บทที่ 305: ผลผลิตพิเศษ !
ฟึ่บ… ฉินเย่ก้มลงมองด้านล่าง เห็นได้ชัดเลยว่ายิ่งเขาอยู่ห่างจากประตูนรกมากเท่าไหร่ จำนวนสัดส่วนของต้นฮวงหัวลี่ที่อยู่ในป่าก็ยิ่งลดลงเท่านั้น เด็กหนุ่มลอบกลืนน้ำลายอย่างตื่นเต้นและถามอย่างระมัดระวัง “อาร์ทิส… ท่านพอจะมีใบขับขี่หรือไม่ ? จู่ ๆ ข้าก็รู้สึกไม่ค่อยดีนักที่ท่านมาจับพวงมาลัยในการเดินทางครั้งนี้…”
อาร์ทิสยิ้มบาง เสี้ยววินาทีต่อมาการเคลื่อนไหวของนางก็เปลี่ยนจากเส้นโค้งพาลาโบลาเป็นแบบบราวเนียนที่ไม่เป็นระเบียบพร้อมกับเสียงกรีดร้องอย่างน่าสังเวชของฉินเย่
ใบหน้าของเด็กหนุ่มซีดเผือดและตกใจอย่างมากเมื่อเท้าของพวกเขาแตะพื้นในไม่กี่นาทีต่อมา
“หืม ? เจ้ากลัวความสูงอย่างนั้นหรือ ?”
เขาพยักหน้าตอบเบา ๆ ฉินเย่ลูบอกตัวเองและสูดหายใจเอาอากาศเข้าปอดขณะที่จ้องมองอาร์ทิสอย่างไม่พอใจ “ท่านเคยเห็นข้าบินไปไหนมาไหนในยมโลกหรือไม่ ? ให้ตายเถอะ ข้าไม่กล้าเข้าใกล้หน้าต่างเครื่องบินด้วยซ้ำ !”
ยมโลกคือโลกใต้พิภพของเขา หรือหากพูดอีกอย่างก็คือเขาเปรียบเสมือนพระเจ้าของดินแดนแห่งนี้ และการบินไปไหนมาไหนก็ย่อมอยู่ในขอบเขตความสามารถของเขา แต่มันก็เป็นตอนนี้เองที่อาร์ทิสลองนึกถึงเรื่องที่ผ่าน ๆ มาซึ่งทำให้นางตระหนักได้ในที่สุดว่าฉินเย่ไม่เคยบินไปไหนมาไหนในดินแดนแห่งนี้มาก่อน !
ดวงตาของอาร์ทิสเป็นประกายขึ้นทันที ราวกับว่ามันเต็มไปด้วยความรักที่อ่อนโยนของผู้เป็นแม่ ราวกับนางต้องการจะบอกว่า “โถ โถ โถ ! ดูสิว่าท่านจ้าวนรกตัวน้อยของเราพยายามมากเพียงใด !”
“…สายตาชั่วร้ายแบบนั้นมันหมายความว่าอย่างไรกัน ? ช่างเถอะ… ข้าไม่สนใจท่านแล้ว เราช่วยสนใจก่อนได้หรือไม่ว่าต้นไม้พวกนี้คือต้นอะไร ?!”
ตอนนี้พวกเขากำลังยืนอยู่ตรงหน้าป่าไม้สีขาวเงิน ทั้งคู่สูดหายใจเข้าช้าๆและเริ่มวิเคราะห์ต้นไม้ตรงหน้า
มันคือ… ต้นไทร
อย่างน้อยมันก็ดูเป็นแบบนั้น
ป่าต้นไม้ขาวพวกนี้กินพื้นที่อย่างน้อยสิบตารางกิโลเมตร ! แค่ขนาดของมันก็ใหญ่กว่าขนาดของยมโลกก่อนจะขยายตัวถึงสองเท่าแล้ว !
แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจไม่ใช่ความกว้างใหญ่ของป่า แต่เป็นเพราะต้นไม้ขนาดมหึมาที่ผุดขึ้นมาจากใจกลางป่าและมีเส้นผ่านศูนย์กลางของลำต้นอย่างต่ำ 100 เมตร !
