บทที่ 306: เงินจากสวรรค์ !

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

บทที่ 306: เงินจากสวรรค์ !

ฉินเย่หยิบใบไม้ขึ้นมาอย่างตื่นเต้นและถูด้วยนิ้วของตัวเอง คนทั้งหมดจ้องมองฉินเย่ด้วยลมหายใจที่ติดขัด รอฟังการยืนยันจากเขาอย่างใจจดใจจ่อ

ทุกคนรู้ดีว่าสำหรับชาติที่กำลังเจริญเติบโตนั้นระบบการงานมีความสำคัญเพียงใด !

การประชุมราชสำนักจะถูกจัดขึ้นในปลายปีนี้ และพวกเขาก็ต้องจัดตั้งระบบการเงินขึ้นมาให้ได้ มีเพียงสังคมดึกดำบรรพ์เท่านั้นที่ไม่มีระบบการเงิน และสิ่งสุดท้ายที่พวกเขาไม่ต้องการก็คือการถูกตราหน้าว่าเป็นสังคมดึกดำบรรพ์

นอกจากนี้ รัฐบาล โรงงานและบริษัทก่อสร้างหยินพวกนี้จะทำงานไปตลอดเพียงเพราะเขาสั่งอย่างนั้นหรือ ?

จะมีใครเต็มใจทำงานโดยไม่ต้องรับค่าตอบแทนบ้าง ?

มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เห็นแก่ตัว ผู้ที่ไม่เห็นแก่ตัวมีแค่นักบุญเท่านั้น และพวกเขาก็มีอยู่ไม่ถึง 1% ของประชากรทั้งหมด

เงิน เงินคือสิ่งเดียวที่มนุษย์ทำงานเพื่อไขว่คว้ามา เงินคือแรงขับเคลื่อนของชาติ เหตุผลเดียวที่ฉินเย่ยังไม่เริ่มเปิดตัวระบบการเงินในตอนนี้ก็คือความสำคัญของระบบการเงิน ทุกอย่างจะต้องสมบูรณ์แบบก่อนที่เขาจะยอมปล่อยผ่านไปได้ !

ดวงตาของฉินเย่เป็นประกายขึ้นขณะที่จ้องมองใบไม้สีขาวเงิน ใช่แล้ว… ความรู้สึกนี้แหละ… ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมมันถึงคุ้นนัก ! มันเป็นความรู้สึกเดียวกันกับธนบัตรในแดนมนุษย์ !

ใครจะไปคิดว่าสิ่งกีดขวางที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เขากำลังเผชิญหน้าอยู่จะถูกแก้ไขได้อย่างง่ายดายด้วยการขยายใหญ่ของยมโลก ?!

“เรียกเขามา…” ลมหายใจของเด็กหนุ่มติดขัด “ผู้ชายคนนั้น–… ผู้อำนวยการคนใหม่ของโรงพิมพ์ธนบัตรกลางของยมโลก เรียกเขามาที่นี่เดี๋ยวนี้ !”

“โก่วซื่อผิง นายท่าน ข้าจะไปเรียกเขามาเดี๋ยวนี้” หวงเลี่ยงชวนตอบ เสี้ยววินาทีต่อมา อาร์ทิสสะบัดมือเบา ๆ และฮวงเลี่ยงชวนก็หายไปทันที

ไม่มีใครพูดอะไรในระหว่างนั้น เรื่องนี้มีความสำคัญเป็นอย่างมากเขาเดินไปรอบโคนต้นไทรอย่างร้อนใจขณะที่เอาไพล่มือไปด้านหลัง เหลือบมองไปรอบ ๆ ทุก ๆ วินาทีด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย หากพวกเราสามารถใช้สิ่งนี้ได้จริง ๆ …หากนี่คือกระดาษธนบัตรที่มีคุณภาพจริง ๆ ต้นไม้ต้นนี้… ก็ไม่ควรที่จะใช้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเด็ดขาด !

ต่อให้มันจะเป็นทัศนียภาพที่งดงามที่สุดในยมโลกก็ตาม !

ระบบการเงินนั้นมีค่ามากกว่าสถานที่ท่องเที่ยว ! มันมีค่ามากกว่านั้น !

