บทที่ 877 นิสัยขัดกับรูปลักษณ์ Ink Stone_Fantasy
“นี่น่าจะเป็นอุปกรณ์ที่เธอใช้ติดต่อกับผู้บัญชาการหวังโดยตรง…” หลิงม่อนวดขมับ แล้วหยิบเครื่องมือสื่อสารเครื่องนั้นมา เจ้าสิ่งนี้แตกต่างจากเครื่องมือสื่อสารที่เขาเห็นทั่วไปมาก ดูแวบแรกก็รู้แล้วว่ามันผ่านการปรับแต่งมาอย่างดี
“ในเมื่อเป็นเครื่องมือสื่อสารที่ถูกใช้เฉพาะกิจ ถ้าอย่างนั้นมันก็ต้องติดตั้งระบบป้องกันการถูกดักฟังไว้ด้วยแน่ๆ ไม่แน่ว่าอาจไม่จำกัดเวลาการโทร โดยที่สามารถติดต่อกับหมอนั่นได้ตลอดเวลาด้วยซ้ำ” ซย่าน่าพูดขึ้นจากอีกด้าน
หลี่ย่าหลินชะโงกหน้ามาทางอีกฝั่ง แล้วถามว่า “จะโทรหรอ?”
สีหน้าของหลิงม่อดูแปลกไปทันที เขากำเครื่องมือสื่อสารไว้โดยไม่พูดอะไร
กับผู้ที่อยู่เบื้องหลังแผนการลอบฆ่าตัวเอง แน่นอนว่าหลิงม่อไม่ได้รู้สึกดีกับเขาอยู่แล้ว…แต่เขาจะพูดคุยกับหมอนั่นซักครั้งดีไหม เขาไม่มั่นใจนัก
จากการรู้จักกันทางอ้อมที่ผ่านมา หลิงม่อได้นิยามคำที่เหมาะกับเขาไว้แล้ว : เลือดเย็น เจ้าแผนการ เด็ดเดี่ยว…ก็คงจะมีแต่คนแบบนี้ที่จะสามารถโดดเด่นขึ้นมาท่ามกลางสมาชิกระดับสูง และกลายเป็นผู้นำของพวกนั้นได้
แม้แต่ท่าทีของซูเชี่ยนโหรวก็ยังทำให้ดูออกได้ไม่ยาก ว่าผู้ชายคนนี้สามารถทำให้คนเกรงกลัวได้จริงๆ
แต่ว่า…ความจริงแล้ว ปัญหาที่หลิงม่อกำลังครุ่นคิดอยู่ไม่ใช่คนคนนี้แข็งแกร่งขนาดไหน สิ่งที่เขาสนใจคือ หากเขาโทรไปครั้งนี้ จะมีผลดีมากน้อยแค่ไหน?
“ไม่ว่าจะพยายามปิดอีกแค่ไหน พรุ่งนี้ข่าวก็ต้องไปถึงหูของฟอลคอนแน่นอน เดาว่าคนพวกนี้คงรายงานข่าวตามเวลาที่กำหนดไว้จนเป็นนิสัยอยู่แล้ว หากมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นคนทางนั้นก็ต้องรู้ตัว บวกกับวิเคราะห์เพิ่มอีกนิดหน่อยก็คงเดาได้ไม่ยากว่าเกิดเรื่องขึ้นทางนี้ ส่วนทางฐานทัพที่ 2 เองก็คงไม่ปล่อยให้สมาชิกฟอลคอนทำงานกันตามปกติหรอก ดังนั้น…” ซย่าน่าม้วนผมเล่น แล้วบอกว่า “ช่วงเวลาที่เครื่องมือสื่อสารเครื่องนี้จะมีประโยชน์ ก็คือนับตั้งแต่ตอนนี้ไปจนถึงประมาณหกโมงเช้าของพรุ่งนี้”
“หมายความว่า ให้ฉันคิดให้ดีว่าจะถามอะไรบ้างงั้นหรอ…” หลิงม่อพูดขึ้น
ซย่าน่ากระตุกมุมปาก ยกมือดีดนิ้ว “ถูกต้อง! คุยกับคนแบบนี้จะต้องเหนื่อยมากแน่ๆ ถ้าหากไม่คิดให้ดีก่อน…เฮ้ย! นี่พี่กดโทรแล้วนี่!”
