บทที่ 878 วิธีการรับสารผิดพลาดแน่ๆ Ink Stone_Fantasy
“ทหารศึกทั้งหมดมีหนึ่งร้อยยี่สิบคน รวมถึงคนงานเกือบสองร้อยกว่าคน นอกจากนี้เฮลิคอปเตอร์ที่สามารถใช้งานได้ปกติมีเจ็ดลำ เครื่องบินรบมีสองลำ…ที่เหลือล้วนอยู่ในระหว่างซ่อมแซม แต่เรามีคนขับไม่พอ ถึงจะซ่อมเสร็จก็ใช้งานไม่ได้อยู่ดี…”
ในห้องประชุม จางอวี่ถือเอกสารฉบับหนึ่งไว้ในมือพลางยืนพูดเสียงดังฟังชัด และบุคคลที่นั่งอยู่ข้างหน้าเขา ก็คือเหล่าสมาชิกระดับสูงทั้งหมดของฐานทัพที่ 2 รวมถึงพวกหลิงม่อด้วย…หวังหลิ่นกับเหล่าเจิ้งกลับไม่ได้อยู่ในห้องนี้ด้วย ความจริงหลังจากที่เข้ามาในฐานทัพที่ 2 เหล่าเจิ้งก็คิดหาทางติดต่อค่ายของตัวเองทันที ส่วนหวังหลิ่นแม้ว่าจะสนใจเรื่องวุ่นๆ อย่างนี้ขนาดไหน แต่ถึงอย่างไรเธอก็ยังอยู่ในฐานะคนของค่ายกลาง ดังนั้นบางเหตุการณ์เธอจึงไม่เหมาะจะมีส่วนร่วมด้วย…
“…ดังนั้น ดูจากความสามารถในการสู้รบโดยรวม พวกเราเป็นรองฝ่ายฟอลคอนแน่นอน แต่พวกเรามีข้อได้เปรียบด้านการเจรจาทางอากาศที่พวกเขาไม่มี หากวิเคราะห์จากด้านนี้ ความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะเปิดศึกกับพวกเราโดยตรงมีไม่มาก…ส่วนเรื่องทรัพยากรที่ทุกคนเป็นห่วงกันมากที่สุด…” พูดถึงตรงนี้ จางอวี่ก็หันมามองหลิงม่อ “ผมว่าให้พี่หลิงขึ้นมาพูดเองดีกว่า”
“อะแฮ่ม…”
แต่หลิงม่อเพิ่งจะลุกขึ้นยืน ชายผิวดำร่างท้วมคนหนึ่งก็ตบโต๊ะดังปัง “พูดเรื่องไร้สาระอยู่ได้ ที่พวกเรามารวมตัวกันที่นี่ตั้งแต่เช้ามืด ไม่ได้อยากมาฟังพวกคุณวาดฝันสวยงาม เรื่องที่พวกเราอยากรู้คือ การเคลื่อนไหวที่ไม่ได้วางแผนกันก่อนนี้มันหมายความว่ายังไงกันแน่? ตอนนี้พวกเราไม่มีการเตรียมตัวใดๆ ทั้งสิ้น จะยืนหยัดภายใต้เงื้อมมือของฟอลคอนไปได้อีกนานแค่ไหน!” เขามองหลิงม่ออย่างไม่เกรงกลัว และพูดเสียงหนักแน่นกว่าเดิม “อย่าถือสาหากผมพูดตรงเกินไป ถึงอย่างไรพวกผมก็เป็นคนที่ต้องเสี่ยงชีวิตอยู่แนวหน้า ถ้าหากไม่ได้ยินอะไรที่เป็นรูปธรรม พวกเราไม่มีทางยอมรับแน่นอน!”
“ใช่ เรื่องนี้กะทันหันเกินไปแล้ว…”
“การกระทำประมาทอย่างนี้ไม่เท่ากับเป็นการจับทุกคนไปย่างบนกองไฟหรอ…”
คนที่เหลือต่างพากันกระซิบกระซาบขึ้นมา บางคนกระทั่งพูดเสริมเสียงดัง “ถูกต้อง!ไม่ยอมรับหรอก!”
“ต้องมีคำอธิบายดีๆ!”