เวลาเดินไปอย่างเชื่องช้า… มันเพิ่งผ่านไปแค่ห้านาทีเท่านั้น แต่ทุกคนกลับรู้สึกราวกับจะหมดลมหายใจเต็มทน ทันใดนั้นฉินเย่ก็มองขึ้นมาเป็นครั้งที่สิบ อาร์ทิสเลิ่กคิ้วขึ้น และสะบัดมือเบา ๆ หวงเลี่ยงชวนกับโก่วซื่อผิงก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของพวกเขาอีกครั้ง

“คารวะหัวหน้าผะ–…” โก่วซื่อผิงที่ตั้งใจจะทักทายคนทั้งหมดแต่ถูกขัดโดยฉินเย่ “ข้ามพวกเรื่องไร้สาระ ! ข้าอยากให้เจ้าดูใบไม้นี่แล้วบอกมาว่าพวกมันสามารถใช้เป็นธนบัตรได้หรือไม่ ?!”

ธนบัตร ?

โก่วซื่อผิงสูดหายใจเข้าช้า ๆ ขณะที่จ้องมองใบไม้สีขาวราวหิมะบนพื้น

สะ สิ่งนี้สามารถใช้เป็นธนบัตรได้หรือไม่อย่างนั้นหรือ ?

หากมันสามารถใช้ได้ ปัญหาที่ก่อกวนโรงพิมพ์ธนบัตรกลางของยมโลกมานานก็จะถูกแก้ไขทันที ! ลองดูขนาดของต้นไทรต้นนี้สิ ! มันจะต้องมีใบไม้อย่างต่ำหลายล้านใบอย่างแน่นอน !

แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยยืนยันออกไป เขาก้มลงเก็บใบไม้และตรวจสอบมันอย่างละเอียด

ไม่มีใครเอ่ยเร่งอะไร ทุกคนต่างมองชายตรงหน้าด้วยดวงตาที่วาวโรจน์ ราวกับพวกเขาต้องการจะจุดไฟเผาร่างของโก่วซื่อผิง และหลังจากผ่านไปประมาณสิบนาที โก่วซื่อผิงก็ลุกขึ้นยืนและมองไปรอบๆด้วยความตกตะลึง “นี่มันน่าอัศจรรย์มาก…”

“นายท่าน !” เขาสูดหายใจเข้าช้า ๆ และเอ่ยกับฉินเย่ด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “มันสามารถใช้ได้… ท่านสามารถใช้ได้ ! เมื่อครู่ข้าเพิ่งทดสอบง่าย ๆ ไป และมันก็ค่อนข้างทนทานต่อการขีดข่วนได้ดีว่ากระดาษธรรมดาที่เราเคยใช้ก่อนหน้านี้ ! มันยากที่จะฉีกใบไม้นี้ ! ที่สำคัญกว่านั้น เส้นลายไม้ถูกซ่อนไว้และไม่ได้สร้างสัมผัสที่ขรุขระเลยแม้แต่น้อย ทั้งใบเรียบเนียนราวกับกระจก มันแทบจะเหมือนกับว่าใบไม้พวกนี้ถูกสร้างมาเพื่อใช้ในการพิมพ์ธนบัตร !”

“ไม่น่าเชื่อ…” เขาอุทานออกมา “ปาฏิหาริย์จากการขยายใหญ่ของยมโลก… ช่างเหนือจินตนาการอย่างแท้จริง !”

ฉินเย่หลับตาลงและสูดหายใจเข้าช้า ๆ

มันรู้สึกเหมือนกับว่าภูเขาลูกใหญ่ถูกยกออกไปจากอก เขาลืมตาขึ้นและแย้มยิ้มออกมาอย่างจริงใจ “ถ้าเช่นนั้น เราก็ลองสำรวจพื้นที่โดยรอบเพื่อหาดูว่ามีสิ่งอื่นที่สามารถใช้เพื่อทดแทนหมึกพิมพ์พิเศษสลับสีได้บ้างหรือไม่ หากเราไม่สามารถหาอะไรได้ ข้าจะลองคิดหาทางออกดู…”

“นายท่าน” ทันใดนั้นเองหวงเลี่ยงชวนก็เอ่ยขึ้น “ข้าคิดว่า… ระบบการเงินพร้อมที่จะเริ่มดำเนินการแล้ว”

โดยปราศจากพิมพ์พิเศษสลับสีน่ะหรือ ?