ชั่วขณะหนึ่ง ในห้องน้ำมีแต่ความเงียบ มีเพียงหลิงม่อที่ตอนนี้กำลังถือเครื่องมือสื่อสารไว้ในมือ และจ้องมองกระจกด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยว
พวกเขาประมือกันทางอ้อมมาหลายครั้ง และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่จะได้คุยกันอย่างเป็นทางการ…
ไม่รู้ว่าพออีกฝ่ายได้ยินเสียงเขา จะมีสีหน้าแบบไหน…
ดูจากวิธีการทำงานของเขา เกรงว่าในสายตาเขา พวกหลิงม่อคงเป็นแค่หนอนตัวเล็กๆ ที่รนหาที่ตายเท่านั้น…เหยียบตายได้ก็ดี แต่ถ้าเหยียบไม่ตายก็ไม่เป็นไร เพราะเขาจะยื่นมือออกมาบีบหนอนอย่างพวกเขาให้ตายเมื่อไหร่ก็ได้…
หลายวินาทีต่อมา เสียงทุ้มต่ำของผู้ชายคนหนึ่งก็ดังมาจากปลายสาย น้ำเสียงแฝงด้วยความเกียจคร้านเล็กๆ ถึงแม้จะมีคลื่นรบกวน แต่ก็ยังสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงคล้ายพวกพิธีกรรายการวิทยุอย่างชัดเจน…
“ฮัลโหล?”
“อะไรกัน! เป็นเพื่อนร่วมงานกับสวี่ซูหานหรอเนี่ย!” หลิงม่อขมวดคิ้ว
เมื่อนึกถึงรูปร่างหน้าตาของอีกฝ่ายร่วมด้วยแล้ว หลิงม่ออยากจะเหวี่ยงหมัดออกไปซะเดี๋ยวนั้นเลย
คนแบบนี้ไม่ควรเป็นพวกจิตใจโหดเหี้ยมไม่ใช่หรอ!ทำไมนิสัยกับรูปร่างหน้าตาถึงได้ขัดกันขนาดนั้นวะ!พอนึกถึงอวี๋เสียนที่หลงรักเขาขนาดนั้น…โลกนี้มองคนที่หน้าตาอย่างที่คิดจริงๆ!
หลิงม่อหมายจะเปิดปากพูด แต่กลับได้ยินเสียง “หื้ม?” มาจากปลายสาย
“ไม่ใช่อวี๋เสียน ใครน่ะ?” อีกฝ่ายถามอย่างใจเย็น
“ชิท!”
ความสามารถในการฟังคือสุดยอด! ประเด็นคือเขายังไม่ได้พูดอะไรเลย แล้วอีกฝ่ายรู้ได้ยังไง!
“อย่าเสียเวลาเลย จังหวะหายใจของคุณไม่เหมือนอวี๋เสียน แล้วก็หนักหน่วงเกินกว่าจะเป็นผู้หญิง ดังนั้นผมมั่นใจว่าคุณเป็นผู้ชาย อวี๋เสียนล่ะ? เธอเป็นอะไรหรือเปล่า?” อีกฝ่ายพูดต่อ
คำพูดของเขาทำให้หลิงม่อมีสีหน้าตึงเครียดขึ้นมาทันที
คนคนนี้มีความสามารถในการฟังที่ดีกว่าคนปกติ ซ้ำยังมีความสามารถในการวิเคราะห์แยกแยะอันยอดเยี่ยม เหมือนกับอวี๋เสียนไม่มีผิด ถึงแม้จะมีแค่เบาะแสเพียงเล็กน้อย แต่ทั้งเธอและเขาต่างสามารถสรุปอะไรได้มากมาย แต่ผู้บัญชาการหวังท่านนี้ดูจะร้ายกาจกว่าอวี๋เสียนมาก ดูท่าว่า “การฝึกพิเศษ” ในความทรงจำของอวี๋เสียน คงจะถูกคนคนนี้ฝึกด้วยตัวเองเป็นแน่
แต่ว่า…คนที่ฝึกแฟนตัวเองเพื่อที่จะให้เธอไปทำภารกิจเสี่ยงอันตรายอย่างนี้ มันน่ากระทืบจริงๆ!
