บทที่ 164 ผู้บงการตัวจริง

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

บทที่ 164 ผู้บงการตัวจริง

ชายฉกรรจ์หลายสิบคนพุ่งตัวเข้ามา

คนที่นำมาหน้าสุดหลินเป่ยเฉินจำได้เป็นอย่างดี

โจวเฉิง

“ฮ่าฮ่าฮ่า แม่นางน้อย จะคิดหนีไปไหนอีก?”

โจวเฉิงเคลื่อนที่ด้วยความรวดเร็ว ถลันกายเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า เมื่อเห็นว่าหลินเป่ยเฉินยังรอดชีวิต ก็ระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความชอบใจ “เจ้ายังไม่ตายอีกหรือ ดีล่ะ เรื่องวันก่อนข้ายังไม่ได้แก้แค้นเลย…พวกเราล้อมเอาไว้ อย่าให้พวกมันหนีไปได้อีก”

แล้วลูกสมุนนักล่าอสูรก็กระจายกำลังกันยืนล้อมกรอบหลินเป่ยเฉินกับเยว่หงเซียง

ตอนแรกเด็กสาวมีท่าทางตื่นตกใจเล็กน้อย

แต่บัดนี้ นางกลับมาเยือกเย็นดังเดิมแล้ว

นั่นเป็นเพราะว่านางเห็นรอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลินเป่ยเฉิน

หากศิษย์พี่หลินของนางฟื้นฟูพละกำลังขึ้นมาได้สมบูรณ์ กลุ่มชายฉกรรจ์เหล่านี้ก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป

แต่พวกของโจวเฉิงยังคงไม่รู้เรื่องราวนั้น พวกมันจึงยิ้มเหยียดหยามด้วยความกระหยิ่มใจ

ชายฉกรรจ์หัวโล้น หนึ่งในกลุ่มตัววายร้ายใช้สายตาหื่นกามจ้องมองเยว่หงเซียงขึ้นๆ ลงๆ พร้อมกับพูดว่า “น่าเสียดายจริงๆ ที่สาวงามอย่างเจ้าต้องเสียโฉมไปซะแล้ว แต่อีกครึ่งหน้ายังใช้ได้อยู่นี่นา อีกอย่าง หุ่นของเจ้าก็ยังสะโอดสะอง แบบนี้ข้าคงจะต้อง…”

ฟ้าว!

ลูกดอกเหล็กพุ่งผ่านอากาศ

ฟู่!

“อ๊าก หัวเข่าข้า…”

หัวเข่าข้างขวาของชายหัวโล้นโดนลูกดอกพุ่งปัก ส่งผลให้ต้องคุกเข่าลง ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด

หลินเป่ยเฉินเดินออกไปข้างหน้าอย่างแช่มช้า

“ศิษย์น้องเยว่ เจ้าอยากให้มันตายอย่างไร?”

หลินเป่ยเฉินถาม

ความเจ็บปวดในจิตใจของเยว่หงเซียงพลันฉายชัดออกมาทางสายตา

นางชักกระบี่พุ่งเข้าไปหาชายหัวโล้น

นักล่าอสูรหลายคนเคลื่อนกายเข้ามาขัดขวาง แต่ก็ถูกหลินเป่ยเฉินยิงลูกดอกสอยร่วงลงไปนอนกองระเกะระกะบนพื้นดิน

“ไม่นะ อย่า…” ชายหัวโล้นร่ำร้องด้วยความหวาดหวั่น

เยว่หงเซียงตวัดกระบี่แทงออกไปข้างหน้า นางไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย คมกระบี่ในมือจึงพุ่งแทงทะลุหัวใจของชายหัวโล้นตกตายอยู่ตรงนั้น

โจวเฉิงและบริวารพากันชะงักงันไปทันที

“พวกเราระวังตัว นางตัวดีผู้นี้ฟื้นฟูพลังขึ้นมาแล้ว…” หนึ่งในกลุ่มนักล่าอสูรร้องเตือนเสียงสั่น

แต่เสียงยังไม่ทันจางหาย

ฟู่!