ฉินเย่กะพริบตาปริบ ๆ บ่งบอกให้อีกฝ่ายรีบอธิบายคำพูดของตนเดี๋ยวนี้ หวงเลี่ยงชวนใช้เวลาครู่หนึ่งในการเรียบเรียงความคิดก่อนจะพูดออกมา หลังจากเริ่มต้นในทางที่ผิด เขาก็ไม่ต้องการอะไรไปมากกว่าแก้ไขให้สถานการณ์ดีขึ้นและเรียกคะแนนกลับมา “ถึงแม้ว่าข้าจะไม่รู้เกี่ยวกับกระบวนการพิมพ์ธนบัตร แต่ข้าก็พอจะรู้เกี่ยวกับส่วนประกอบอื่น ๆ ของธนบัตรในแดนมนุษย์”

“ไม่ว่าจะเป็นลายพิมพ์เส้นนูน ชนิดของกระดาษ รหัส หรือแม้แต่การใช้หมึกพิมพ์พิเศษสลับสี ทั้งหมดนั้นถูกทำไว้เพื่อเป้าประสงค์เพียงอย่างเดียว”

เขามองคนทั้งหมดด้วยสายตาจริงจัง “นั่นก็คือเพื่อป้องกันการปลอมแปลง”

“ความสวยงามนั้นเป็นเพียงเป้าประสงค์รอง ระบบการเงินคือแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจของชาติ และการต่อต้านกระบวนการปลอมแปลงก็ย่อมมีความสำคัญสูงสุด แต่…”

ฉินเย่แย้มยิ้มกว้างและปรบมือ ในที่สุดรางวัลของเขาสำหรับการแสดงความมีเมตตาต่อหวงเลี่ยงชวนก็มาถึง

ทุกคนต่างมีจุดอ่อนของตัวเอง การทำพลาดเพียงครั้งเดียวไม่ได้หมายความว่าคนๆนั้นไร้ความสามารถ

“เราไม่จำเป็นจะต้องใช้มาตรการต่อต้านการปลอมแปลงเลยแม้แต่น้อย” ฉินเย่แย้มยิ้มและเอ่ยต่อจากจุดที่หวงเลี่ยงชวนค้างเอาไว้ “ประการแรก หากเราตีพิมพ์ธนบัตรนรกโดยการใช้ใบไม้จากต้นไทรยักษ์นี่ มันจะไม่มีใครสามารถลอกเลียนแบบได้แน่นอน เพราะ… ข้าสามารถสั่งให้พื้นที่บริเวณนี้กลายเป็นเขตหวงห้ามได้ และข้าก็จะสร้างโรงพิมพ์ธนบัตรกลางของยมโลกขึ้นที่นี่ด้วย”

“ประการที่สองนั้นเกี่ยวกับขนาดของยมโลกในตอนนี้ ยมโลกของเรายังเล็กมาก และเครื่องจักรทั้งหมดที่สามารถใช้ในการพิมพ์ธนบัตรนั้นก็อยู่ภายใต้การควบคุมของเรา เมื่อพวกเราจัดตั้งระบบเช่ายืมขึ้นมา เราก็จะสามารถรู้ได้ทันทีว่ามีผู้ใดมาติดต่อเพื่อของยืมเครื่องมือในการพิมพ์พวกนี้ไปบ้าง ดังนั้นการปลอมธนบัตรจึงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเป็นไปได้”

“ประการที่สาม…” เด็กหนุ่มแย้มยิ้มและมองไปที่อาร์ทิส “พวกเรามีขั้นตุลาการนรกที่สามารถประทับตราธนบัตรทั้งหมดได้”

และในเมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาจะต้องการหมึกพิมพ์พิเศษสลับสีไปทำไมกัน ?