“ฟังนะ ผมไม่สนว่าคุณจะเป็นใคร ขอเพียงอย่าทำอะไรอวี๋เสียน ผมจะให้โอกาสเราได้เจรจากัน…” ผู้บัญชาการหวังยังคงพูดต่อ
แต่หลิงม่อกลับแค่นหัวเราะออกมา พร้อมกับพูดแทรกเขา “เล่นละครอยู่หรอไง? ให้โอกาสฉันได้เจรจางั้นหรอ…คิดว่าตัวเองเป็นใคร มั่นใจขนาดนั้นเชียว?”
คงเป็นเพราะน้ำเสียงเขาฟังดูชั่วร้ายไปหน่อย จนแม้แต่เหล่าซอมบี้สาวก็ยังพากันเหล่มอง
หวังหลิ่นปิดปากกลั้นหัวเราะ “พูดสิ พูดต่อเลย ทำเสียงเข้มอีกหน่อยนี่เหมือนพวกโจรลักพาตัวเลยอ่ะ”
“อวี๋เสียนอยู่ในมือฉันแล้ว” หลิงม่อพูดเสียงเข้ม
“เฮ้ย ทำจริงๆ ด้วย! พูดบทโจรลักพาตัวออกมาเฉยเลย!” หวังหลิ่นตะลึง
ฝั่งผู้บัญชาการหวังนิ่งเงียบ ทว่าไม่นานเขาก็มีปฏิกิริยา โดยการตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่เปลี่ยน “คุณต้องการอะไร?”
“ดูสิ แกดูใจเย็นมากเลยนี่ ฉันว่าตอนที่แกเงียบไม่ใช่เพราะกำลังเสียใจอยู่หรอก แต่เป็นเพราะกำลังออกคำสั่งอยู่ล่ะสิ?” หลิงม่อบอก
“ไม่เกี่ยวกับคุณ” ผู้บัญชาการหวังบอก “คุณบอกสิ่งที่ต้องการมาเถอะ”
หลิงม่อกลับขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม…ถึงแม้จุดยืนแตกต่างกัน แต่ตอนที่ผู้หญิงคนนั้นขัดขืนด้วยการไม่ยอมพูดอะไร เขามองเห็นความรักที่บิดเบี้ยวได้จากตัวเธอ…ความรักอันบ้าคลั่งที่ทำเพื่อตัวเองเท่านั้น ไม่สนใจคนอื่น…
แต่สิ่งที่เธอได้จากการเสียสละ กลับเป็นท่าทีนิ่งสงบ กระทั่งออกจะเย็นชาเล็กน้อยของผู้บัญชาการหวัง
คุยกันมาตั้งนาน เขาไม่ถามถึงความปลอดภัยของอวี๋เสียนมากเท่าที่ควรจะเป็น…และท่าทีจริงจังเหมือนกำลังทำงานสำคัญของเขา ก็ทำให้หลิงม่ออดรู้สึกเสียวสันหลังไม่ได้
คนเรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร และอยู่ได้ด้วยอะไร…ปัญหานี้เคยวนเวียนอยู่ในสมองของเขานับครั้งไม่ถ้วน
แต่ วิธีการใช้ชีวิตของคนเรา ช่างแตกต่างกันเหลือเกิน…
“ข้อเรียกร้องของฉัน แกจะให้ได้หรอ?” หลิงม่อถาม
“แน่นอน” ผู้บัญชาการหวังตอบอย่างรวดเร็ว