“ทุกคนมาเข้าร่วมกับค่ายเพื่อที่จะได้มีชีวิตที่ดีกว่าเดิม ไม่ได้มาเพื่อช่วยพวกคุณทำเรื่องบ้าๆ!”
“เหอะ!” ซย่าน่าแววตาเยือกเย็น เธอคว้าเคียวดาบหมายจะลุกขึ้นยืน แต่กลับถูกหลิงม่อกดไหล่ให้นั่งลง
คนเหล่านี้ไม่เหมือนสมาชิกของฟอลคอน เพราะมีพวกเขาอยู่ ฐานทัพที่ 2 จึงยืนหยัดอยู่ได้และขับเคลื่อนไปได้อย่างปกติ
หากค่ายค่ายหนึ่งต้องการสร้างกฎระเบียบขึ้นมา ก็จำเป็นต้องทำอะไรอีกหลายอย่างเหลือเกิน แค่การเริ่มต้นด้วยการเลี้ยงปากท้องของคนหลายร้อยคน ก็ถือเป็นงานที่ใหญ่มากชิ้นหนึ่งแล้ว
คนมากมายขนาดนี้ มีความเห็นที่แตกต่างไม่ลงรอยกันก็ถือเป็นเรื่องปกติ…หลิงม่อกวาดมองพวกเขาจากทางซ้ายไปทางขวาทีละคน จนกระทั่งพวกเขาค่อยๆ หุบปาก เขาจึงพูดเสียงดังว่า “เรื่องนี้…ผมตัดสินใจทำเร็วเกินไปจริงๆ”
ระหว่างที่ทุกคนยังคงเงียบต่อไป บางคนก็เผยสีหน้าไม่เข้าใจ พลางส่งสายตาสงสัยให้กัน
ยอมรับง่ายๆ อย่างนี้เลย?
พวกเขาส่วนมากล้วนรู้ดีเกี่ยวกับตัวหลิงม่อ แม้แต่ส่วนน้อยที่เหลือ อย่างน้อยก็รู้ดีว่าหลิงม่ออยู่ในสถานะอะไร
ไม่ใช่หัวหน้าของหัวหน้า…เพราะคำพูดของเขา มีผลมากกว่าหัวหน้าด้วยซ้ำ
เรื่องที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อน คนเบื้องล่างเหล่านี้ไม่เข้าใจ และไม่จำเป็นต้องเข้าใจด้วย สำหรับพวกเขา ขอเพียงรู้ว่าสิ่งที่หลิงม่อพูดจะมีผลจริงๆ และสามารถให้พวกเขาเห็นถึงความมุ่งมั่นสูงสุด แค่นี้ก็พอแล้ว
ดังนั้นสิ่งที่หลิงม่อเพิ่งพูดออกไป จึงทำให้พวกเขาไม่สบายใจอย่างเห็นได้ชัด
ชายร่างท่วมหมายจะคำรามต่อ แต่กลับได้ยินหลิงม่อพูดอย่างไม่รีบร้อนว่า “แต่ตัดสินใจลงมือเร็ว ก็ไม่ได้หมายความว่าทำผิด ผมรู้ว่าพวกคุณต่างกำลังรอว่าเมื่อไหร่ที่ทางฟอลคอนจะเคลื่อนไหว พวกคุณหวังว่าพวกเขาจะไม่ทำเกินไป และเหลือโอกาสให้พวกคุณมีชีวิตรอดบ้าง…บอกตามตรง พวกเขาเหลือโอกาสให้พวกคุณรอดแน่ แต่นอกจากคนสำคัญที่จำเป็นต้องเก็บไว้จริงๆ พวกคุณคิดว่ามีกี่คนที่นั่งอยู่ในที่นี้จะสามารถอยู่ในฐานทัพที่ 2 ต่อไปได้? พอพวกคุณถูกย้ายไปอยู่ที่ฟอลคอน คงไม่ต้องบอกก็น่าจะรู้ว่าชีวิตแบบไหนที่รอพวกคุณอยู่ที่นั่น”
“แล้วยังไง อย่างน้อยก็ยังมีชีวิตรอดอยู่นี่!” มีคนตอบด้วยเสียงไม่พอใจ
หลายคนเริ่มแสดงสีหน้าไม่พอใจตาม จะพูดเรื่องพวกนี้ให้ได้อะไรขึ้นมา!คำพูดสวยหรูใครก็พูดเป็น ยิ่งไปกว่านั้นนี่ก็ไม่นับว่าเป็นคำพูดสวยหรูด้วยซ้ำ!