มันไม่ใช่การพูดเกินจริงเลยหากจะบอกว่าพื้นที่ประมาณ 70% ของป่านั้นถูกปกคลุมไปด้วยใบไม้หนาทึบของต้นไม้ยักษ์ต้นนี้ ! ในขณะที่ส่วนอื่น ๆ ของป่าประกอบด้วย ‘ต้นไทร’ ที่มีขนาดเล็กกว่ามาก และพวกมันก็ดูเหมือนจะช่วยประคองใบไม้ที่หนาทึบด้านบนไว้อีกที
เปลือกไม้เป็นสีดำในขณะที่ใบของมันเป็นสีขาว ใบไม้แต่ละใบของต้นไม้ยักษ์มีขนาดประมาณใบหน้าของมนุษย์ พวกเขาไม่สามารถคาดเดาอายุที่แน่นอนของมันได้ แต่เห็นได้ชัดว่าจะต้องไม่ต่ำกว่าหลายสิบปี กิ่งก้านสาขายืนยาวออกมาจากลำต้น ในขณะที่รากของมันขยายไปตามพื้นราวกับการเต้นรำของมังกร เรือนยอดของต้นไม้ยักษ์ยื่นยาวออกมาอย่างยุ่งเหยิงทว่าให้ความสง่างาม ผู้ใดก็ตามที่มายืนอยู่ใต้ต้นไม้ต้นนี้จะรู้สึกราวกับว่าตนถูกโอบกอดโดยป่าไม้ทันที
“ต้นไทรนั้นเป็นที่รู้จักในเรื่องของเรือนยอดที่มีขนาดใหญ่ บางต้นอาจมีความกว้างมากกว่าลำต้นของมันถึง 20 เท่า แต่… นี่มันคนละระดับกันเลย…” ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้า ๆ ขณะที่มองไปรอบ ๆ ลำแสงที่ส่องผ่านกลุ่มใบไม้หน้าสร้างร่มเงาให้กับผืนป่าที่อยู่ด้านล่าง ดวงอาทิตย์ของยมโลกนั้นแตกต่างจากแดนมนุษย์ แสงของมันสลัว และก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกอบอุ่นเลยแม้แต่น้อย
ขณะนั้นเองอาร์ทิสก็ชี้ไปยังจุดที่อยู่ห่างออกไป “ไม่เพียงแค่นั้น… เจ้าลองดูนั่น” ฉินเย่มองไปและปากของเขาก็อ้าค้างด้วยความเหลือเชื่อ “นั่น… ท่านกำลังจะบอกข้าว่า ‘ต้นไทร’ ขนาดเล็กพวกนี้ทั้งหมดเป็นเพียงรากแขนงของต้นไม้ยักษ์ที่อยู่ตรงกลางอย่างนั้นหรือ ? นั่นหมายความว่า…”
ป่าไม้ที่มีพื้นที่กว่าสิบตารางกิโลเมตรเป็นผลพวงมาจากต้นไม้ยักษ์เพียงต้นเดียว !
ลำต้นหลักของมันมีเส้นรอบวง 100 เมตรในขณะที่มีความสูงถึง 800 เมตร ! นี่แทบจะเหมือนกับพันธุ์พืชขนาดใหญ่ที่มีมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์เลยนะ ! แม้แต่ฉินเย่ก็ไม่สามารถเก็บซ่อนความตกตะลึงของตัวเองได้อีกต่อไป !
มันตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าของเขาราวกับเทือกเขาขนาดใหญ่ ในขณะที่ใบไม้สีขาวเงินพวกนี้ดูเหมือนกับมหาสมุทรที่ไร้ขอบเขต
พื้นที่สิบตารางกิโลเมตรนั้นกว้างขนาดไหนน่ะหรือ ?
หากจะพูดให้เห็นภาพ มันน่าจะมีพื้นที่ประมาณครึ่งหนึ่งของเมืองทั่ว ๆ ไป
หลังจากจ้องมองภาพที่น่าทึ่งตรงหน้าด้วยความตะลึงงันอยู่ครู่หนึ่ง ฉินเย่ก็สามารถละสายตาและเอ่ยขึ้นว่า “พระเจ้า…ที่นี่จะกลายเป็นหนึ่งในสถานที่ที่งดงามที่สุดในยมโลกในอนาคตหรือเปล่าเนี่ย ?”