หลิงม่อส่ายหน้าบอกว่า “ไม่ แกไม่ให้แน่นอน การที่ฉันมีเครื่องมือสื่อสารเครื่องนี้อยู่ในมือ ก็แสดงว่าฉันรู้ข้อมูลมามากพอสมควรแล้ว ดังนั้นไม่ว่าอวี๋เสียนจะตายหรือไม่ เธอก็ไม่มีประโยชน์อีกต่อไปแล้ว แกแค่ต้องการฆ่าฉันเท่านั้น”
อีกฝ่ายเงียบไปชั่วขณะ เวลาอย่างนี้ การปฏิเสธหรือยอมรับไม่ได้มีความหมายมากนัก…ดังนั้นเมื่อเขาเปิดปากพูดอีกครั้ง สิ่งที่พูดจึงเป็น “หรือเราจะทำการแลกเปลี่ยนกันก็ได้ การแลกเปลี่ยนที่เราต่างก็ได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย ผมว่า คุณคงไม่ปฏิเสธหรอกใช่ไหม? เพื่อเป็นการแสดงความจริงใจ ผมไม่เคยถามอะไรมากความเลยซักนิด…”
“ไม่ล่ะ” หลิงม่อพูดตัดบทเขาอีกครั้ง “ฉันไม่อยากทำการแลกเปลี่ยนกับแก”
“แล้วคุณโทรมาทำไม?” ผู้บัญชาการหวังถาม
“เพื่อยืนยันว่าแกเป็นไอ้เศษสวะคนหนึ่งจริงๆ หรือเปล่า แต่ตอนนี้ฉันมั่นใจแล้ว ตอนที่อัดแก จะได้ใส่ไม่ยั้ง” หลิงม่อพูดเสียงเย็นชา
“คุณเป็นใครกันแน่…”
“ฉันชื่อหลิงม่อ จำชื่อฉันไว้ให้ดี แล้วก็…รอดูฉันไปอัดแกถึงที่ได้เลย”
หลังจากปาเครื่องมือสื่อสารลงพื้น หลิงม่อรีบหยิบชิปการ์ดเล็กๆ ชิ้นหนึ่งขึ้นมาจากเศษซากเหล่านั้นทันที
“เจ้าสิ่งนี้อาจเป็นของประเภท GPS ก็ได้…ไม่มีใครรู้ ยังไงก็ปลอดภัยไว้ก่อน” เขาทิ้งชิปการ์ดลงในโถชักโครก แล้วบอกว่า “ลงไปตามหาประตูมิติเอาในส้วมเถอะ”
“เมื่อกี้ทำเป็นเท่ห์…ที่แท้ก็แอบตรวจสอบเครื่องมือสื่อสารอยู่ด้วยนี่เอง!” ซย่าน่าตบหน้าผาก
เย่เลี่ยนยิ้มซื่อๆ ให้หลิงม่อ และรับเครื่องมือสื่อสารที่เขายื่นให้แต่โดยดี
เธอเขย่าเครื่องมือสื่อสารเบาๆ เหมือนต้องการเขย่าเจ้าผู้บัญชาการหวังคนนั้นออกมาจากข้างใน แล้วอัดเขาซักครั้งอย่างไรอย่างนั้น…
“แต่ว่า…พี่ด่าไปซะเจ็บแสบขนาดนั้น เขาต้องรู้แน่ๆ ว่าที่นี่เกิดเรื่องแล้ว” หวังหลิ่นพูดอย่างอดกังวลไม่ได้
หลิงม่อยกข้อมือขึ้นดู บอกว่า “ตอนนี้ผ่านไปสองชั่วโมงกว่าแล้ว แล้วก็เป็นเวลาเที่ยงคืนพอดี…สรุปคือช่วงเวลาที่วุ่นวายที่สุดได้ผ่านไปแล้ว ถึงเขาจะรู้ แต่กว่าจะตรวจสอบให้แน่ชัดได้ก็ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง…กลัวอะไรกัน?”
