ตอนที่ 185-1 ข่าวคราว

ชายาเคียงหทัย

ภายในเมืองเล็กๆ ที่ไม่เป็นที่สนใจ และอยู่ห่างจากเมืองหรู่หยางไม่มากนัก และเช่นเดียวกันก็เป็นเมืองที่มีตลาดเมืองแรกที่พวกเขาเห็นตั้งแต่เดินทางออกจากสุสานหลวงมา ภายในมีชาวบ้านอยู่ทั้งหมดไม่ถึงหนึ่งร้อยครัวเรือน ทุกสองวันจะมีชาวบ้านในหมู่บ้านใกล้เคียงนำข้าวของที่เกินจำเป็น มาแลกกับของที่จำเป็นอื่นๆ กลับไป ทำให้พอดูมีชีวิตชีวาขึ้นบ้าง เมื่อเข้ามาในเมืองเล็กๆ แห่งนี้ ก็ทันช่วงที่กำลังมีตลาดพอดี

 

 

ถานจี้จือเปลี่ยนเครื่องแต่งกายใหม่ พวกเขาทั้งสาม ดูเหมือนเป็นคุณปู่กับคู่สามีภรรยาสามคน มิได้ดูเป็นที่สนใจมากเกินไป

 

 

เมื่อก้าวเข้าไปในโรงเตี๊ยมเก่าๆ ซอมซ่อแห่งนึ่ง ก็มีคนมาเชิญทั้งสามเข้าไปด้านหลังโรงเตี๊ยมอย่างรวดเร็ว ที่นี่ดูจะเป็นสถานที่ที่ถานจี้จือจัดเตรียมไว้นานแล้ว ซึ่งดูแตกต่างจากโรงเตี๊ยมผุๆ พังๆ ที่ด้านหน้าอย่างชัดเจน เรือนด้านหลังสะอาดและสงบ บรรยากาศไม่เหมือนอยู่ในเมืองเล็กๆ ในเขตซีเป่ยเลยแม้แต่น้อย

 

 

เมื่อก้าวผ่านประตูเรือนไป ก็มีคนก้าวออกมาต้อนรับทันที

 

 

“จี้จือ ในที่สุดเจ้าก็กลับมาเสียที” ผู้ที่เข้ามาต้อนรับเป็นสตรีหน้าตางดงาม อยู่ในชุดหลัวอีสีฟ้า นางพุ่งตัวเข้าใส่อ้อมแขนของถานจี้จือโดยมิได้สนใจว่าจะมีผู้อื่นอยู่ที่นั้นด้วย แล้วเอ่ยเสียงออดอ้อนว่า “จื้จือ ในที่สุดเจ้าก็กลับมาเสียที ตัวข้าเป็นห่วงท่านอยู่ตั้งนาน กลัวว่าจะเกิดอันใดขึ้นกับเจ้า”

 

 

ถานจี้จือดูจะอ่อนให้นางอยู่มาก ใบหน้าที่เคยบึ้งตึงดูมีรอยยิ้มขึ้นมาหลายส่วน เอ่ยเสียงอ่อนว่า “ข้าก็ไม่ได้เป็นอันใดมิใช่หรือ ทำให้เจ้าเป็นห่วงแล้ว”

 

 

สตรีในชุดสีฟ้าถอยออกจากอ้อมแขนเขา แล้วถึงได้สังเกตเห็นเยี่ยหลีกับท่านหมอหลินที่ยืนอยู่ข้างๆ แน่นอนว่าสายตาของนางเพ่งเล็งมาที่เยี่ยหลี สายตาที่ส่งมาทางเยี่ยหลีเต็มไปด้วยความริษยาและรังเกียจ “ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร!”

 

 

เยี่ยหลีกระตุกมุมปากเล็กน้อย พี่สาว ท่านไม่เห็นหรือว่าข้าท้องโย้อยู่ ความหึงหวงของท่านดูจะรุนแรงไปสักหน่อยกระมัง

 

 

ถานจี้จือรีบดึงนางไว้ เอ่ยปลอบโยนเสียงอ่อนว่า “หลินเอ๋อร์ นางยังมีประโยชน์ อย่าเพิ่งทำอันใดนาง เจ้ารู้ดี ว่าใจข้ามีเพียงเจ้าคนเดียว”

 

 