หวงเลี่ยงชวนถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อได้พิสูจน์ตัวเองให้ฉินเย่ได้สำเร็จ ความคิดของเขาก็เริ่มโลดแล่นไปสู่ความเป็นไปได้ต่าง ๆ ก่อนจะเอ่ยเสริมอย่างสุภาพ “เป็นเช่นนั้น อย่างไรก็ตาม ข้าอยากจะเสนอให้เราจัดสรรกำลังคนให้เพียงพอในจุดประสงค์ต่าง ๆ ของโรงงาน เพราะท้ายที่สุดแล้ว หากธนบัตรทั้งหมดกระจัดกระจายไปทั่ว เหล่าบุคลากรที่รับผิดชอบในกระบวนการพิมพ์คงไม่สามารถจัดการทุกอย่างได้ด้วยตัวเองแน่ แบบนั้นงานของพวกเขาจะเยอะเกินไป พวกเราจำเป็นต้องมีจำนวนคนงานที่เซ็นสัญญารักษาความลับมากพอเพื่อทำงานร่วมกับโรงพิมพ์ธนบัตรกลางของยมโลก”

ฉินเย่เดินไปรอบ ๆ อย่างช้า ๆ ขณะที่ฟังสิ่งที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมา จากนั้นทันทีที่ชายสูงวัยเอ่ยจบ เขาก็ใช้เวลาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยสั่งออกไป “โก่วซื่อผิง เจ้าจงไปหาซูตงเซวี่ยเพื่อให้นางเริ่มจัดหากำลังคนสำหรับโรงพิมพ์ธนบัตรกลางของยมโลกทันที แต่จงจำไว้ว่าเรื่องเกี่ยวกับการก่อตั้งโรงพิมพ์ธนบัตรจะต้องเป็นความลับ ทุกคนที่สมัครเข้ามาจะต้องผ่านการตรวจสอบประวัติโดยละเอียด เจ้าไม่มีสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ ปล่อยให้พวกผู้ตรวจสอบอดีตกรรมเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้ไป”

“รับทราบ !!”

เมื่อโกว่ซื่อผิงจากไป ทุกคนต่างก็เริ่มเอ่ยชมฉินเย่อย่างไม่หยุดหย่อน “ขอแสดงความยินดีด้วยฝ่าบาท เวลานี้จะไม่มีสิ่งใดหยุดการเจริญเติบโตของยมโลกได้อีกแล้ว !”

“พวกเราจะกลายเป็นสังคมอารยะในอีกไม่นาน ! เป็นเพราะมีท่านฉินอยู่ถึงทำให้ยมโลกประสบความสำเร็จได้มากขนาดนี้ภายในระยะเวลาไม่ถึงปี !”

“เมื่อระบบการเงินถูกใช้งานโดยสมบูรณ์ เราก็จะไม่มีปัญหาเรื่องการขับเคลื่อนชาติแล้ว !”

โชคมักเข้าข้างผู้ที่เตรียมพร้อมเสมอ… ฉินเย่ลูบลำต้นของต้นไทรยักษ์ ยมโลกพร้อมแล้ว

“รายงานข้าทันทีหากเกิดปัญหาอะไรขึ้น อรากษส เจ้าจงดูแลยมโลกไปในระหว่างนี้ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าธนบัตรนรกชุดใหม่ได้รับการประทับตราอย่างถูกต้อง” เมื่อเอ่ยจบ ฉินเย่ก็คลายความตึงเครียดภายในหัวของตน ใส่พลังเข้าไปในเศษตราจ้าวนรกและกลับไปที่ห้องพักของเขาในแดนมนุษย์ทันที

มันเหน็ดเหนื่อย… แต่มันก็คุ้มค่า…

เขาล้มตัวนอนลงบนเตียงพร้อมกับดวงตาที่เบิกกว้าง เวลาผ่านไปในชั่วพริบตา และวันหยุดภาคฤดูร้อนก็จบลงโดยที่เขาไม่ทันรู้ตัว ระยะเวลาหนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่เขาก็ยังสามารถจดจำทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้ทำลงไปได้อย่างชัดเจน แม้กระทั่งเอกสารใดบ้างที่เขาได้เซ็นอนุมัติไป

ความรู้สึกพึงพอใจและความสำเร็จแผ่ซ่านไปทั่วร่างของเขาราวกับคลื่นยักษ์ ไม่ใช่ผลจากความดีใจจากการขยายตัวครั้งใหญ่ของยมโลก แต่มันเป็นผลมาจากการเดินทางที่แสนยาวนานและยากลำบากของการกำเนิดใหม่ของยมโลกและการเจริญเติบโตอย่างช้าๆที่หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณของเขา

“ดูรอยยิ้มบนใบหน้าของตัวเองเสียบ้าง เจ้าดูเหมือนกับพวกโง่ไม่มีผิด” เสียงของอาร์ทิสดังขึ้นจากด้านหลัง ฉินเย่ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามอง… “ท่านจะไปเข้าใจความรู้สึกของข้าได้อย่างไร… เห้อ… มันเป็นความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยายได้… จะว่าไป ท่านกลับมาทำไมกัน ? คุณผู้หญิง ต้องให้ข้าบอกท่านอีกกี่ครั้งว่าท่านไม่ใช่แบบที่ข้าชอบ ?”

เห็นได้ชัดว่าฉินเย่กำลังมีความสุขเป็นอย่างมากที่ตนสามารถพูดคำพูดที่ไม่สุภาพเช่นนี้กับอาร์ทิสได้โดยตรง…

อาร์ทิสกลอกตา “อย่างน้อยที่สุด… โรงพิมพ์ธนบัตรกลางของยมโลกก็จะยังไม่เริ่มกระบวนการพิมพ์ธนบัตรจนกว่าจะถึงเดือนหน้า มันยังมีปัญหาเกี่ยวกับที่ตั้งของสำนักงาน การวางระบบรักษาความปลอดภัย จัดตั้งสายการพิมพ์และอื่น ๆ อีกมาก ดังนั้นเจ้าจะมีปัญหาหรือไม่หากข้าจะกลับมาหยิบคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์ของตัวเอง ?”

“…แน่นอนว่าไม่… แต่มันก็ยังมีความรู้สึกเล็ก ๆ ว่ามันมีอะไรบางอย่างมากกว่าที่ตาเห็น…”

“นั่นไม่ใช่ประเด็น” อาร์ทิสเอ่ยแทรกขึ้นอย่างเชี่ยวชาญด้วยเทคนิคเหยื่อและสวิทช์ “เจ้ามีอะไรอีก ?”

ฉินเย่เหลือบมองครึ่งล่างของร่างกายตัวเอง

นั่นเป็นคำถามที่ค่อนข้างตรงเป้าทีเดียว…

อ่าา… นางไม่ได้ถามถึงเรื่องนั้น… เด็กหนุ่มกระแอมออกมาและมองอาร์ทิสอย่างเก้ ๆ กัง ๆ

“แค่ก แค่ก… เกี่ยวกับเรื่องนั้น…” ฉินเย่กระแอมออกมาขณะที่ปรับสีหน้าของตัวเอง จากนั้นก็เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ด้วยการก่อตั้งโรงพิมพ์ธนบัตรกลางของยมโลกและการพิมพ์ธนบัตร พวกเราจะสามารถจ่ายเงินเดือนให้กับเหล่าทหารของเราได้ ดังนั้น…สิ่งเดียวที่ต้องทำในตอนนี้ก็คือเรื่องกองกำลังของเรา…”

อาร์ทิสเอ่ยเบา ๆ “ข้าคิดว่าการไร้ยางอายก็มีข้อดีเช่นกัน ข้าหมายถึง แม้แต่หลินฮั่นก็คงไม่สามารถปรับท่าทางของเขาและพลิกสถานการณ์ได้รวดเร็วขนาดนี้… นี่ วางหมอนลงได้แล้ว… มาคุยกันแบบผู้ใหญ่… ที่ข้าถามก็คือเจ้าวางแผนที่จะทำอย่างไรต่อหากการเจรจากับกษัตริย์แห่งฮันยางในปลายปีนี้เป็นไปได้ด้วยดี ?”

ฉินเย่วางหมอนสพันจ์บ็อบของตนลงอย่างอาย ๆ ท่านช่วยปล่อยให้ข้าได้ผ่อนคลายสักครั้งไม่ได้หรือ ?

เด็กหนุ่มกลอกตาใส่อาร์ทิสและหันหลังให้อีกฝ่ายขณะที่ถามว่า “ท่านคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับยมโลกในตอนนี้คืออะไร ?”

อาร์ทิสถามกลับอย่างสงสัย “ไม่ใช่การประชุมราชสำนักที่จะถูกจัดขึ้นในปลายปีนี้อย่างนั้นหรือ ?”