หลิงม่อกลับทำเป็นเหมือนไม่ได้ยิน แล้วพูดว่า “อาจมีหลายคนคิดว่า ขอเพียงมีชีวิตอยู่ ก็ดีกว่าอะไรทั้งสิ้นแล้ว ถ้าพวกคุณคิดอย่างนี้ ผมก็จะไม่ห้าม แต่ผมอยากจะบอกว่า วันนี้ที่ผมไม่ไหงายไพ่ตามกฎ ก็เพียงเพื่ออยากหลุดพ้นจากชีวิตที่มีคนคอยบงการเท่านั้น ถึงแม้พวกเขาไม่ได้บงการผม แต่พวกเขาก็กำลังบงการค่ายที่ผมยึดมาได้กับมือ หากต้องฝากชีวิตไว้กับความคิดและความเห็นชอบของคนอื่น การมีชีวิตอยู่คงเป็นเรื่องน่าเศร้าเกินไป”
ทุกคนต่างพากันเงียบ ถึงแม้มีคนจำนวนไม่น้อยที่แค่นเสียงหัวเราะขึ้นจมูก แต่กลับไม่มีใครกล้าค้านขึ้นมา
ก็ช่วยไม่ได้ เพราะสิ่งที่หลิงม่อพูดนั้นเป็นความจริง…
ทุกคนที่นั่งอยู่ในนี้ต่างก็คิดเหมือนเขา พวกเขายอมแล้วยอมอีก ก็เพราะหวังว่าสุดท้ายจะสงบศึกกันได้อย่างสันติ
ฟอลคอนไม่มีทางทำลายฐานทัพที่ 2 อย่างมากพวกเขาก็แค่อยากยึดครองอำนาจมากขึ้นเท่านั้น…ถึงแม้สุดท้ายแล้วพวกเขาต้องกลายเป็นหุ่นเชิด กระทั่งอาจถูกย้ายไปอยู่ที่ฐานทัพใหญ่เพื่อถูกจับตามอง หรือไม่ก็ถูกส่งตัวไปประจำอยู่ในพื้นที่อันตราย แต่ก็ยังดีกว่าต้องระเบิดสงครามกับพวกนั้นจริงๆ อยู่ดี! อย่าคิดว่ามีชีวิตมาจนถึงตอนนี้แล้วจะไม่หวาดกลัวอะไรเลย กลับกันยิ่งมีชีวิตยืนยาว พวกเขาก็ยิ่งกลัวตาย
อุตส่าห์ดั้นด้นมีชีวิตมาจนถึงตอนนี้ แต่กลับต้องมาตายเพราะเหตุผลนี้…ไม่ยุติธรรม ช่างไม่ยุติธรรมเลยจริงๆ! และคนที่นั่งอยู่ในห้องนี้ล้วนมีความคิดอย่างนี้ แม้แต่หลิงม่อเองก็ไม่ยกเว้น ความจริงแล้ว เขาก็รักตัวกลัวตายมาก เขาอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปจริงๆ…
แต่การมีชีวิตอยู่ต่อไปก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เหมือนกัน แค่มีทักษะการเอาตัวรอดยังไม่พอ แต่ยังต้องแก่งแย่งทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดกับมนุษย์ด้วยกันเองอีก กองทัพอากาศในวันเก่าเป็นอย่างนี้ ฟอลคอนในวันนี้ก็เช่นกัน
ดังนั้น ถึงแม้น่าเศร้า…ถึงแม้น่าอดสู…แต่มันก็คงต้องเป็นอย่างนั้น…
อวี่เหวินซวนผู้ที่ใจกว้างอยู่แล้วสีหน้าเรียบเฉย แต่จางอวี่กับคนอื่นๆ ต่างพากันเผยสีหน้าจนใจ
คำพูดของหลิงม่อ ทำให้พวกเขาโดนลูกหลงกันไปไม่น้อย
“ดีมาก ดูเหมือนว่าพวกคุณยังไม่ละทิ้งศักดิ์ศรีไปจนหมด ยังคงอยากยืดอกและใช้ชีวิตอย่างผ่าเผย” หลิงม่อพยักหน้า บอกว่า “พวกคุณวางใจ ผมไม่เคยคิดทำลายที่นี่ และยิ่งไม่เคยคิดว่าจะทำให้พวกคุณต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตขาดแคลนทรัพยากร พวกคุณลองเปลี่ยนมุมมองคิดดู ถ้าหากไม่มีการเตรียมพร้อมที่ดีพอ ผมจะกล้าฉีกหน้าฟอลคอนหรอ?”