สตรีในชุดสีฟ้ากลับยังไม่พอใจในคำพูดของเขา จ้องหน้าถานจี้จืออย่างไม่ยอมโอนอ่อน “เจ้ายังไม่บอกข้าเลยว่านางเป็นใคร”

 

 

ถานจี้จือทำได้เพียงยิ้มขื่นๆ อย่างจนใจ “นางคือชายาติ้งอ๋อง ดังนั้น…อย่าทำอันใดนางเข้าล่ะ”

 

 

สายตาสตรีในชุดสีฟ้ามีแววตื่นตกใจ ยืนอิงถานจี้จือพร้อมใช้สายตามองประเมินเยี่ยหลี “ชายาติ้งอ๋อง? ชายาติ้งอ๋องมิได้ตายไปแล้วหรือ เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่”

 

 

ถานจี้จือเอ่ยเสียงอ่อนว่า “บังเอิญพบกันน่ะ เจ้าให้คนคอยดูนางให้ดีล่ะ”

 

 

สตรีในชุดสีฟ้าระบายยิ้มกว้าง เอ่ยว่า “เจ้าวางใจเถิด เรื่องที่ท่านมอบหมาย ข้าเคยทำให้เสียเรื่องเมื่อใดกัน”

 

 

ถานจี้จือพยักหน้า เอียงคอไปเอ่ยกับเยี่ยหลีว่า “ชายาติ้งอ๋อง พวกเราต้องพักอยู่ที่นี่เป็นการชั่วคราวสักสองวัน ท่านมีเรื่องอันใดบอกหลินเอ๋อร์ได้เลย นางจะช่วยท่าน”

 

 

เยี่ยหลีไม่มีความเห็นใดๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่สตรีในชุดสีฟ้ากลับดูไม่พอใจ ถลึงตาใส่ถานจี้จือ “เจ้าหมายความว่าอย่างไร ข้าไม่ใช่คนใช้นางนะ!”

 

 

เมื่อเป็นเช่นนั้น ถานจี้จือจึงใช้คำหวานเข้าปลอบโยนนางอีกครั้ง ปลอบอยู่เป็นนานถึงทำให้นางอารมณ์ดีขึ้นได้ นางส่งเสียงหึเบาๆ “เอาเถิด ข้าจะดูแลนางอย่างดีก็แล้วกัน”

 

 

ที่ทั้งสองคนมาเล่นพ่อแง่แม่งอนกันต่อหน้านางนั้น นางมิได้สนใจอันใด นางเพียงหลุบตาลงระบายยิ้มจางๆ แต่ในใจกลับเกิดความคิดขึ้นมากมาย

 

 

สตรีที่ชื่อหลินเอ๋อร์นางนี้ นางไม่เคยพบมาก่อนอย่างแน่นอน เพียงแต่…น้ำเสียงฟังดูคุ้นหูไม่น้อย…นางเงยหน้าขึ้นมองสตรีในชุดสีฟ้าอีกครั้งโดยไม่ตั้งใจ อายุนางน่าจะอยู่ราวๆ ยี่สิบต้นๆ เป็นสตรีที่งดงามมากนางหนึ่ง ใบหน้าของนางดูมีเสน่ห์อย่างประหลาด แววตาที่มองไปทางถานจี้จือดูจะเต็มไปด้วยความรักใคร่ แล้วยังน้ำเสียงของนางอีก…นางพูดภาษาจงหยวนได้ดีนัก แต่เยี่ยหลีที่ผ่านการฝึกด้านการฟังมาอย่างดียังพอจับได้ว่า การออกเสียงบางคำฟังดูมีสำเนียงอื่นปะปนอยู่ วิธีการพูดการจาเช่นนี้ เยี่ยหลีเคยพบมาเพียงคนเดียวเท่านั้น นั่นคือองค์หญิงอันซีแห่งหนานจ้าว

 

 

เยี่ยหลีมองสตรีในชุดสีฟ้าด้วยสายตาที่ไม่เปลี่ยนไป หลินเอ๋อร์…หลินเอ๋อร์…ธิดาเทพแห่งหนานเจียง…ซูม่านหลิน

 

 