สุดท้ายแล้ว มันก็คืออุปสรรคที่จะต้องข้ามผ่านไปให้ได้

หากยมโลกไม่แสดงความแข็งแกร่งออกมาภายในปลายปี ชาติที่อยู่ล้อมรอบจีนก็จะเกิดจลาจลขึ้นทันที !

ฉินเย่พยักหน้าเบา จากนั้นก็ส่ายหน้าก่อนที่จะถามกลับด้วยสิ่งที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยสอดคล้องกันนัก “ท่านรู้หรือไม่ว่าค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ของรัฐบาลนั้นอยู่ที่ไหน ?”

อาร์ทิสขมวดคิ้วด้วยความสับสน “การสร้างสะพาน ? ถนน ?”

ฉินเย่ส่ายหน้า “ไม่ใช่ มันคือสงคราม”

“ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ของรัฐบาลต่าง ๆ นั้นอยู่ที่การสร้างกองทัพ”

เขาถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยอ่อน “แม้ว่าทหารวิญญาณไม่จำเป็นต้องมีค่ากินหรือค่ารักษาพยาบาล แต่การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีก็จำเป็นจะต้องใช้เงินจำนวนมาก พวกอาวุธจากมรดกของยมโลกแห่งเก่าอย่างเช่นหน้าไม้โซ่เพลิงนรกหรือโลงศพส่งวิญญาณจำเป็นจะต้องได้รับการทดสอบและทดลอง ทั้งหมดนั้นจำเป็นจะต้องได้รับการสนับสนุนจากเงินทุนจำนวนมาก นอกจากนี้… ทรัพยากรที่เรามีก็แตกต่างไปจากสิ่งที่ยมโลกแห่งเก่ามีอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นมันไม่สามารถบอกได้เลยว่าเราจะต้องลงทุนอะไรไปบ้างเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีเหล่านั้น…”

“แล้วเงินมาจากไหน ?”

อาร์ทิสจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างโมโห หากข้ารู้คำตอบของคำถามนั้น เจ้าจะยังได้นั่งอยู่ในตำแหน่งของตัวเองตอนนี้อยู่อีกหรือไม่ ?

ฉินเย่ตอบคำถามของตัวเองด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเล็กน้อย “ในเมื่อมันไม่มีทางที่เราจะสามารถสร้างรายได้ให้กับยมโลกจากภายในได้…. พวกเราก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องติดต่อกับกองกำลังภายนอกอื่น ๆ ไม่จำเป็นต้องเป็นอานูบิสหรือเฮดีส… สำหรับตอนนี้ พวกข้าราชการศักดินาสิบกว่าตนก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลย”

เขาหันหลังกลับไปจ้องหน้าอาร์ทิส “การแสดงอำนาจในการประชุมราชสำนักที่จะถูกจัดขึ้นในปลายปีนี้จะทำให้พวกเขายอมรับเรา อย่างไรก็ตาม นั่นทำให้พวกเราก้าวเข้าไปในประตูเท่านั้น สิ่งที่จะตามมาก็คือการสร้างเส้นทางการค้ากับต่างชาติ แต่… การซื้อขายจะเกิดขึ้นที่ไหน ? จะเกิดขึ้นอย่างไร ? เราจะจัดการไม่ให้ความลับทั้งหมดเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของยมโลกรั่วไหลออกไปได้อย่างไร ? นั่นคือสิ่งที่ข้าให้ความสนใจเป็นเรื่องต่อไป !”

“ไม่ว่าโนบูนางะจะฝึกฝนทหารวิญญาณ หรือการจัดตั้งระบบการเงิน ทุกอย่างถูกดำเนินการเพื่อสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งพอที่จะเข้าสู่องค์การการค้าโลก ดังนั้น… ท่านคิดว่าข้ากำลังวางแผนที่จะทำสิ่งใดต่อ ?”

อาร์ทิสกะพริบตาปริบ ๆ อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนและเอ่ยออกมาด้วยเสียงที่สั่นเทา “เจ้า… กำลังคิดที่จะสร้างเมืองอย่างนั้นหรือ ?!”

“เมืองท่าสำหรับการค้า ?!”