ประโยคคำถามเชิงย้อนของเขาทำให้ทุกคนนิ่ง และไม่นานเสียงพูดคุยถกเถียงกันอย่างดุเดือดก็ดังตามมา
จางอวี่อดยิ้มขมขื่นไม่ได้ ในใจพลางคำรามก้อง นายอาจจะกล้าทำอย่างนั้นจริงๆ ก็ได้นะ!
“ที่ฟอลคอนสามารถใช้เรื่องทรัพยากรมาบีบบังคับพวกเรา ข้อแรกเป็นเพราะพวกนั้นยึดครองพื้นที่ในเมือง X รวมถึงเมือง A ไปได้มากกว่าครึ่ง ข้อสองเพราะพวกเขามีที่ดินทำกิน ส่วนพวกเรา ความจริงก็ไม่ใช่ว่าไม่มีพื้นที่ให้เพาะปลูกพืชสวน เสียแต่ไม่มีอุปกรณ์เครื่องมือ และไม่สามารถใช้เฮลิคอปเตอร์ขนส่งมาโดยตรง เรื่องนี้เอาไว้เราค่อยคุยกันทีหลัง มาคุยเรื่องสำคัญอย่างเรื่องทรัพยากรที่มีอยู่ในคลังเสบียงก่อน…”
หลิงม่อเพิ่งพูดจบ หญิงสาวคนหนึ่งก็ลุกขึ้นยืนพร้อมเอกสารในมือ “เราได้ทำการบันทึกจำนวนทรัพยากรที่มีอยู่ใหม่แล้ว ตามกฎการคำนวณการบริโภคขั้นพื้นฐาน สิ่งของที่ใช้ในชีวิตประจำวันของเรายังพอมีให้ใช้ไปได้อีกหนึ่งเดือน อาหารแห้งและธัญพืชก็น่าจะมีพอกินประมาณเหนึ่งเดือนเหมือนกันค่ะ ถ้าหากฟอลคอนเลือกใช้วิธีตัดขาดการส่งอาหาร อีกประมาณหนึ่งเดือนครึ่งพวกเขาคงได้ชัยชนะไปครอง การออกค้นหาประปรายไม่สามารถเติมเต็มความต้องการของคนสามร้อยกว่าชีวิต…”
สาวน้อยคนนี้พูดอย่างฉะฉาน น้ำเสียงจริงจัง แต่หลังจากอ่านรายงานเสร็จเสียงของเธอกลับแผ่วลง และเหลือบมองหลิงม่ออย่างหวั่นๆ
“คุณนั่งเถอะ” หลิงม่อยิ้มให้เธอ จากนั้นก็หันไปมองเหล่าสมาชิกระดับสูงที่ยังคงถกเถียงกันอย่างออกรส “หนึ่งเดือน เวลาน้อยมากจริงๆ แต่สำหรับพวกเรา กลับเพียงพอแล้ว…”
“ภายในหนึ่งเดือน คุณจะหาอาหารจำนวนมหาศาลมาได้หรอ?” ชายร่างท้วมผิวสีคนเดิมถามอีกครั้ง
พอเขาถาม ทุกคนต่างก็พากันหันมามองหลิงม่อ เพื่อรอคอยคำตอบจากเขา
หลิงม่อเพียงหยักยิ้มเบาๆ กำหมัดบอกว่า “แน่นอน”
“ฮือฮา!”
ทุกคนแตกตื่นอีกครั้ง บางคนถึงแม้ไม่ค่อยเชื่อ แต่กลับไม่ได้ตั้งคำถาม
กลับเป็นชายร่างท้วมที่ยิงคำถามออกมาอย่างตรงๆ อีกครั้ง “ถ้าหากทำไม่ได้ล่ะ? ถ้าหากหาอาหารมาไม่ได้ คุณจะทำยังไง?”