ดูท่าสิ่งที่พวกเขาเคยคาดเดาก่อนหน้านี้คงจะคลาดเคลื่อนไปเล็กน้อย ก่อนหน้านี้พวกเขาต่างเข้าใจไปว่า ซูม่านหลินกับม่อจิ่งหลีมีสัมพันธ์ฉันชู้สาวกัน แต่ดูท่ายามนี้…ม่อจิ่งหลีคงเป็นเพียงเครื่องมือที่ถูกหลอกใช้และเป็นเพียงเกราะป้องกันเท่านั้น ผู้ที่อยู่เบื้องหลังก็คือถานจี้จือ ชายหนุ่มที่ยืนยิ้มหน้าเป็นผู้นี้นี่เอง

 

 

เมื่อคิดเรื่องนี้ได้ ในใจเยี่ยหลีจึงประเมินถานจี้จือสูงขึ้นกว่าเดิม คนที่อยู่อย่างไร้สุ้มไร้เสียง แต่กลับสามารถปั่นหัวทั้งสองแคว้นเล่นได้ เมื่อเทียบกับม่อจิ่งฉีที่เดี๋ยวบ้าเดี๋ยวมุทะลุกับม่อจิ่งหลีที่มีแต่หัวไม่มีสมองแล้ว ชายหนุ่มตรงหน้าผู้นี้ต่างหาก ที่เป็นคนที่ควรระวัง

 

 

“พระชายากำลังคิดอันใดหรือถึงได้ใจลอยเช่นนี้” ในที่สุดถานจี้จือก็เจรจากับสตรีในชุดสีฟ้าสำเร็จ จึงหันกลับมาเอ่ยถามเยี่ยหลี

 

 

เยี่ยหลีปรายตามองเขาเรียบๆ นางจะมาใจลอยในสถานที่เช่นนี้ได้อย่างไร “ไม่มีอันใดหรอก เมื่อเห็นใต้เท้าถานกับแม่นางหลินมีความรู้สึกที่ดีต่อกันเช่นนี้ จึงอดรู้สึกซาบซึ้งใจไม่ได้ก็เท่านั้น”

 

 

สตรีในชุดสีฟ้าเอนตัวอิงแอบถานจี้จือพร้อมหัวเราะคิกคัก “ชายาติ้งอ๋องคิดถึงติ้งอ๋องแล้วหรือ”

 

 

เยี่ยหลีเพียงยิ้ม มิได้บ่ายเบียง เอ่ยด้วยท่าทีสบายๆ ว่า “จากบ้านมานานเต็มทีแล้ว ข้าไม่เพียงคิดถึงท่านอ๋องเท่านั้น คนที่บ้านเองข้าก็คิดถึงมากทีเดียว ก่อนที่จะเกิดเรื่องกับข้า ก็ไม่ได้ข่าวพี่ใหญ่มานานแล้ว ใต้เท้าถานมีข่าวคราวอันใดบ้างหรือไม่”

 

 

“พี่ใหญ่?” ถานจี้จืองุนงงไปเล็กน้อย ก่อนตั้งตัวกลับมาได้อย่างรวดเร็ว “พระชายาหมายถึงคุณชายใหญ่ตระกูลสวี สวีชิงเฉิน?”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้า นางเห็นสีหน้าของสตรีในชุดสีฟ้าที่แข็งเกร็งขึ้นอย่างชัดเจน แววตานางดูเคียดแค้นและไม่ยินยอม ในใจนางนึกขันขึ้นมา ดูท่าสตรีตรงหน้าคงจะเป็นธิดาเทพซูม่านหลินแห่งหนานเจียงคนนั้นจริงๆ วันนั้นในห้องลับภายใจวังหลวงของหนานเจียง ถึงแม้นางจะไม่ได้เห็นโฉมหน้าของซูม่านหลิน แต่นางก็ได้ยินเสียงที่นางสนทนากับพี่ใหญ่ ความเอาแต่ใจและความบ้าคลั่งในน้ำเสียงที่นางใช้กับพี่ใหญ่ ไม่ว่าอย่างไรก็ดูไม่เหมือนสตรีตรงหน้าที่ใหลหลงในถานจี้จือแม้แต่น้อย ที่แท้…ต่างก็เป็นยอดฝีมือด้านการแสดงกันทั้งนั้นหรอกหรือ

 

 

หลังจากนางถูกพามาพักในห้องที่อยู่ลึกสุดของเรือน ถานจี้จือก็ไม่ปรากฏตัวให้นางได้เห็นอีก แต่เป็นสตรีงดงามในชุดสีฟ้าที่ได้รับมอบหมายให้คอยดูแลนาง ที่หมั่นแวะเวียนมาดูนางอยู่เป็นระยะๆ และคอยพูดจาเยาะหยันกระแนะกระแหนนางเสมอ แต่ทุกครั้งเมื่อเห็นเยี่ยหลีอมยิ้มอย่างสงบนิ่งตอบกลับ ก็ทำให้นางโกรธจนต้องกัดฟันแน่น

