ตอนที่ 184-2 ตัดพ่อตัดลูก

ชายาเคียงหทัย

เยี่ยหลีโบกมือ ยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ใต้เท้าถานไม่ต้องตระหนกไป ในเมื่อท่านให้ข้ารู้ถึงฐานะที่แท้จริงของท่านแล้ว เชื่อว่าท่านคงไม่สนใจเรื่องอื่นแล้วกระมัง”

 

 

ถานจี้จือนิ่งไป ถูกแล้ว ความลับที่สำคัญที่สุดของเขาก็คือฐานะนี่เอง หากเรื่องนี้ไม่เป็นความลับแล้ว จะมีเรื่องใดที่บอกไม่ได้อีกหรือ

 

 

ถานจี้จือเงยหน้าขึ้น มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบางๆ น่าเสียดายที่เขาคุ้นชินกับการตีหน้าขรึมมานานหลายปี ทำอย่างไรก็ดูไม่ใช่รอยยิ้มที่สดใสนัก แต่ก็มิได้มีผู้ใดสนใจในเรื่องนี้

 

 

ถานจี้จือเลิกคิ้วขึ้นยิ้ม “การทำให้พระชายาสนใจได้นั้น ข้าน้อยช่างปลาบปลื้มยิ่งนัก”

 

 

เยี่ยหลียิ้ม “เหตุใดใต้เท้าถานต้องเกรงใจข้าเช่นนี้ จุดประสงค์ที่ใต้เท้าถานรับใช้อยู่ข้างกายม่อจิ่งฉีมานานหลายปี ข้าคงไม่ต้องเดาแล้ว คงด้วยเพราะเรื่องนั้นเพียงเรื่องเดียว ใช่หรือไม่”

 

 

ถานจี้จือพยักหน้าน้อยๆ “ถูกต้องแล้ว” ตัวเขาที่เป็นสายเลือดของราชวงศ์ก่อน เหตุใดจึงต้องปิดบังตัวตนทำงานรับใช้อยู่ข้างกายฮ่องเต้ราชวงศ์ปัจจุบัน หาใช้เรื่องที่จะต้องเปลืองสมองไปคาดเดาไม่

 

 

“ใต้เท้าถานเคยเห็นว่าในประวัติศาสตร์ มีทายาทราชวงศ์ก่อนคนใดที่กอบกู้แคว้นได้สำเร็จหรือไม่” เยี่ยหลีเก็บข้าวเปลือกในมือลง เทน้ำสะอาดออกมาล้างมือเล็กน้อย พลางเอ่ยถามขึ้น

 

 

ถานจี้จือหน้าบึ้งลงทันที จับจ้องเยี่ยหลีด้วยสายตาเย็นเยียบ

 

 

เยี่ยหลียิ้ม “ใต้เท้าถานไม่ต้องคิดมากไป ข้ามิได้กำลังล้อเลียนท่าน คำถามของข้า ใต้เท้าฐานลองคิดูก็ไม่เสียหาย”

 

 

“มีสำเร็จอยู่ไม่กี่คนจริงๆ พระชายามีความเห็นอันใดดีๆ หรือ”

 

 

“ความเห็นดีๆ คงมิกล้า อันที่จริงการกอบกู้แคว้นนั้น…ยากลำบากกว่าการสร้างแคว้นมากนักมิใช่หรือ ราชวงศ์ก่อนล่มสลายไปนานเป็นสองร้อยปีแล้ว เหล่าประชาชนจะมีผู้ใดกล้าเอาหัวตนเองไปเสี่ยงกับทายาทราชวงศ์ก่อนที่ล้มหายตายจากกันไปแล้วไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่นหรือ และตัวใต้เท้าถานที่เป็นทายาทแห่งราชวงศ์ก่อน มีข้อดีอันใดที่จะให้พวกเขาไปเสี่ยงชีวิตเพื่อท่าน? ใต้เท้าถานคิดอยากกอบกู้แคว้น ไม่รู้ว่า…ท่านจะไปหาเงิน ทหาร และคนมาจากที่ใด ใต้เท้าถานคงมิได้คิดว่า เมื่อไม่มีตำหนักติ้งอ๋อง และสังหารม่อจิ่งฉีไปแล้ว แผ่นดินของต้าฉู่ก็จะกลายเป็นของท่านกระมัง ถึงแม้ครานี้ใต้เท้าถานจะไม่ได้สมบัติลับที่ท่านหมายมั่นปั้นมือไว้ แต่สุสานหลวงแห่งนี้ก็ยังมีค่าอยู่ไม่น้อย”

 

 

“เรื่องที่พระชายาเอ่ยเตือน ข้าน้อยขอบคุณท่านมากที่ชี้แนะ” ถานจี้จือมองประเมินเยี่ยหลีอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนประสานมือรับคำชี้แนะ

 

 

เยี่ยหลีนิ่งไป ข้ามิได้ชี้แนะเจ้า ข้าคิดอยากทำลายความคิดเจ้าต่างหาก แต่ก็จริงอยู่ คนที่คิดอยากกอบกู้แคว้น แต่ยังสามารถสงบปากสงบคำซ่อนตัวอยู่ข้างกายคนอย่างม่อจิ่งฉี เป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะไม่เตรียมการอันใดไว้เลย?

