บทที่ 165 ยอดเขาสุสานอินทรี

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

บทที่ 165 ยอดเขาสุสานอินทรี

นี่คือคำถามสำคัญ

โจวเฉิงมีท่าทีลังเลใจไม่กล้าพูดออกมา

หลินเป่ยเฉินเห็นดังนั้นก็ใจหายวาบ นำกระบี่ไปพาดที่ลำคอของหัวหน้านักล่าอสูร แล้วเค้นเสียงพูด “บอกมา”

“บอกแล้ว ข้าน้อยยอมบอกแล้ว ฮันปู้ฟู่กับไป๋ชินหยุนหายตัวไปไม่พบร่องรอย พวกเราออกค้นหาจนถึงเขตรอบนอกของหุบเขาก็ยังไม่เจอ ส่วนหัวหน้าคณะอาจารย์ประจำชั้นปีที่ 3 พานเว่ยหมิน เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ก่อนจะหายตัวไปบริเวณบึงหมอกพิษ ไม่แน่ว่า…อาจประสบเคราะห์กรรมแล้ว แล้วก็กับหัวหน้าอาจารย์ประจำชั้นปีที่ 2 ฉู่เหิน…ข้าน้อยได้ข่าวว่าเขายอมสละตัวเองถ่วงเวลาให้ลูกศิษย์ได้มีโอกาสหลบหนี จึงถูกพวกเราจับตัวไปที่ฐานบัญชาการใหญ่ ข้าน้อยเกรงว่า…ข้าน้อยเกรงว่า…ข้าน้อยเกรงว่า…”

คำพูดสุดท้าย โจวเฉิงไม่อาจกล่าวออกมาได้อีก

“ศิษย์พี่หลิน พวกเราจะทำอย่างไรดี?”

เยว่หงเซียงมองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยความร้อนใจ

หลินเป่ยเฉินก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน

ก่อนหน้านี้ เขามั่นใจว่าฉู่เหินกับพานเว่ยหมินจะต้องสามารถเอาตัวรอดหลบหนีไปได้พร้อมกับฮันปู้ฟู่และไป๋ชินหยุนอย่างแน่นอน

แต่กลับเป็นแบบนี้ไปเสียได้

“เจ้ารู้จักชื่อของพวกเขาได้อย่างไร?”

หลินเป่ยเฉินกระทืบเท้าเหยียบลงไปบนหน้าอกของโจวเฉิง แล้วถามต่อ “เจ้ารู้อะไรอีกบ้าง บอกมาให้หมด”

โจวเฉิงรีบตอบโดยไม่ปิดบัง “ทุกอย่างเป็นข้อมูลที่สมาคมแจ้งเรามาทั้งนั้น คุณชายคงทราบดี นอกจากคุณชายแล้ว เป้าหมายที่พวกเราต้องสังหารก็คือลูกศิษย์แซ่ไป๋กับอาจารย์ฉู่เหิน ข้าน้อยรู้ข้อมูลทั้งหมดเพียงเท่านี้…ข้าน้อยไม่ทราบอะไรอีกแล้วขอรับ”

หลินเป่ยเฉินได้ข้อมูลที่น่าสนใจ

เท่ากับว่าตัวเขาเอง ไป๋ชินหยุนและอาจารย์ฉู่ ต่างก็เป็นเป้าหมายลอบสังหารทั้งสิ้นอย่างนั้นหรือ?

แล้วทำไมพานเว่ยหมิน เยว่หงเซียง กับฮันปู้ฟู่ถึงไม่ได้ตกเป็นเป้าหมายด้วยล่ะ?

แต่ข้อมูลเหล่านี้จะเป็นความจริงหรือเปล่า?

ทำไมฉู่เหินกับไป๋ชินหยุนถึงตกเป็นเป้าหมายเช่นเดียวกับเขา?

หลินเป่ยเฉินลองนึกทบทวนดูหลายตลบ พลัน เขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

เขา ไป๋ชินหยุน และอาจารย์ฉู่เหิน ต่างก็เป็นคนที่เข้าร่วมงานประลองกระบี่

หรือว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้ เฉาพั่วเถียนกับไป๋ไห่ชินจะเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลัง?