ลูกดอกหางอินทรีถูกยิงเข้าปาก ทะลุออกไปทางท้ายทอยคนพูด

นักล่าอสูรคนนั้นยกมือขึ้นปิดปาก เลือดไหลทะลักออกมา สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดผวา ไม่มีโอกาสได้พูดอะไรสักคำ ตัวคนก็ล้มตึงลงไปสิ้นใจตายข้างก้อนหินใหญ่

ส่วนคนที่ยังไม่เสียชีวิตก็ตกอยู่ในสภาพบาดเจ็บ นอนเกลือกกลิ้งบนพื้นดิน ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด

“บัดซบ” โจวเฉิงคำรามในลำคอ ชักกระบี่ออกมาด้วยความเดือดดาล “มันใช้ได้แต่อาวุธลับเท่านั้น แสดงว่าร่างกายยังไม่หายบาดเจ็บ พวกเราไม่ต้องกลัว รุมเข้าไปเล่นงานมันเดี๋ยวนี้”

เมื่อได้ยินคำสั่งของผู้เป็นลูกพี่ใหญ่ บรรดานักล่าอสูรก็ชักกระบี่ออกจากฝัก สร้างค่ายกลปิดล้อมสองเด็กหนุ่มสาวเอาไว้อีกครั้ง

“เสี่ยวจี้ ดาวน์โหลดกระบี่โดรานให้หน่อย”

หลินเป่ยเฉินออกคำสั่งอยู่ในใจ ที่มือของเขาพลันมีประกายสว่างแวววาว

กระบี่โดรานปรากฏขึ้นในมือ

“พวกเจ้าเสร็จแน่”

แล้วเสียงนกกระพือปีกก็ดังขึ้น

หลินเป่ยเฉินใช้วิชาตัวเบาแทงกระบี่ออกไปด้วยความดุดัน นักล่าอสูรคนที่เข้ามารับกระบี่ของเขากระอักเลือดออกมาจากปาก ตัวคนลอยกระเด็นไปไกลหลายวา ร่างกายบิดเบี้ยวสะท้านสะเทือน

เคล้ง!

เสียงคมกระบี่ปะทะกันดังขึ้นอีกครั้ง

แล้วนักล่าอสูรอีกสองคนก็ต้องลอยกระเด็นออกไป

ในมือของหลินเป่ยเฉินมีเพียงกระบี่มาตรฐานธรรมดาเท่านั้น

แต่เมื่อมันอยู่ในมือของเขา ก็ไม่มีคู่ต่อสู้คนไหนจะต้านทานได้

“อ๊าก…”

ฟู่!

บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องและเสียงตะโกน นักล่าอสูรจำนวนนับไม่ถ้วนล้มลงไปนอนกองอยู่บนพื้นดิน

เมื่อโจวเฉิงเห็นดังนั้น สีหน้าก็ปรากฏความหวาดกลัวขึ้นมาแล้ว

ทำไมเด็กหนุ่มคนนี้ถึงได้รักษาอาการบาดเจ็บรวดเร็วนัก

เห็นได้ชัดว่าบัดนี้พลังของหลินเป่ยเฉินพร้อมโจมตีเต็มอัตรา

เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเริ่มไม่ชอบมาพากล โจวเฉิงก็เลิกล้มความคิดที่จะต่อสู้ รีบหมุนตัวกลับเตรียมหลบหนี ไม่สนใจแล้วว่าลูกสมุนของตนเองจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร

แต่มีหรือที่หลินเป่ยเฉินจะปล่อยให้เขาหนีรอดไปได้?

เด็กหนุ่มใช้วิชาตัวเบาวิหคดั้นเมฆกระโดดขึ้นลงหลายครั้ง ก็ข้ามผ่านพื้นที่นับสิบวา ทิ้งตัวลงไปยืนดักหน้าโจวเฉิง เขาไม่รอให้นักล่าอสูรจอมวายร้ายได้มีโอกาสพูดคำใด ก็จัดการแทงกระบี่ใส่โจวเฉิงหนึ่งแผลฉกรรจ์ ก่อนที่เขาจะหมุนตัวตีลังกาลอยกลับมายืนอยู่ตรงหน้าเยว่หงเซียงดังเดิม

นักล่าอสูรคนอื่นๆ ที่ยังยืนดูเชิงอยู่รอบนอก เมื่อเห็นฉากการต่อสู้เหล่านี้ ก็ไม่มีจิตใจคิดต่อสู้อีกแล้ว พวกมันพร้อมใจกันวิ่งหนีไปคนละทิศละทางด้วยความสามัคคียิ่ง

แต่หลินเป่ยเฉินยกมือสะบัดแขนเสื้อวูบ

ฟ้าว!

