรือ ?”

“จริง”

“ท่านแน่ใจหรือไม่ ?”

“…ข้าแน่ใจ !!!” อาร์ทิสกัดฟันกรอด ให้ตายเถอะ… ช่วยรักษาท่าทางยิ่งใหญ่ของเจ้าให้นานกว่านี้สักนิดได้หรือไม่ ? …ทั้ง ๆ ที่หัวใจของข้ายังเผลอเต้นเร็วขึ้นกับท่าทีพวกนี้ไปครู่หนึ่ง ข้านี่งี่เง่าจริง ๆ!

ฉินเย่ลูบอกของตัวเองและถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ทันใดนั้นเอง แสงสว่างก็ส่องออกมาจากกลุ่มก้อนหนาทึบ

“เตรียมตัวให้ดี” เสียงของอาร์ทิสเคร่งขรึมขึ้น “การขยายตัวครั้งแรกของยมโลกเสร็จสมบูรณ์แล้ว จงดูบ้านหลังใหม่ของเจ้าด้วยตัวเอง…”

ก่อนที่อาร์ทิสจะเอ่ยจบ ลำแสงดังกล่าวก็ขยายตัวออกเป็นวงกว้าง จากนั้น ราวกับวินาทีที่ความสว่างของดวงอาทิตย์ทะลุผ่านกลุ่มเมฆที่บดบัง ฉินเย่ปิดตาของตนครู่หนึ่ง วู่บบบ… เมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง กลุ่มก้อนพลังหยินทั้งหมดก็หายไปแล้ว

ประตูนรกยังคงตั้งอยู่ที่เดิมของมัน

และประชากรวิญญาณนับแสนก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิม

แต่… ทุกอย่างโดยรอบเปลี่ยนไป !

“นี่มัน…” ฉินเย่มองขึ้นไปบนฟ้าด้วยความดีใจอย่างมาก ตอนนี้เขาเห็น…ดวงอาทิตย์ที่ส่องสว่างจ้าอยู่บนฟ้า !

ไม่… มันไม่ใช่ดวงอาทิตย์ แต่มันคือลูกไฟดวงใหญ่ นอกจากนี้ มันยังมีดวงจันทร์ขนาดเล็กที่ลอยอยู่เบื้องหลัง ห่างไกลออกไปจากดวงอาทิตย์อีกด้วย

ตอนนี้ยมโลกมีกลางวันและกลางคืนแล้ว !

“ไม่น่าเชื่อ…” เขาแย้มยิ้มออกมาขณะที่จ้องมองไปยังพื้นที่ที่อยู่ห่างออกไป

มันเปลี่ยนไป… ทุกอย่างเปลี่ยนไป !

พื้นที่บริเวณห่างออกไปที่เคยถูกปกคลุมด้วยหมอกพลังหยินได้ถูกเปิดเผยอย่างสมบูรณ์! หมอกพลังหยินที่ไร้ที่สิ้นสุดได้ลดลงราวกับกระแสน้ำ เผยให้เห็นโลกที่ซ่อนอยู่ภายใน

มันยังไม่มีน้ำหรือสัตว์ให้เห็น แต่เขามองเห็นพื้นที่สีขาวเงินที่กว้างใหญ่ !

มันคือต้นไม้

แต่มันเป็นพันธุ์ต้นไม้ที่แตกต่างจากไม้ฮวงหัวลี่อย่างสิ้นเชิง !

มันยังคงมีป่าไม้ฮวงหัวลี่ให้เห็นอยู่ใกล้ ๆ กัน แต่เมื่อส่วนป่าขยายไกลออกไป ใบไม้ของมันก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงและขาวผสมกัน และเมื่อมองออกไปไกลกว่านั้น ต้นไม้ทั้งหมดก็เปลี่ยนเป็นสีขาวเงินโดยสมบูรณ์ แทบจะเหมือนกับว่าพวกมันถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ

“งดงามมาก…” ฉินเย่เอ่ยออกมาโดยไม่รู้ตัว

บางทีคำว่างดงามที่ฉินเย่เอ่ยออกมานั้นอาจไม่ได้หมายถึงทัศนียภาพในยมโลก แต่หมายถึงความพยายามที่มาพร้อมความยากลำบากของเขา

“พระเจ้า…ไอ้สีเงิน ๆ นั่นมันอะไรกัน ?”

“หิมะหรือ ? ใช่หิมะหรือเปล่า ?”

“ไม่น่าใช่… มันดูเหมือนกับต้นไม้มากกว่า…”

“ต้นไม้สีขาวเนี่ยนะ ? มันมีของแบบนั้นด้วยหรือ ?”

“ทุกคน ดูนั่น ! ดูตรงนั้น ! นั่นน่ะ ! นั่น !!”

“นั่น… ภูเขาหรือ ? ภูเขา !! มันคือภูเขา !!”

เสียงพูดคุยของวิญญาณกว่าแสนตนดังขึ้น

ในที่สุดโลกสีดำแดงของพวกเขาก็มีสีใหม่ปรากฏขึ้นเสียที ประชากรทั้งหมดรู้สึกราวกับว่าพวกเขากำลังมองไปที่โลกใบใหม่ ! ภาพเหล่านี้ทำให้ความสุขแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจ ! และมันก็ทำให้พวกเขาอดไม่ได้ที่จะร้องตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้น !