 

 

ในหัวเยี่ยหลีคิดใคร่ครวญข่าวที่เพิ่งได้รับรู้จากถานจี้จือ แต่สีหน้านางไม่มีความสะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย ในการปฏิสัมพันธ์กับคน อันใดควรไม่ควรเยี่ยหลีรู้เป็นอย่างดี นางรู้ดีว่าจะพูดเรื่องนี้ต่อไปไม่ได้อีก หากพูดเรื่องนี้ต่อไป ถานจี้จือคงได้ใช้นางต่อรองกับม่อซิวเหยา หรือไม่ก็ฆ่านางปิดปากเสีย

 

 

เยี่ยหลีไม่อยากพูดอันใดอีก แต่ดูเหมือนถานจี้จือกลับให้ความสนใจกับคำพูดของเยี่ยหลีเป็นอย่างมาก “จะว่าไป ด้วยความชาญฉลาดของพระชายา เหตุใดยามนั้นถึงได้ถูกบังคับให้แต่งงานกับติ้งอ๋องเสียได้? หรือว่า…พระชายากับท่านอ๋องมีใจให้แก่กันตั้งแต่ฮ่องเต้พระองค์นั้นของพวกเรายังไม่รู้เรื่องเหล่านี้?”

 

 

“ใต้เท้าถานอ่านหนังสือมากเกินไปแล้วกระมัง ข้าสายตาดีหรอก” เยี่ยหลีปรายตามองเขาพร้อมเอ่ยขึ้นเรียบๆ

 

 

“สายตาดี?” ถานจี้จือถามกลับอย่างเห็นขัน เห็นได้ชัดว่าเขาพ่นลมหายใจใส่คำพูดของเยี่ยหลีอย่างเยาะหยัน ไม่ว่าจะมองจากมุมใด การแต่งงานกับม่อซิวเหยาก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องดีทั้งสิ้น

 

 

เยี่ยหลีเบ้ปากเล็กน้อย ตัดสินใจว่าจะไม่อธิบายเรื่องสายตาของนางให้กับคนนอกได้รู้อีก หากมองจากมุมของสตรีในสมัยนี้แต่เพียงอย่างเดียว การแต่งงานกับม่อซิวเหยาถือว่ามิใช่เรื่องดีเอาเสียเลยก็จริง แต่สำหรับเยี่ยหลีแล้ว เขากลับเป็นตัวเลือกที่ดีเสียยิ่งกว่าผู้ใด ทั้งไม่ต้องคอยหมุนเวียนกับสตรีจำนวนนับไม่ถ้วนที่เรือนหลัง ไม่ต้องเสียเวลาทั้งชีวิตไปกับการพูดคุยเรื่องเครื่องประทินโฉมหรือเรื่องภายในบ้านกับคุณหญิงคุณนายทั้งหลาย และไม่ต้องหมกตัวอยู่ในพื้นที่เล็กๆ ไปตลอดชีวิต ถึงแม้นางจะเตรียมใจใช้ชีวิตเช่นนั้นไว้แล้ว แต่เมื่อมีตัวเลือกที่ดีกว่า เหตุใดนางจะไม่เลือกเล่า

 

 

ถึงแม้จะห่างไกลกับความหวังเดิมที่อยากใช้ชีวิตที่สงบเรียบง่าย แต่เมื่อได้รับอย่างไรก็ต้องมีเสีย นางมิอาจคาดหวังให้ตนมีอิสรเสรีอย่างในชาติที่แล้ว และในขณะเดียวกันก็มิต้องรับผิดชอบหรือรับภาระอันใดเลยได้ สายตาของผู้อื่นจะมองอย่างไรนั้นไม่สำคัญ เรื่องโดยมากก็เป็นเช่นการที่ดื่มน้ำ จะเย็นจะร้อนมีเพียงตนเองเท่านั้นที่รู้ สิ่งที่ม่อซิวเหยาให้แก่นาง ทำให้นางพอใจและเป็นสุข นางยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะทำในสิ่งที่ตนสามารถทำได้ ก็เพียงเท่านั้น

 

 

สมบัติลับที่อยู่ในสุสานหลวงแห่งนี้ ถึงแม้จะเป็นของปลอม แต่ด้วยขนาดของมัน ก็ไม่ทำให้ชื่อสุสานหลวงแห่งราชวงศ์ต้องเสียชื่อ