น่าจะเป็นอย่างนั้นแน่ๆ

ศิษย์อาจารย์คู่นั้นช่างชั่วร้ายเกินไปแล้ว

หลินเป่ยเฉินคิดด้วยความเกลียดชัง

“บอกมาเดี๋ยวนี้ ฐานบัญชาการใหญ่ของพวกเจ้าอยู่ที่ไหน?”

หลินเป่ยเฉินถามออกมาอีกครั้ง

“อยู่บนยอดเขาสุสานอินทรีขอรับ…” โจวเฉิงตอบโดยเร็ว

หลินเป่ยเฉินผละไปทรมานเพื่อเอาคำตอบจากนักล่าอสูรอีกหลายคน ก็ได้รับคำตอบเดียวกันไม่เปลี่ยนแปลง

“ศิษย์น้องเยว่ ข้าจะขึ้นไปที่ยอดเขาสุสานอินทรี” หลินเป่ยเฉินหันไปสั่งงานกับเยว่หงเซียง “ต่อให้มีความหวังอยู่น้อยนิด แต่ข้าก็ต้องขึ้นไปช่วยอาจารย์ฉู่กลับออกมาให้ได้”

เยว่หงเซียงพยักหน้า แล้วกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้น ข้าขอไปด้วยนะเจ้าคะ พวกเราไปกันเถอะ”

หลินเป่ยเฉินรีบส่ายศีรษะปฏิเสธ “เจ้าไปไม่ได้”

“ต่อให้ข้ามีระดับพลังอ่อนด้อย แต่ข้าก็ยังสามารถ..” เยว่หงเซียงพยายามจะโต้เถียง แต่ก็ถูกเด็กหนุ่มกล่าวขัดขึ้น

“เจ้ามีเรื่องสำคัญมากกว่านั้นต้องทำ…ข้าอยากให้เจ้าปลอมตัวออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด รีบกลับไปขอความช่วยเหลือที่สถาบันของเรา…เจ้าต้องกลับไปหาอาจารย์ใหญ่หลิงไท่ซวี บอกให้เขานำกำลังคนมาช่วยเหลือพวกเราที่หุบเขาชายแดนเหนือ จำไว้ว่าระหว่างทาง เจ้าห้ามเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงเด็ดขาด และห้ามใช้รถม้าของพวกเราเดินทางด้วย ซึ่งเมื่อเจ้ากลับเข้าเมืองแล้ว จงระมัดระวังตัวทุกฝีก้าว อย่าเชื่อใจใครเด็ดขาด นอกจากอาจารย์ใหญ่คนเดียวเท่านั้น”

จากข้อมูลที่หลินเป่ยเฉินรับฟังมาจากโจวเฉิง เขาก็พอจะรับทราบแล้วว่าฝ่ายศัตรูแอบจับตามองการเคลื่อนไหวของสถานศึกษากระบี่ที่สามอยู่ตลอดเวลา

มันทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกเป็นกังวล

เพราะฉะนั้น เขาถึงได้คอยย้ำเตือนเยว่หงเซียงหลายรอบ ว่าอย่าเชื่อใจใครง่ายๆ เด็ดขาด

แม้เยว่หงเซียงจะเป็นห่วงหลินเป่ยเฉินอยู่ไม่น้อย แต่นางก็รู้ดีว่าเรื่องไหนมีลำดับความสำคัญมากกว่ากัน

นางทราบว่าตนเองมีภารกิจสำคัญเพียงใด

เมื่อรับฟังคำสั่งจากหลินเป่ยเฉินครบถ้วนทุกถ้อยคำ เยว่หงเซียงก็เงยหน้าขึ้นจ้องมองเขาด้วยดวงตาหวานย้อยเป็นประกายราวดวงดาวบนฟ้า ก่อนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ศิษย์พี่หลิน ท่านต้องไม่ทำอะไรวู่วามเด็ดขาด หากมันเกินกำลังของท่าน ขอให้สังเกตการณ์อยู่เฉยๆ ก็พอ โปรดรักษาตัวด้วย”

ระหว่างที่พูด เด็กสาวก็ทำท่าจะร้องไห้ออกมา

หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นยีหัวนางเล่น ตอบรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ตัวข้านั้นกลัวตายยิ่งกว่าอะไรดี ไม่มีทางทำอะไรมุทะลุดุดันเด็ดขาด อีกอย่าง เดี๋ยวเราต้องเข้าร่วมการแข่งขันรอบ 20 คนสุดท้ายด้วยกัน ข้าจะหาทางรักษาใบหน้าของเจ้าให้ได้”