เห็นหลิงม่อมองมาทางตัวเอง ดวงตาของชายร่างท้วมพลันไหวระริกชั่วขณะ เขาเบือนหน้าแล้วบอกว่า “ผมไม่มีทางไปจากที่นี่ ที่ผมถามอย่างนี้ ไม่เกี่ยวกับฟอลคอน แต่ถามเพื่อตัวเองและพี่น้องผองเพื่อนของผมเท่านั้น”
“ถ้าอย่างนั้นก็เชื่อเถอะ เชื่อว่าผมสามารถปกป้องที่นี่ได้แน่นอน” หลิงม่อบอก
ชายร่างท้วมขยับปาก แต่สุดท้ายก็ไม่พูดอะไร เพียงนั่งลงไปเงียบๆ เหมือนเดิม
เสียงถกเถียงของคนอื่นๆ ก็ค่อยๆ เบาลงเช่นกัน จนกระทั่งสุดท้ายห้องประชุมก็เงียบกริบอีกครั้ง
“หนึ่งเดือน ในหนึ่งเดือนนี้ ผมจะทำให้ที่นี่เปลี่ยนไป” หลิงม่อพูดเสริมอีกครั้ง
แต่อวี่เหวินซวนกลับพูดแทรกขึ้นมาในเวลานี้ “โอ๊ะโอ! พูดถึงเรื่องนี้ ฉันมีข้อเสนอที่ดีมากมาเสนอด้วยล่ะ!พวกเราเปลี่ยนชื่อกันดีไหม?”
“ปาฏิหาริย์ไหม ค่ายผู้รอดชีวิตปาฏิหาริย์” หลิงม่อเสนอ
“เหมือนสร้างปาฏิหาริย์อะไรอย่างนั้นหรอ…ฟังดูไม่เลวเหมือนกันนะ…” จางอวี่พยักหน้า “ตอนแรกก็กลัวว่าพี่หลิงจะตั้งชื่อน่าอายๆ ซะอีก…”
ในตอนนั้นเอง อยู่ๆ ประตูห้องประชุมก็เปิดออก
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนหนึ่งเดินเข้ามารายงาน “แขกมาถึงแล้วครับ”
“แขก? เวลาอย่างนี้เนี่ยนะ?” จางอวี่ถามอย่างสงสัย
แต่หลิงม่อกลับลุกขึ้นยืน แล้วยิ้มร่า “พวกเขามาถึงแล้ว”
“พวกเขา? ใครกัน?” อวี่เหวินซวนประหลาดใจ
“ถือว่าเป็นกำลังเสริมจากภายนอกแล้วกัน” หลิงม่อตอบสั้นๆ
………..
หลายนาทีผ่านไป ณ ห้องโถงใหญ่ของค่ายปาฏิหาริย์
เสียงเอะอะโวยวายดังมาจากนอกประตู “ชิท จัดการเรียบร้อยแล้วงั้นหรอ? แล้วฉันจะเดินทางตั้งหลายวันมาเพื่ออะไรกันล่ะ…”
ตรงประตู หญิงสาวสวมชุดหนังรัดรูป บุคลิกปราดเปรียวดุดันเดินเข้ามาพร้อมกับปืนกลหนึ่งกระบอก
เธอมองหลิงม่อจากที่ไกลๆ พลางเชิดคางพูดว่า “ไม่ได้เจอกันเลยนะ หัวหน้ากองกำลัง”
“ผมขอแนะนำหน่อย” หลิงม่อหันกลับไปมองหน้าทุกคนในห้องประชุมที่ยังคงตื่นตะลึงอยู่ “ผู้หญิงคนนี้คือลูซี่แห่งกองกำลัง F…ส่วนผม…”
“คุณเป็นหัวหน้าของกองกำลัง F ด้วยหรอ?!”
“เดี๋ยวก่อน ทำไมคุณถึงเป็นหัวหน้ากองกำลัง F…วิธีการรับสารของผมผิดพลาดแน่ๆ!”
“กองกำลัง F…”
มีเพียงจางอวี่ที่ยังคงความสงบนิ่งไว้ได้ “กองกำลัง F เป็นกำลังเสริมจากภายนอก?”
—————————————————————————–