 

 

เยี่ยหลีมิได้ไม่พอใจกับเรื่องนี้ ถานจี้จือไม่อนุญาตให้ลูกน้องคนอื่นๆ พูดคุยหรือมีปฏิสัมพันธ์กับนาง หากไปนานๆ เข้า เยี่ยหลีนึกกลัวว่าตนจะกลายเป็นโรคซึมเศร้า มีคนมาคอยลับฟันกับนางบ้างก็ถือว่าไม่เลว เพียงแต่เยี่ยหลีนึกสงสัยว่า ที่ซูม่านหลินผู้นี้คอยค่อนแคะนาง จะด้วยเพราะถานจี้จือหรือสวีชิงเฉินกันแน่?

 

 

“เจ้านี่ก็อดทนได้ดีนะ” เมื่อตรวจชีพจรให้นางเสร็จ ท่านหมอหลินก็เอ่ยขึ้นพลางเก็บข้าวของไปด้วย

 

 

เยี่ยหลีนั่งเอนหลังสบายๆ อยู่บนเก้าอี้ พร้อมดื่มยาบำรุงที่เพิ่งต้มเสร็จใหม่ๆ นางยิ้มตาหยีพร้อมเอ่ยว่า “จะว่าอดทนไม่อดทนก็คงไม่ใช่ ท่านอาจารย์ ท่านไม่คิดว่ายามนี้เราอยู่กันสบายกว่าในสุสานหลวงหรือในหมู่บ้านเล็กๆ นั่นหรือ” ต้องการยาบำรุงยารักษาอันใด ต้องการทำอันใดก็มีคนคอยช่วยทำให้ นี่ต่างหากเป็นสิ่งที่สตรีมีครรภ์ควรได้รับ มิใช่การตามคนที่ไม่ได้รู้จักกันดีไปขึ้นเขาลงห้วยเพื่อขุดสุสาน

 

 

ท่านหมอหลินจ้องมองนางด้วยสีหน้าหลากหลาย “เจ้าไม่ห่วงว่าเขาจะเอาเจ้าไปข่มขู่ติ้งอ๋องหรือ”

 

 

เยี่ยหลียักไหล่อย่างจนใจ “ในเมื่อตกมาอยู่ในมือเขาแล้ว เป็นห่วงไปจะได้ประโยชน์อันใด ก่อนที่ข้าจะคลอดบุตร เขาไม่มีทางทำอันใดข้าหรอกกระมัง แต่อาจารย์ ตัวท่านน่ะสิ…ข้ารู้สึกว่า ทั้งๆ ที่ถานจี้จือรู้ว่าเป็นอันตราย แต่ยังมารั้งรออยู่ในเขตพื้นที่ของท่านอ๋อง…คงมิใช่เรื่องดีแน่”

 

 

ท่านหมอหลินหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย เขาย่อมรู้ดีว่าที่ถานจี้จือรั้งรออยู่ที่นี่ไม่ยอมไปไหนด้วยเพราะเหตุอันใด สองสามวันมานี้ ไม่ใช่ว่าถานจี้จือจะไม่มาหาเขาเลย เพียงแต่…ใบหน้าที่แก่ชราของท่านหมอหลินมีรอยยิ้มที่ฝืดเฝื่อน “หากข้าบอกว่าข้าไม่รู้อันใดจริงๆ เจ้าจะเชื่อข้าหรือไม่”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้า “ข้าเชื่อ” แค่เพียงดูจากข้อความที่ทิ้งไว้บนผ้าผืนนั้น ก็พอบอกได้แล้วว่า ปฐมฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ก่อนท่านนั้น เป็นคนชอบเล่นตลกร้ายเพียงใด การที่เขาไม่ยอมให้ผู้ใดรู้ที่อยู่และสมบัติลับที่แท้จริงนั้น ย่อมเป็นไปได้

 

 

“น่าเสียดายที่ถานจี้จือไม่เชื่อ” ท่านหมอหลินหน้าขรึมลง ลอบถอนใจอย่างไร้สุ้มเสียง