ผืนป่าด้านล่างถูกปกคลุมด้วยชั้นใบไม้สีขาวเงิน พวกมันดูบริสุทธิ์และไม่ได้รับการแตะต้อง แทบจะเหมือนกับหิมะที่เพิ่งตกลงมา มันมีแม้กระทั่งกลิ่นอายของความบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์แผ่ออกมาบาง ๆ เมื่อรวมกับต้นไม้ยักษ์ที่ตั้งตระหง่านตรงหน้า ฉินเย่อดไมได้ที่จะรู้สึกว่า …เขากำลังอยู่บนสรวงสวรรค์ !!
น่าเหลือเชื่อมากที่ภาพที่งดงามเช่นนี้ปรากฏขึ้นในนรก ! ทั้งสองมองหน้ากันอย่างมึนงง ไม่แน่ใจว่าพวกตนควรจะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่น่าตกใจนี้อย่างไร และมันก็เป็นตอนนั้นเองที่พวกเขาได้ยินเสียงฝีเท้าจำนวนมากดังมาจากด้านหลัง ทีมสำรวจ กู่ฉิง หวงเลี่ยงชวน รวมถึงหัวหน้าแผนกทั้งเจ็ดต่างมุ่งหน้ามาที่นี่ด้วยความเร็วสูงสุด เช่นเดียวกับฉินเย่และอาร์ทิส พวกเขาทั้งหมดต่างก็ตกตะลึงกับภาพตรงหน้าเช่นกัน
“สวรรค์… นะ นะใช่ต้นไทรหรือเปล่า ?”
“จะมีต้นไทรที่ใหญ่ขนาดนี้ได้อย่างไร ?!”
“ข้านึกว่าตัวเองถูกเคลื่อนย้ายมากในโลกแฟนตาซีเสียอีก…”
“นี่มัน… สวยมาก… ไม่น่าเชื่อ… แม้แต่ในแดนมนุษย์ก็ไม่สามารถเห็นภาพแบบนี้ได้ !”
คนทั้งหมดอ้าปากอย่างตกตะลึง ในขณะเดียวกันฉินเย่คลึงหัวคิ้วของตนและสวมท่าทีสูงสักดิ์อีกครั้ง “เงียบ”
เสียงพูดคุยทั้งหมดเงียบเสียงลงในทันที พวกเขายืนเรียงกันอย่างเป็นระเบียบต่อหน้าเด็กหนุ่ม จากนั้นฉินเย่ก็ถอนหายใจออกมา “ทุกท่าน เรามีปัญหาใหญ่เสียแล้ว”
“เราจะทำอย่างไรกับต้นไม้ต้นนี้ดี ?”
คนทั้งหมดเข้าใจความหมายที่ฉินเย่ต้องการจะสื่อ แต่ยิ่งพวกเขาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ คิ้วของพวกเขาก็ยิ่งขมวดเข้าหากัน
นั่นสิ พวกเขาจะทำอย่างไรก็ต้นไม้ยักษ์ตรงหน้าดี ?
หากเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในแดนมนุษย์ นั่นก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก มันจะถูกจัดให้เป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่อยู่ในรายการท่องเที่ยวของทุกคนอย่างไม่ต้องสงสัย ! มันสามารถถูกเรียกว่าเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์หรืออาจจะต้นไม้แห่งพระเจ้าได้เลยด้วยซ้ำ ! และมันก็ไม่จำเป็นต้องพูดเลยว่าจะมีชาวจีนและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจำนวนมากเพียงใดที่เดินทางมาที่นี่เพื่อ ‘แสวงบุญ’
เพราะสุดท้ายแล้ว ต้นไทรที่มีขนาดใหญ่จนสามารถปกคลุมเมืองทั้งเมืองได้ก็ถือเป็นสิ่งที่น่ามหัศจรรย์มาก !
และมันก็ไม่มีเหตุผลว่าทำไมยมโลกถึงต้องปฏิบัติต่อมันในแบบที่แตกต่างออกไป !