“อยากให้พวกนั้นส่งคนมาเยอะๆ จัง จะได้ทำให้มาแล้วกลับไม่ได้” หลี่ย่าหลินหัวเราะคิกคัก แต่สิ่งที่พูดออกมากลับทำให้บรรยากาศในห้องเย็นเฉียบทันใด…
“ไม่น่าจะเป็นไปได้…เดาว่าพวกนั้นน่าจะเล่นสงครามทรัพยากรมากกว่า” หลิงม่อบอก
ทรัพยากรเป็นจุดแข็งของฟอลคอนมาโดยตลอด แต่สำหรับหลิงม่อในตอนนี้ สิ่งที่เขาร่ำรวยที่สุดกลับเป็นทรัพยากร…
ที่เขาต้องทำ ก็แค่ต้องหาวิธีขนของพวกนั้นมาที่นี่เท่านั้น
………..
ณ ฐานทัพฟอลคอน
ในห้องทำงานมืดสลัวห้องหนึ่ง ชายห่มผ้าคลุมไหล่คนหนึ่งกำลังกำเครื่องมือสื่อสารในมือแน่น พลางจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
ด้านหลังเขา มีหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่อย่างเงียบๆ เช่นกัน
สิ่งที่ไม่เหมือนเขา คือผู้หญิงคนนี้สวมชุดเครื่องแบบอย่างเป็นระเบียบ ใส่แว่นกรอบทอง ดูท่าทางเป็นคนเข้มงวดกวดขัน ขณะเดียวกันก็เหมือนกับกำลังอยู่ในเวลางาน
ในห้องที่เงียบกริบ เสียงคลื่นรบกวนที่ดังออกมาจากเครื่องมือสื่อสารค่อนข้างดังจนน่ารำคาญ และฟังดูแปลกประหลาดด้วย…
“ผู้บัญชาการคะ?” จู่ๆ หญิงสาวก็เปิดปาก
ชายหนุ่มเริ่มออกแรงบีบเครื่องมือสื่อสารแรงขึ้น ไม่เพียงข้อต่อนิ้วเริ่มขาวซีด แม้แต่เครื่องมือสื่อสารก็เริ่มมีเสียง “แคร่ก แคร่ก” ดังขึ้น
สิบกว่าวินาทีผ่านไป อยู่เขาก็โพล่งถามขึ้น “คนที่ไปไล่ล่าเขา หายตัวไปหมดเลยหรอ?”
“ใช่ค่ะ” หญิงสาวพยักหน้า
“มิน่าล่ะ…” เขาออกแรงที่มือเพิ่มขึ้นอีก “มิน่าล่ะเขาถึงได้โทรฯ มาหาผมได้”
“ผู้บัญชาการคะ ไม่ควรดูถูกฝีมือการต่อสู้ของพวกนั้น ถึงแม้มีคนไม่มาก แต่ประสบการณ์ในการต้อสู้ยอดเยี่ยมกันทุกคนค่ะ”
“สายไปแล้ว” ชายหนุ่มคลายมือ จากนั้นก็เอนหลังพิงเก้าอี้ “หมากตัวนี้ได้หมดประโยชน์ไปแล้ว ทำได้เพียงหาวิธีอื่นกดดันอวี่เหวินซวนเท่านั้น…แต่ว่า จะปล่อยเขาไปง่ายๆ อย่างนี้ไม่ได้ รอจบเรื่องก่อน แล้วค่อยเลือกมือดีจากทีมหลักไปจัดการเขา แล้วก็พรรคพวกของเขาซะ”
น้ำเสียงของเขาเฉยชามาก เหมือนเขาไม่ได้กำลังพูดถึงคนเป็นๆ กลุ่มหนึ่ง แต่กำลังพูดถึงมดไม่กี่ตัว
ผู้หญิงคนนั้นพยักหน้าเบาๆ “เข้าใจแล้วค่ะ ถ้าอย่างนั้นคืนนี้…”
“ไม่ต้องรีบร้อนไป ไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไรสิ้นคิดเหมือนสุนัขจนตรอกแค่ไหน สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้อยู่ดี…” ชายหนุ่มกระชับผ้าคลุม แล้วอยู่ๆ ก็แค่นหัวเราะ “จำชื่อฉันไว้ให้ดีงั้นหรอ…น่าเบื่อจริง…”
—————————————————————————–