 

 

พวกเขาเดินทางไปตามแผนที่ ระหว่างทาง นอกจากยามที่จำเป็นต้องหยุดพักแล้ว ก็ไม่มีอันใดทำให้พวกเขาต้องเสียเวลาอีก ทั้งสามเดินกันอยู่หนึ่งวันกว่าๆ ถึงได้เดินถึงบริเวณทางออก

 

 

เมื่อออกมาจากสุสานหลวงได้แล้ว แสงแดดที่สะท้อนเข้าตาทำให้เยี่ยหลีต้องหลับตาลงอย่างปรับตัวไม่ทัน นางยกมือขึ้นบังตาอยู่พักใหญ่ เมื่อปรับตัวได้แล้วถึงได้เปิดตาขึ้นอีกครั้ง ก็เห็นว่าถานจี้จือกำลังอมยิ้มพร้อมมองประเมินมาที่นางอยู่ “พระชายาช่างไว้ใจข้าเสียจริง”

 

 

เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “หากใต้เท้าถานต้องการทำร้ายข้า ก็ทำได้ตั้งแต่อยู่ในสุสานหลวงแล้วมิใช่หรือ ใต้เท้าถานวางใจเถิด ข้าไม่หลบหนีหรอก ถึงอย่างไร…บุตรของข้าก็สำคัญที่สุด”

 

 

ถานจี้จือพยักหน้าด้วยความพอใจ “พระชายาเข้าใจเรื่องนี้ก็ดีแล้ว พูดตามจริง ข้าน้อยก็ไม่อยากกระทำรุนแรงกับพระชายา”

 

 

ตั้งแต่พบเข้ากับถานจี้จือ ท่านหมอหลินก็ดูจะพูดน้อยลงไปถนัดตา โดยมากมีเพียงเยี่ยหลีกับถานจี้จือที่พูดคุยกันอยู่สองคน ท่านหมอหลินเพียงทำหน้านิ่ง ฟังทั้งสองพูดจาหยั่งเชิงกันไปมาเท่านั้น

 

 

พวกเขายืนอยู่ด้านล่างหุบเขา มองปากทางเข้าสุสานหลวงที่ค่อยๆ ปิดตัวลงจนไม่เหลือร่องรอยใดๆ ให้ได้เห็น แล้วท่านหมอหลินก็หมุนตัวเดินออกไป

 

 

ถานจี้จือหน้าขรึมลง จ้องมองแผ่นหลังของท่านหมอหลินแล้วเอ่ยว่า “ท่านพ่อ ท่านคิดจะไปที่ใด”

 

 

ท่านหมอหลินหันกลับมา เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “สุสานหลวงเจ้าก็เข้าไปแล้ว ยามนี้คนแก่อย่างข้าจะไปที่ใด เจ้าจำเป็นต้องสนใจด้วยหรือ”

 

 

ถานจี้จือมองท่านหมอหลินด้วยสีหน้าสับสน นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งถึงได้เอ่ยว่า “ท่านพ่อ ข้าอยากได้ที่ตั้งสุสานหลวงที่แท้จริง”

 

 

สีหน้าท่านหมอหลินดูมีความนิ่งงัน จ้องนิ่งไปที่ฐานจี้จือ “เจ้าคิดว่าสุสานหลวงแห่งนี้เป็นของปลอม?”

 

 

ถานจี้จือยืนประสานมือ “ภายในไม่มีอันใดเลย ก็เห็นๆ อยู่มิใช่หรือ”

 

 

ท่านหมอหลินหัวเราะหึหึ “ข้าเคยบอกเจ้าแล้ว ภายในสุสานหลวงมิได้มีสมบัติลับอันใดทั้งนั้น เจ้าไม่เชื่อเอง ยามนี้เจ้าก็ได้เห็นกับตาแล้ว แล้วยังจะมาสงสัยว่าที่นี่มิใช่สุสานหลวงที่แท้จริงอีก? เจ้าจะบอกว่าคนแก่อย่างข้าเอาสมบัติลับไปซ่อนไว้อย่างนั้นหรือ”

 

 

ถานจี้จือไม่ตอบ สีหน้าของเขาดูจะยอมรับคำพูดของท่านหมอหลิน

 

 

สีหน้าท่านหมอหลินดูหม่นหมองและเจ็บปวด จ้องเขม็งไปที่ถานจี้จือ เอ่ยกลั้วหัวเราะอย่างเยาะหยันว่า “ดี! ดี! ต่อให้ข้าเอาสมบัติลับไปซ่อนไว้ แล้วเจ้าจะทำเช่นไร จะฆ่าคนแก่อย่างข้าหรือ”