นี่จะเป็นจุดชมวิวแห่งแรกในยมโลก ทั้งหมดที่พวกเขาต้องทำก็คือปิดล้อมสถานที่ทั้งหมดไว้ด้านในและเปิดทางเข้าสักสองสามทาง นั่นก็แทบจะรับประกันได้แล้วว่าพวกเขาจะมีผู้เข้าชมอย่างต่อเนื่อง !
เหล่าประชากรวิญญาณทั้งหมดรู้สึกเบื่อหน่ายกับภาพของประตูนรกที่ตั้งตระหง่านอยู่ภายใต้ท้องฟ้าที่มืดมิดและกลุ่มลูกไฟนรกที่ลอยไปมาเต็มทน การปรากฏขึ้นอย่างกระทันหันของภาพที่น่าหลงใหลเป็นเหมือนกับอากาศบริสุทธิ์สำหรับพวกเขา ! ฉินเย่ทำได้เพียงจินตนาการถึงความตื่นเต้นของวิญญาณทั้งหมดที่แทบรอไม่ไหวที่จะสำรวจดินแดนใหม่นี้
อันที่จริง ด้วยขนาดที่ใหญ่เช่นนี้ พวกเขาเริ่มคิดถึงการใช้ไม้ส่วนหนึ่งในการสร้างบ้านต้นไม้แบบแขวนขึ้นมาในป่าด้วยซ้ำ… และมันก็จะไม่เป็นปัญหาอะไรเลยที่จะสร้างบ้านต้นไม้ขึ้นด้านบนของต้นไม้ยักษ์ เพราะลำต้นที่ใหญ่ของมันจะต้องมีที่ว่างสำหรับบันไดเวียนที่นำไปถึงจุดสูงสุดแน่ อันที่จริง นี่จะเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ที่แม้แต่ในแดนมนุษย์ก็ไม่สามารถสัมผัสได้เป็นแน่ ! มันเป็นเรื่องของจินตนาการ ! ความคิดพวกนี้ทำให้พวกเขาใจเต้นรัวขึ้นทันที
ลักษะของมันจะต้องช่วยส่งเสริมการจัดตั้งระบบการเงินได้อย่างแน่นอน หากพูดกันตามตรง มันอาจจะเป็นการเริ่มต้นอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอย่างก้าวกระโดดเลยก็เป็นได้ และมันก็จะสร้างรายได้ให้กับรัฐบาลอย่างมหาศาล จุดชมวิวแรกในยมโลกมีความหมายมากกว่าภาพทิวทัศน์ที่สวยงาม
แต่…
หากต้นไม้ยักษ์ต้นนี้เป็นผลผลิตพิเศษของยมโลกล่ะ ?
ยกตัวอย่างเช่น… หากมันมีผลออกมา ?
ต้นไทรเป็นต้นไม้ที่ออกผล และยิ่งเป็นต้นไทรของนรกด้วยแล้ว มันก็ไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าผลที่ออกมานั้นจะอยู่บริเวณใด จะเป็นที่กิ่งก้านหรือใบ หรืออาจจะติดอยู่กับลำต้นโดยตรงเลยก็ได้ และใครจะสามารถบอกได้ว่ามันจะไม่มีประโยชน์ในอนาคต ?
หรือมันต้องใช้เวลานานแค่ไหนในการออกผล ?
และถ้าทางยมโลกมารู้ทีหลังว่าผลของมันนั้นมีประโยชน์ล่ะ ? หากพวกเขาพัฒนาให้ทั้งสถานที่กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแล้ว นั่นจะไม่เป็นการสร้างปัญหาในอนาคตหรืออย่างไร ? และมันจะไม่สร้างความไม่พอใจให้กับประชากรและกระตุ้นให้เกิดการสร้างความวุ่นวายอย่างนั้นหรือ ? นี่จะต้องเป็นปัญหาใหญ่มากเว้นแต่ว่าพวกเขาจะสามารถสร้างสถานที่ท่องเที่ยวแห่งที่สองขึ้นมาเพื่อเอาใจประชาชน แต่…การขยายพื้นที่ครั้งใหญ่นี้เป็นผลมาจากพลังหยินปริมาณมหาศาลที่ยมโลกดูดซึมมาจากการติดตั้งสมุดแห่งความเป็นตาย และการขยายใหญ่ครั้งต่อไปก็น่าจะต้องใช้เวลาอีกประมาณ 50-60 ปี พวกเขาจะสามารถรับมือกับสถานการณ์ได้อย่างไรหากเกิดการประท้วงขึ้นก่อนเวลา ?