อันที่จริง มีวิญญาณบางตนที่กรีดร้องออกมาอย่างสุดเสียงด้วยซ้ำ

ภูเขาหรือ ? ฉินเย่รู้สึกได้ว่าหัวใจของเขาเต้นเร็วขึ้นขณะที่เหลือบตามองไปยังทิศทางดังกล่าว รอยยิ้มบนใบหน้ากว้างขึ้นเรื่อง ๆ จนกระทั่งเขาได้ยืนยันมันด้วยตาของตัวเอง

ภูเขา ! มันคือภูเขาจริง ๆ!!

ถึงแม้ว่าขอบของพื้นที่จะยังถูกกั้นด้วยกำแพงพลังหยิน แต่เขาก็สามารถบอกได้ว่าตีนเขาที่โผล่พ้นออกมานั้นยื่นยาวเข้ามาในพื้นที่บางส่วนของยมโลก !

ตีนเขาที่ยืนออกมาค่อนข้างสั้น สูงประมาณร้อยเมตรเท่านั้น แต่มัน… การมีอยู่ของมันก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาทั้งหมดตื่นเต้นได้ !

“บริษัทก่อสร้างหยินอยู่ที่ไหน ?!” ฉินเย่ปรบมืออย่างตื่นเต้นและหัวหน้าแผนกทั้งเจ็ดก็รีบก้าวออกมาข้างหน้าพร้อมกับเอ่ยตอบอย่างรวดเร็ว “ข้ารับใช้ของท่านอยู่ที่นี่แล้ว !!”

“ส่งทีมสำรวจออกไปและค้นหาว่ามันคืออะไ ร! อันที่จริง คิดดูอีกที ข้าจะมุ่งหน้าไปที่นั่นก่อน พวกเจ้าตามไปที่นั่นโดยเร็วที่สุด ! ซูตงเซวี่ย จัดการพิธีการที่เหลือและสรุปความคืบหน้าทั้งหมดที่นี่ซะ ส่วนคนอื่น ๆ รอการยืนยันว่ามันไม่มีอันตรายใด ๆ ในพรมแดนใหม่ พวกเราจะประกาศให้ทราบในอีกสามวัน !”

ทันทีที่เอ่ยจบ เด้กหนุ่มก็เปลี่ยนร่างเป็นกลุ่มก้อนพลังและมุ่งหน้าไปยังสถานที่ดังกล่าวทันที

“ไม่มีอสูรวิญญาณ” อาร์ทิสที่บินขนาบข้างฉินเย่เอ่ย “ยมโลกยังไม่สมบูรณ์ มันยังไม่มีพืชผัก และเราก็ยังไม่มีแม่น้ำด้วย แต่ถึงว่ามันจะไม่น่ามีสิ่งใดที่เป็นอัตรายต่อเราได้ มันก็ยังเป็นการดีกว่าที่จะระมัดระวังตัวเองไว้ก่อน เพราะอย่างไรแล้ว พืชในยมโลกก็ไม่ได้มีความอ่อนโยนเสมอไป… นี่ เจ้าไม่จำเป็นต้องรีบขนาดนั้นก็ได้”

แม้จะได้ยินคำเตือนจากอาร์ทิส แต่ดวงตาของฉินเย่กลับยังเป็นประกายวาววับขณะที่เขาเอ่ยเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “อาร์ตี้ ข้าขอถามอะไรท่านอย่าง ท่านเคยเห็นต้นไม้สีขาวมาก่อนหรือไม่ ?”

“ไม่” อาร์ทิสตอบออกไปโดยไม่ลังเล “อย่างที่ข้าเคยพูดก่อนหน้านี้ มันมีความเป็นไปได้มากมายในการขยายตัวครั้งใหญ่ของนรกแต่ละครั้ง สิ่งที่เกิดขึ้นจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ยกตัวอย่างเช่นความหนาแน่นของจำนวนประชากรและพลังหยินโดยรวมของยมโลก อิทธิพลของจ้าวนรกที่ปกครองในขณะนั้น รวมถึงสภาพพื้นที่ของยมโลกเองด้วย”

ฉินเย่ยังคงจ้องไปยังต้นไม้สีขาวตรงหน้าขณะที่เลียริมฝีปากของตน “ถ้าเช่นนั้น… หากแม้แต่ตัวท่านก็ยังไม่เคยเห็นต้นไม้สีขาวเหล่านี้ มันก็ไม่ได้หมายความว่า…มันคือผลผลิตพิเศษชิ้นแรกของยมโลกหรอกหรือ ?”

อาร์ทิสกะพริบตาปริบ ๆ จากนั้นก็อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง ทว่าในเสี้ยววินาทีถัดมา ฉินเย่ก็รู้สึกราวกับว่าเขาถูกบางสิ่งบางอย่างคว้าร่างของตนเอาไว้ และเขาก็พุ่งตรงไปยังป่าต้นไม้สีขาวตรงหน้าทันที !!