ต่อให้รู้ว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดถึงเรื่องนี้ก็ตาม แต่หลินเป่ยเฉินก็อยากจะพูดให้เด็กสาวเบาใจขึ้นบ้างเล็กน้อย

เยว่หงเซียงกุมมือหลินเป่ยเฉิน ใบหน้าแดงระเรื่อ ก้มหน้าต่ำมองพื้นดิน

หลินเป่ยเฉินสั่งงานเสี่ยวจี้อยู่ในใจให้ใช้แอปแผนที่นำทาง ค้นหาเส้นทางออกจากหุบเขา เมื่อได้เส้นทางที่แน่นอนแล้ว เขาก็บอกเส้นทางกับเด็กสาวด้วยความระมัดระวัง แม้เยว่หงเซียงจะสงสัยว่าทำไมหลินเป่ยเฉินถึงได้รู้เส้นทางในหุบเขาชายแดนเหนือดีนัก แต่นางก็ไม่กล้าเสียเวลาถามไถ่ออกมาอีกแล้ว

โชคดีที่ตลอดหลายวันที่ผ่านมา พวกเขาออกล่าอสูรทั่วป่าชายแดนเหนือ เยว่หงเซียงจึงมีความชำนาญเส้นทางอยู่บ้าง นางประสานมือคำนับหลินเป่ยเฉินและหมุนตัวพลิ้วกายจากไปทันที

เมื่อเห็นร่างของเด็กสาวลับสายตาไปแล้ว หลินเป่ยเฉินก็หันกลับมากระชับกระบี่ในมือ

“คุณชาย ได้โปรดไว้ชีวิตข้าน้อยด้วย” โจวเฉิงและลูกสมุนพร้อมใจกันร้องขอความเมตตา

“พวกเจ้าไม่สมควรได้รับการให้อภัย”

ใบหน้าภายใต้แสงดาวของหลินเป่ยเฉินมีความเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง

นักล่าอสูรเหล่านี้สมควรตาย

การละเว้นชีวิตพวกมัน อาจทำให้เยว่หงเซียงตกอยู่ในอันตรายอีกครั้ง

หลินเป่ยเฉินจึงลงมือไม่ลังเล

คมกระบี่สาดประกายวูบวาบ

ศีรษะของโจวเฉิงขาดกระเด็นกลิ้งอยู่บนพื้น

หลินเป่ยเฉินฆ่าคน

นี่คือครั้งแรกในชีวิตที่เขาสังหารคน

ไม่มีความรู้สึกตื่นเต้นตกใจ ไม่มีความรู้สึกผิดในจิตใจ

เพียงรู้สึกไม่ต่างจากตอนที่สังหารหนูอสูรหางกุดเหล่านั้น

เด็กหนุ่มยังจำได้ดีถึงสิ่งที่ฉู่เหินเคยกล่าวกับเขา

“สักวันหนึ่งเจ้าจะต้องชักกระบี่ฆ่าคนด้วยตนเอง”

ดังนั้น หลินเป่ยเฉินจึงลงมือไม่หยุดยั้ง บรรดานักล่าอสูรตัวชั่วร้ายที่นอนเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้นดิน ถูกตัดศีรษะทีละคนไม่เหลือสิ้น

เด็กหนุ่มยังคงไม่มีความรู้สึกใดๆ

วูบ!

คมกระบี่สาดประกาย

หัวคนขาดกระเด็นหัวแล้วหัวเล่า

เมื่อสังหารเสร็จสิ้น หลินเป่ยเฉินก็นำศพของนักล่าอสูรเหล่านี้โยนลงไปในถ้ำใต้ดินที่เขาเคยลงไปซ่อนตัว พื้นที่ภายในถ้ำสามารถยัดศพสิบกว่าศพได้พอดิบพอดี หลังจากนั้น เขาก็นำก้อนหินมาปิดปากถ้ำเอาไว้เพื่ออำพรางสายตา