และหากผลผลิตพิเศษที่ว่านั่นไม่ได้อยู่ในผลของมัน แต่อาจเป็นไม้หรือดอกของมันล่ะ ?
งานที่จะต้องทำนั้นต้องไม่ง่ายเหมือนกับการวางแผนก่อนนำไปปฏิบัติ พวกเขาทุกคนต้องวิเคราะห์และพิจารณาถึงตัวเลือกที่เป็นไปได้ทั้งหมดในทุกขั้นตอน
ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา เห็นได้ชัดว่านี่คือสิ่งที่ดี แต่คำถามเดียวตอนนี้ก็คือมันดีมากเพียงใด และหลังจากครุ่นคิดอยู่เป็นเวลากว่าสิบนาที กู่ชิงก็เอ่ยทำลายความเงียบในที่สุด “เหตุใดพวกเราจึง… ไม่ไปดูให้ละเอียดก่อนและค่อยมาลองคิดดูว่าเราจะสามารถใช้ประโยชน์อะไรจากมันได้บ้างเล่า ?”
อาร์ทิสที่ได้ยินเช่นนั้นก็ตอบกลับไปอย่างเหยียดหยาม “ท่านแน่ใจหรือว่าตัวเองจะสามารถตรวจพบอะไรได้ด้วยอุตสาหกรรมการทำวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของยมโลกในเวลานี้ ?”
“หากเราไม่สามารถหาสิ่งที่เป็นประโยชน์ได้ในตอนนี้ เราก็ยังสามารถใช้มันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวได้” ฉินเย่เอ่ยออกมาในที่สุด “เราจำเป็นต้องให้ความสอดคล้องในนโยบายของเราหากเราต้องการความไว้วางใจจากประชาชน สถานที่ท่องเที่ยวแห่งแรกในยมโลกจะไม่เพียงแต่สนับสนุนการจัดตั้งของระบบการเงิน แต่มันยังเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและเป็นการหว่านเมล็ดพันธุ์ ? สำหรับอุตสาหกรรมการโรงแรมและอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มที่กำลังจะตามมาด้วย…”
เขากลับหลังหันไปจ้องมองต้นไทรขนาดใหญ่ด้วยแววตาลึกล้ำ น่าเสียดายจริง ๆ …ด้วยขนาดและสภาพแวดล้อมโดยรอบของมันแล้ว มันจะต้องมีความพิเศษอะไรบางอย่างอยู่สิ พวกเขาเพียงต้องหาให้ได้เท่านั้นว่ามันคืออะไร น่าเสียดาย… ยมโลกในตอนนี้ไม่มีแม้แต่ห้องปฏิบัติการสำหรับจุดประสงค์เหล่านี้ด้วยซ้ำ !
เขาต้องการผู้ที่มีพรสวรรค์ ! ยมโลกขาดแคลนผู้มีพรสวรรค์เป็นอย่างมาก ! หากมีนักวิทยาศาสตร์หรือนักพฤกษศาสตร์อยู่แถวนี้ เขาจะยอมทำทุกอย่างเพื่อเก็บต้นไทรตรงหน้านี้เอาไว้จนกว่าห้องปฏิบัติการจะถูกสร้างขึ้นมา !