ลูกดอกเหล็กถูกยิงออกไปอย่างต่อเนื่อง

“อ๊าก…”

“ขาของข้า…”

เสียงร้องโหยหวนดังอื้ออึง นักล่าอสูรที่กำลังหลบหนีเหล่านั้นถูกลูกดอกปักเข่า ล้มลงกลิ้งหลายตลบ ไม่สามารถหลบหนีได้อีกแล้ว

หลินเป่ยเฉินหมุนตัวกลับมา

เด็กหนุ่มสืบเท้าเข้าไปหาโจวเฉิง ใช้หลังมือตบสั่งสอนหัวหน้านักล่าอสูรจนฟันร่วง ก่อนเค้นเสียงถามว่า “บอกมา ใครเป็นคนบงการให้เจ้ามาตามล่าพวกข้า?”

โจวเฉิงรู้สึกมึนงงเหมือนศีรษะโดนค้อนทุบ ในหูได้ยินแต่เสียงดังหวีดวี้ด สายตามองเห็นแต่ดาวระยิบระยับ เลือดกำเดาไหลทะลักออกจมูก ปากแตกไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ หวาดกลัวชนิดที่วิญญาณแทบหลุดลอยออกจากร่าง

“วะ…ไว้ชีวิตข้าน้อยด้วยเถิดขอรับ คุณชาย” โจวเฉิงอ้อนวอน เสียงสั่นเครือ

“ตอบคำถามของข้ามาก่อน”

หลินเป่ยเฉินพูดเสียงเข้ม

“หัวหน้าเล่ยขอรับ เขาเป็นคนสั่งให้พวกข้ามาตามล่าท่าน…” โจวเฉิงพยายามตั้งสติอีกครั้ง ก่อนหน้านี้เข้าใจว่าตนเองได้เปรียบเด็กหนุ่มอยู่หลายขุม แต่เมื่อถูกตบสั่งสอนเข้าไปชุดใหญ่ ก็ให้เกิดความหวาดกลัวจนปัสสาวะแทบราด และมีปัญญาทำได้เพียงอ้อนวอนขอความเมตตาเท่านั้น

ปรากฏว่าขุมกำลังชายฉกรรจ์ที่ซุ่มอยู่ริมน้ำในคืนนั้น เป็นคนของสมาคมนักล่าอสูรประจำหุบเขาชายแดนเหนือ

พวกเขาส่งมือดีมาถึง 200 คน กระจายกำลังกันซุ่มอยู่ตามเนินเขาและซอกหินอันเล็กแคบ เพื่อหาจังหวะลงมือสังหารบรรดาผู้หลบหนีที่วิ่งผ่าน

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขามีพฤติกรรมรูปแบบนี้ แต่ด้วยความชำนาญเรื่องการลอบสังหาร สมาคมนักล่าอสูรจึงไม่เคยหลงเหลือหลักฐานให้ทางการตามสืบสาว แต่ถึงกระนั้น บรรดาคนใหญ่คนโตในสมาคมเป็นผู้มีเส้นสายอยู่ไม่ใช่น้อย หากเกิดการสืบสาวเข้าจวนตัวจริงๆ ก็ใช่ว่าจะจับพวกเขามาเอาผิดได้โดยง่าย…

ดังนั้น สมาคมนักล่าอสูรจึงเป็นอำนาจมืดที่ทางการไม่สามารถแตะต้องได้

“ทำไมคนแซ่เล่ยต้องตามล่าพวกข้าด้วย?” หลินเป่ยเฉินถามด้วยความไม่เข้าใจ

โจวเฉิงบอกความจริงทุกอย่างโดยไม่ปิดบัง “เรื่องนั้น…ข้าน้อยก็ไม่รู้เหมือนกันขอรับ ข้าน้อยเพียงได้ยินมาว่าเขายินดีจ่ายรางวัลอย่างงามให้กับคนที่สามารถสังหารท่านได้ ข้าน้อยเห็นว่าเป็นโอกาสดีในการแก้แค้นท่าน อีกอย่าง ได้ยินว่าพี่หกประจำสมาคมเกลียดชังท่านยิ่งกว่าอะไรดี พวกเขาจึงวางแผนการลอบโจมตีครั้งนี้ขึ้นมา”

หลินเป่ยเฉินไม่อยากเชื่อว่าตนเองมีศัตรูมากมายขนาดนี้เชียวหรือ

เด็กหนุ่มขบคิดอยู่ในใจ ตัวเขาในอดีตเป็นพวกเมาสุราลุ่มหลงนารี ใช้ชีวิตเสเพลอยู่ในหอนางโลมประจำเมืองเท่านั้น แล้วจะไปมีเรื่องผิดใจกับพวกสมาคมนักล่าอสูรในหุบเขาชายแดนเหนือได้อย่างไร?