ไม่ใช่ว่าเขาอยากจะทำพิธีฝังศพให้พวกมันหรอก

แต่นี่คือการทำลายซากศพต่างหาก

อย่างน้อย พวกนักล่าอสูรกลุ่มอื่นๆ ก็คงไม่สังเกตเห็นว่ากลุ่มของโจวเฉิงหายตัวไป น่าจะซื้อเวลาให้หลินเป่ยเฉินได้ทำตามแผนการสักระยะหนึ่ง

เมื่อจัดการเสร็จเรียบร้อย หลินเป่ยเฉินถึงเพิ่งจะนึกออกว่าตั้งแต่เกิดเหตุในคืนนั้น เขาก็ยังไม่ทราบชะตากรรมของเจ้าหนูอสูรอากวงอีกเลย ไม่รู้ว่าป่านนี้มันจะเป็นหรือตายอย่างไรบ้าง

“เสี่ยวจี้ ใช้แอปแผนที่ค้นหาเส้นทางขึ้นยอดเขาสุสานอินทรีให้หน่อย ขอเส้นทางที่สั้นที่สุดนะ”

“รับทราบเจ้าค่ะ”

ในไม่ช้า ภาพแผนที่สามมิติก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าหลินเป่ยเฉิน

เด็กหนุ่มใช้วิชาตัวเบาวิหคดั้นเมฆเดินทางไปตามเส้นทางที่ปรากฏในแผนที่ แม้มันจะผลาญพลังลมปราณของเขาไปไม่น้อย แต่ก็คุ้มค่ากับการประหยัดเวลาได้หลายเท่า

หากเขารู้สึกเหนื่อย เด็กหนุ่มก็จะใช้วงแหวนวารีฟื้นฟูร่างกาย

หลินเป่ยเฉินเดินทางไปตามเส้นทางนั้นเป็นระยะเวลาครึ่งชั่วยาม

“อาจารย์ฉู่ ท่านต้องไม่เป็นไร อดทนรอข้าก่อนนะ!”

หลินเป่ยเฉินพูดอยู่ในใจ

ในที่สุด เขาก็มาถึงทางขึ้นยอดเขาสุสานอินทรีในอีก 1 เค่อต่อมา

ที่นี่เป็นภูเขาสูงชัน เต็มไปด้วยก้อนหินหน้าตาแปลกประหลาดเหมือนต้นไม้ กิ่งก้านของมันคมราวใบมีด แมลงมีพิษกระจายตัวอยู่ทุกหนทุกแห่ง ด้วยสภาพแวดล้อมอันโหดร้าย ทำให้แม้แต่นกอินทรีบนฟากฟ้าก็ไม่กล้าบินลงมาใช้เป็นที่พักพิง พวกมันทำได้เพียงบินวนอยู่ด้านบน เพราะหากมันร่อนลงมาเมื่อไหร่ ก็จะต้องเสียชีวิตแทบในทันที

นี่จึงเป็นที่มาของชื่อยอดเขาสุสานอินทรี

ตลอดทั่วทั้งภูเขาเต็มไปด้วยกับดักที่สมาคมนักล่าอสูรวางเอาไว้

กล่าวได้ว่าเป็นสถานที่อันตรายอย่างแท้จริง

แต่หลินเป่ยเฉินมีแอปแผนที่นำทางอยู่ในมือ เขาจึงสามารถหลบหลีกกับดักเหล่านั้นได้อย่างปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน

ยอดเขาสุสานอินทรีมีความสูงหลายร้อยเซี๊ยะ ด้านบนเป็นพื้นที่ราบเรียบเกลี้ยงเกลา เสมือนบานกระจกที่ถูกแกะอย่างปราณีตขนาดใหญ่

ทางขึ้นยอดเขามีเส้นทางเดียว ต้องไต่ขึ้นไปบนเนินลาด เต็มไปด้วยก้อนหินแหลมคม มีต้นหญ้าขึ้นแซมบ้างประปราย

นับเป็นเส้นทางแห่งการผจญภัย

หลินเป่ยเฉินใช้วิชาตัวเบาวิหคดั้นเมฆ บวกกับเส้นทางลัดจากแอปแผนที่นำทาง จึงสามารถขึ้นสู่ยอดเขาได้สำเร็จโดยที่ฝ่ายศัตรูไม่ทันรู้ตัว

แล้วกระท่อมไม้จำนวนนับไม่ถ้วนก็พลันปรากฏขึ้นในสายตา