น่าเสียดายที่เขาไม่มีกลุ่มคนเหล่านั้นอยู่ในยมโลก
ดังนั้น แทนที่จะนั่งอยู่เฉย ๆ และคาดเดาอย่างไม่มีสาระ เด็กหนุ่มจึงเลือกที่จะรักษาผลประโยชน์ที่อยู่ตรงหน้ามากกว่า
ไม่มีผู้ใดคัดค้านออกมา
“ในเมื่อมีเพียงพวกเราที่รับผิดชอบยมโลกอยู่ในตอนนี้ และรัฐบาลก็ยังทำงานได้ไม่เต็มที่นัก ข้าขอเสนอให้เราทั้งหมดลงคะแนนเสียงด้วยการยกมือ” อาร์ทิสไม่ได้มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของการปกครองและนโยบายนัก แต่นางก็รู้ดีว่าทุกอย่างจะไม่เป็นไรหากนางทำตามการตัดสินใจของฉินเย่
เด็กหนุ่มคือคนแรกที่ยกมือขึ้น “ข้าเสนอให้เราทำการสำรวจต้นไทรยักษ์เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ หากเราไม่สามารถหาข้อสรุปเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ หรือหากเราเห็นได้ชัดว่าเราไม่สามารถหาคำตอบที่ต้องการได้ภายในหนึ่งสัปดาห์นี้ เราก็จะเริ่มเตรียมการสำหรับการจัดตั้งอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและประกาศให้สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทันที และเราจะเริ่มจัดตั้งระบบโรงแรมและบริษัทจัดเลี้ยงสำหรับเรื่องอาหารและเครื่องดื่มด้วย นี่คือข้อเสนอของข้า”
คนทั้งหมดมองหน้ากันก่อนจะยกมือขึ้นอย่างช้า ๆ
“ข้าด้วย”
“ข้าเห็นด้วย”
“นี่อาจจะเป็นทางที่ดีที่สุดในตอนนี้”
“ไม่มีข้อคัดค้าน”
ฉินเย่เริ่มนับจำนวนมือที่ยกขึ้นในอากาศ – หนึ่ง… สอง… สาม… สิบ… นั่นเหมือนจะ–… เดี๋ยวนะ—
“หวงเลี่ยงชวนหายไปไหน ?” เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว “เขาคัดค้านข้อเสนอของข้าอย่างนั้นหรือ ? เหตุผลล่ะ ?”
พวกเขามีกันอยู่ทั้งสิ้น 11 คน แต่มีเพียงแค่สิบคนเท่านั้นที่ยกมือ และคนเดียวที่ไม่อนุมัติข้อเสนอของเขาก็คือหวงเลี่ยงชวน
แต่เมื่อลองสังเกตดูดี ๆ ฉินเย่ก็พบว่าเหตุผลที่ตอนนี้มีมือเพียงสิบมือชูขึ้นมาในอากาศก็เพราะว่าหวงเลี่ยงชวนวิ่งไปไหนก็ไม่รู้ ชายสูงวัยไม่อยู่กับพวกเขาตอนนี้
“ผู้อำนวยการหวง” เสียงที่เอ่ยออกมาของฉินเย่เย็นยะเยือก “เจ้ากำลังทำอะไรอยู่ ?”
หากบอกว่าหวงเลี่ยงชวนนั้นหวาดกลัวฉินเย่นั้นคงจะน้อยเกินไป เพราะทันทีที่เขาได้ยินเสียงเรียกชื่อของตนจากเด็กหนุ่ม ร่างทั้งร่างของชายสูงวัยก็พลันสั่นเทาอย่างรุนแรง เขารีบคว้ากองใบไม้บนพื้นและวิ่งกลับไปที่กลุ่มคนทั้งหมดทันที
“ท่าน…” คนทั้งหมดต่างมองไปที่ชายสูงวัยด้วยแววตาเหลือเชื่อ อีกฝ่ายคือชายที่เป็นผู้สนับสนุนระบบการเงินในตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา และยังเป็นคนเดียวกันที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการคนต่อไปของธนาคารกลางแห่งยมโลก แต่เขากลับวิ่งมาที่นี่พร้อมกับกองใบไม้ในมือ เสื้อผ้าที่สวมอยู่หลุดลุ่ยไม่เป็นทรง ดวงตาแดงก่ำเล็กน้อยเนื่องจากสะดุดเข้ากับรากของต้นไม้หลังจากที่รีบวิ่งมาที่นี่
แต่ใบหน้าของชายสูงวัยในเวลานั้นกลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้น… ตื่นเต้นสุด ๆ
โดยไม่สนใจสีหน้าที่ดุดันของอีกฝ่าย หวงเลี่ยงชวนรีบวิ่งไปหาฉินเย่และเอ่ยด้วยเสียงที่สั่นเทา “นะ นะ นะ นายท่าน… บะ บะ ใบไม้ ใบไม้…”
ใบไม้ ?