 

 

“ท่านพ่อ!” ถานจี้จือกัดฟันกรอด สายตาที่จ้องไปทางท่านหมอหลินดูมีความโกรธแค้นเพิ่มเข้ามา เขาจ้องท่านหมอหลินที่ดูจะหลังค่อมลงเล็กน้อยด้วยสายตาถือดี เอ่ยเสียงเย็นว่า “ท่านลืมไปแล้วหรือไร…ท่านมิใช่บิดาแท้ๆ ของข้า สมบัติเหล่านั้นก็มิใช่ของตระกูลถาน”

 

 

ท่านหมอหลินกระตุกยิ้มอย่างเย้ยหยัน ในสายตาของเยี่ยหลีดูเหมือนเขากำลังร้องไห้ “เช่นนั้นเจ้าก็อย่าลืมเสีย ยามนี้เจ้าใช้แซ่ถานอยู่!”

 

 

สีหน้าถานจี้จือเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ยิ่งดูย่ำแย่เข้าไปใหญ่ “ท่าน…”

 

 

“ข้าว่า พวกเราควรไปจากที่นี่ก่อนดีกว่า ที่นี่น่าจะอยู่ใกล้ๆ เขตหรู่หยางกระมัง” เยี่ยหลีเอ่ยขัดขึ้น

 

 

ถานจี้จืออึ้งไป ในที่สุดก็กลืนคำพูดในปากกลับลงไป มองไปทางท่านหมอหลินแล้วเอ่ยว่า “ไปกับข้า”

 

 

คิ้วสีขาวของท่านหมอหลินเลิกขึ้น เตรียมจะพูดบางอย่างออกมา แต่กลับถูกเยี่ยหลียื่นมือมาจับแขนเขาไว้

 

 

เยี่ยหลีเอ่ยอย่างรู้สึกผิดว่า “ท่านอาจารย์ ข้ารู้สึกเหมือนไม่ค่อยสบาย อีกเดี๋ยวคงต้องรบกวนให้ท่านช่วยข้าตรวจดูสักหน่อย”

 

 

ท่านหมอหลินอึ้งไป จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเยี่ยหลี แล้วในที่สุดก็มิได้ขัดขืนอันใดอีก

 

 

เมื่อทำให้ความขัดแย้งระหว่างพ่อเลี้ยงและลูกเลี้ยงที่เกือบรุนแรงขึ้น สงบลงได้แล้ว เยี่ยหลีก็ได้แต่ลอบถอนหายใจ นางเผลอเอามือเข้าไปจับผืนผ้าในแขนเสื้อ พร้อมเดิมตามถานจี้จือต่อไป

 

 

ถานจี้จือเดินหน้าไปพลาง หันมาเอ่ยกับเยี่ยหลีไปพลางว่า “คนของข้าอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ พระชายาไม่ต้องตื่นเต้นไป ครานี้พวกเราคงไม่ได้ไปหรู่หยาง ดังนั้นท่านคงยังมิได้พบกับท่านติ้งอ๋อง”

 

 

เยี่ยหลีหัวเราะเรียบๆ “ในเมื่อตกอยู่ในมือของใต้เท้าถานแล้ว ทุกอย่างย่อมแล้วแต่ใต้เท้าถาน เพียงแต่ข้ามีเรื่องสงสัยเล็กน้อย ใต้เท้าถานคิดจะพาข้ากลับเมืองหลวงหรือ”

 

 

ถานจี้จือเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “เหตุใดพระชายาถึงคิดเช่นนี้ นำตัวพระชายากับเมืองหลวงจะส่งผลดีต่อข้าน้อยอย่างไรหรือ”

 

 

เยี่ยหลีหลุบตาลง “เช่นนั้นข้าก็ยิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่ ใต้เท้าถานใช้ข้ออ้างอันใดในการออกจากเมืองหลวงมานานเช่นนี้หรือ โรคขี้ระแวงของม่อจิ่งฉีนั้นเป็นหนักไม่น้อยทีเดียว”

 

 

ถานจี้จือยิ้มอย่างได้ใจ “ในเมื่อข้าน้อยได้รับความไว้วางใจจากฝ่าบาท เหตุใดแม้แต่ชั่วเวลาเพียงเท่านี้ยังจะหาไม่ได้? ส่วนพระชายาจะไปที่ใดนั้น…ไว้รอให้ถึงก่อนพระชายาก็จะรู้เอง”

 

 

เยี่ยหลีระบายยิ้ม “เมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าก็จะตั้งตารอ” การที่เขาสามารถหลอกม่อจิ่งฉีมาได้นานเพียงนี้ ข้าก็จะรอดูว่าเจ้าจะมีความสามารถพอที่จะออกไปจากด่านหงโจวได้หรือไม่