“พี่หกของพวกเจ้าเป็นใคร?” หลินเป่ยเฉินถามออกมาอีกครั้ง “มันมีความแค้นอะไรกับข้า?”

โจวเฉิงตอบว่า “พี่หกเป็นหัวหน้าสำนักกระบี่ไฟ บุตรชายของเขามีนามว่าเซินเฟย เมื่อมีข่าวลือว่าบุตรชายเขาเกี่ยวข้องกับจอมปีศาจ สำนักกระบี่ไฟก็ถูกทำลายล้างราบคาบ บุตรชายของเขาหายตัวไปไม่เคยกลับมาอีกเลย พี่หกจึงโทษว่าทุกอย่างเป็นความผิดของคุณชายขอรับ”

เอาจริงสิ?

หลินเป่ยเฉินนึกทบทวนความทรงจำ ย้อนไปตอนแข่งค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมือง ก็จำได้แล้วว่าเด็กหนุ่มที่ชื่อเซินเฟยเข้าร่วมการแข่งขันในฐานะตัวแทนจากสำนักกระบี่ไฟจริงๆ

แต่หมอนั่นเข้าร่วมกับจอมปีศาจเองนี่นา เกี่ยวอะไรกับเขาตรงไหนกันเล่า?

นี่เรียกว่าโทษคนอื่นแบบไม่มีเหตุผลนี่หว่า

“แล้วคืนที่พวกเจ้าลงมือโจมตี มีใครร่วมมือบ้าง?” หลินเป่ยเฉินถามด้วยความอยากรู้ “คนของสำนักล่าอสูรกุหลาบไฟแสดงละครตบตาร่วมมือกับพวกเจ้าด้วยหรือไม่?”

แต่เด็กหนุ่มคิดว่าไม่ เขาเห็นกับตาว่าสมาชิกของสำนักล่าอสูรกุหลาบไฟต้องเสียชีวิตไปนับไม่ถ้วน

โจวเฉิงรีบตอบออกมาทันที “อู๋หงกับเฟิงซือเหนียงไม่รู้อะไรด้วยทั้งนั้น พวกนางเป็นเพียงเบี้ยที่พวกเราหลอกล่อให้พวกท่านเข้าไปหาเท่านั้น”

“ถ้าอย่างนั้น เกิดอะไรขึ้นกับเด็กผู้หญิงที่ชื่อหลิงเอ๋อร์?” หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วมุ่น

โจวเฉิงตอบด้วยความกระตือรือร้น “ลูกสาวของข้าถูกสับเปลี่ยนตัวไปก่อนหน้านั้นแล้ว เฟิงซือเหนียงไม่ทันสังเกตว่าหลิงเอ๋อร์ที่อยู่ข้างกายนางเป็นมือสังหารปลอมตัวมา มือสังหารคนนี้ต้องประมูลด้วยราคาสูงสุดเท่านั้นถึงจะจ้างเขาได้ และทางสมาคมก็จ้างเขามาเพื่อจัดการกับท่านโดยเฉพาะ”

ให้ตายสิ

จะแค้นอะไรกันขนาดนั้นเนี่ย

ต่อให้โจวเฉิงไม่อธิบาย เด็กหนุ่มก็พอจะปะติดปะต่อข้อมูลได้อยู่แล้ว

หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็สอบถามอะไรอีกหลายอย่างเกี่ยวกับพี่หกของสมาคมนักล่าอสูร รวมถึงสมาชิกคนอื่นๆ ที่ระบุตำแหน่งตามหมายเลขด้วยเช่นกัน

“แล้วตอนนี้อาจารย์กับเพื่อนร่วมสถาบันของข้าอยู่ที่ไหน?”

ในที่สุด หลินเป่ยเฉินก็ถามคำถามสำคัญออกมาแล้ว

ก่อนหน้านี้เขานึกเป็นกังวล จึงยังไม่ถาม

แต่สุดท้ายก็ต้องถามออกมาอยู่ดี

ทำให้เยว่หงเซียงที่ยืนอยู่ข้างกายพลันมีสีหน้าตึงเครียดขึ้นอีกครั้ง