ฉินเย่หยิบใบไม้มาจากมือของชายตรงหน้าด้วยความงงงัน
มันมีสัมผัสที่เรียบเนียน มันเรียบจนเขาไม่สามารถสัมผัสถึงเส้นใบของมันได้เลย ความรู้สึกนี้… ฉินเย่ขมวดคิ้ว เขาเคยสัมผัสมาก่อน แต่…จากที่ไหนกัน ?
ข่มความสงสัยภายในใจ เด็กหนุ่มมองดูใบไม้ในมือของตนอย่างละเอียด มันเรียบราวกับกระจก แต่ก็ยังสามารถเห็นร่องรอยของเส้นใบหนาที่อยู่ภายใต้มันได้อย่างชัดเจน
อันที่จริง เขายังสามารถบอกได้ด้วยว่าลักษณะของเส้นใบพวกนั้นไม่ได้ยุ่งเหยิงเลยสักนิด แต่มันกลับเป็นระเบียบอย่างไม่น่าเชื่อ และเขาก็คงไม่สังเกตเห็นมันหากไม่ได้เพ่งสายตาดูอย่างละเอียด
ใบของมันดูไม่ธรรมดา แต่เขาก็ยังไม่สามารถบอกได้ว่ามันไม่ธรรมดาตรงไหน คนทั้งหมดขมวดคิ้วและมองไปที่หวงเลี่ยงชวน พวกเขาไม่เข้าใจว่าสิ่งใดที่ทำให้ชายสูงวัยตื่นเต้นจนพูดออกมาไม่เป็นคำเช่นนั้น แต่ถึงอย่างนั้นหวงเลี่ยงชวนกลับยังคงตัวสั่นด้วยความตื่นเต้นและโบกใบไม้ไปมาอย่างดีใจ “นายท่าน… นะ นะ นี่คือ…นี่คือเงิน ! มันคือเงิน !!”
“ในแดนมนุษย์ ข้าเคยสัมผัสกับเงินมามากจนนับไม่ถ้วน ! มะ มัน มันคือเงินจริง ๆ!!!”
เงิน ?
คนทั้งหมดขมวดคิ้วมากกว่าเดิม ฉินเย่ยังคงนิ่งเงียบเช่นกัน อีกฝ่ายหมายถึงให้นำสิ่งนี้ไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินอย่างนั้นหรือ ? กันฝ่ายอื่นน่ะนะ ? ใครจะต้องการมันล่ะ ? อาร์ทิสเคยพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้ว่าสินค้าพิเศษของโลกใต้พิภพแต่ละแห่งนั้นแตกต่างกัน และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ต้นไทรยักษ์นี่ปรากฏขึ้น ดังนั้นมันจะมีใครบ้างที่รู้ถึงวิธีมัน ?
เดี๋ยวก่อนนะ…
ทันใดนั้น ดวงตาของฉินเย่ก็เป็นประกายขึ้น เขาก้มดูใบไม้ในมืออีกครั้งก่อนจะเงยหน้ามองเรือนยอดขนาดใหญ่เหนือศีรษะของตน ! จากนั้น ขนของเขาก็ลุกชันไปทั่วทั้งร่าง !
“เจ้ากำลังจะบอกว่า…” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาของเด็กหนุ่มแหบพร่าเล็กน้อย “ใบไม้พวกนี้… ทั้งหมด…”
หวงเลี่ยงชวนพยักหน้าอย่างรุนแรงในขณะที่ตอบกลับด้วยความดีใจจนแทบจะเหมือนกับกำลังตะโกนอยู่ “มันคือธนบัตร !! นี่คือกระดาษฝ้ายแน่ ๆ! แม้ว่าคุณภาพของมันจะแตกต่างกัน แต่มันก็ให้ความรู้สึกเหมือนกันทุกประการ !!”