……
……
ซีหวังซุนกล่าว “หลายปีมานี้ข้าให้เจ้าจัดการเรื่องนี้เพียงเรื่องนี้ ดังนั้นข้าหวังว่าคำตอบของเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังนะ”
เสี่ยวเหอแห่งเมืองอิ้งเฉิงประหม่าเล็กน้อย กล่าวว่า “จิ๋งจิ่วน่าจะไม่เคยบอกเขาเรื่องข้า ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าข้าเป็นใครเจ้าค่ะ”
เมื่อพูดถึงชื่อนี้ หน้าอกของนางพลันมีความรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาเล็กน้อย คล้ายกระบี่เหล็กเล่มนั้นยังคงอยู่ข้างใน
ซีหวังซุนกล่าวว่า “ดีมาก หวังว่าในตอนที่เจ้าตามเขา จะไม่ถูกเขาพบเข้าเช่นกัน”
เสี่ยวเหอแห่งเมืองอิ้งเฉิงกล่าว “ขอนายท่านได้โปรดวางใจ ข้ามั่นใจว่าเขาไม่เห็นข้าเจ้าค่ะ”
ซีหวังซุนกล่าว “อย่างนั้นเจ้าล่ะ? พบอะไรบ้างไหม?”
เสี่ยวเหอแห่งเมืองอิ้งเฉิงกล่าว “ข้าไม่เห็นเขาไปพบกับใครเลย แล้วก็ไม่เห็นกระบี่เล่มนั้นด้วยเจ้าค่ะ”
ซีหวังซุนนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “ไม่ต้องไปสนใจมาก แค่มองๆ ดูก็พอ อย่าให้เขาสงสัย”
เสี่ยวเหอแห่งเมืองอิ้งเฉิงกล่าว “บ่าวเข้าใจเจ้าค่ะ”
“เจ้าไม่เข้าใจ”
เสียงของซีหวังซุนเย็นยะเยือกเล็กน้อย “แม้นเจ้าจะเป็นปีศาจจิ้งจอก แต่ก็อย่าได้คิดฝันว่าจะยั่วยวนเขาได้ เพราะใจแห่งเต๋าของเจ้าเด็กนั่นมั่นคงแน่วแน่ มีน้อยคนบนโลกที่จะทำได้แบบนั้น ข้าอยากให้เจ้ากลายเป็นโซ่พันธนาการของเขา มิใช่ให้เจ้าปีนไปขึ้นเตียงเขา ดังนั้นวิธีแบบนั้นอย่าได้ใช้ส่งเดช”
เสี่ยวเหอแห่งเมืองอิ้งเฉิงกระวนกระวาย กล่าวถามว่า “เช่นนั้นบ่าวควรทำอย่างไรเจ้าคะ?”
ซีหวังซุนกล่าว “มอบความรักให้แก่เขา ทำให้เขาสงสารเจ้า จำไว้ ความรักเหล่านั้นจะต้องเป็นความรู้สึกจริงๆ”
กล่าวจบประโยคนี้ เขาก็โบกมือเพื่อบอกให้นางออกไป
ภายในตำหนักกลับคืนสู่ความเงียบอีกครั้ง
ม่านลำแสงค่อยๆ จางหายไป
ใบหน้าเขาดูชัดเจนขึ้นมาหน่อย
เขาไม่ค่อยเข้าใจ
กระบี่พรหมจรรย์เป็นกระบี่ของอาจารย์ ในอดีตได้หายสาบสูญไปบนแผ่นดิน เหตุใดถึงมาปรากฏอยู่ในมือของหลิ่วสือซุ่ยได้? นี่เป็นเจตนาของท่านนักพรตอย่างนั้นหรือ?
หลิ่วสือซุ่ยเอากระบี่เล่มนี้ไปซ่อนไว้ที่ใด? เหตุใดผ่านมาหลายปี มันยังคงไม่ปรากฏออกมาอีก?
……
……
เสี่ยวเหอออกมาจากลานเมฆ มายังเมืองไห่โจว
หลังจากที่รับภารกิจนี้มา นางก็ย้ายจากเมืองอิ้งเฉิงมาที่นี่ ซื้อเหลาสุราเอาไว้แห่งหนึ่ง
นางนั่งอยู่ในห้องส่วนตัวภายในเหลาสุรา สายตามองดูอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะ แต่กลับไม่มีความรู้สึกอยากอาหารแม้แต่น้อย
ดูแล้วเหมือนนางจะสงบนิ่ง แต่ความจริงแล้วกลับกระวนกระวายใจเป็นอย่างมาก เพราะนางใช้นิ้วลูบไล้สร้อยที่อยู่บนข้อมือไม่หยุด
สร้อยข้อมือเส้นนั้นดูปกติ แล้วก็ธรรมดาอย่างมาก ผิวนอกเป็นมันวาว ดูเย็นยะเยือกเล็กน้อย
หลายปีมานี้ นางทำเช่นนี้จนกลายเป็นนิสัย เวลาที่เผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ยากจะแก้ไข นางมักจะลูบสร้อยข้อมือนี้ไม่หยุด
เพราะการทำเช่นนี้จะทำให้นางเกิดความหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด
และความหวาดกลัวก็เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ทำให้ให้คนๆ หนึ่งใจเย็นลงได้
เมื่อหลายวันก่อน ในช่วงพลบค่ำของวันหนึ่ง นางได้พบกับหลิ่วสือซุ่ยเป็นครั้งแรกใต้โคมไฟของงานเลี้ยงซื่อไห่ จากนั้นก็ทำความรู้จักกันอย่างเป็นธรรมชาติ
นางรู้ว่าหลิ่วสือซุ่ยคือคนที่องค์กรให้ความสำคัญ แต่นางก็มิได้สนใจในภารกิจนี้เท่าไรนัก เพราะนางถนัดทำเรื่องแบบนี้
ทว่านับแต่ที่ได้เจอหลิ่วสือซุ่ย นางก็เริ่มสับสนกระวนกระวายขึ้นมา จนกระทั่งถึงตอนนี้
เหตุใดดอกมะลิดอกนั้นถึงไปอยู่บนปกเสื้อของเขาได้?
……
……
พริบตาก็ผ่านไปอีกหนึ่งปี
ลมทะเลยังคงพัดเหมือนปกติ ชายหญิงที่อยู่ใต้โคมไฟอาจจะเปลี่ยนคน แต่ภาพยังคงเหมือนอดีตไม่เปลี่ยนไป
ชิงซานยังคงเหมือนเก่า เทียนกวงยังคงสูงเช่นนั้น ซั่งเต๋อยังคงหนาวเย็นเช่นนั้น ซื่อเยวี่ยยังคงวุ่นวายเช่นนั้น เสินม่อยังคงโดดเดี่ยวเช่นนั้น
ยังคงเหมือนอดีตที่ผ่านมา ยอดเขาเสินม่อคล้ายตัดขาดจากทุกสิ่ง มีเพียงศิษย์น้องอวี้ซานที่จะมาส่งของให้แก่หยวนฉวี่ในบางครั้ง
ของใช้ทั้งหมดของศิษย์ทั้งสี่คนล้วนแต่เป็นศิษย์ของยอดเขาซื่อเยวี่ยนำมาส่งให้ที่ด้านล่างยอดเขา จากนั้นเหล่าวานรก็จะเป็นคนขนมันขึ้นมาบนยอดเขา
เหล่าศิษย์ที่อยู่บนยอดเขาซีไหลรู้สึกอ้างว้างโดดเดี่ยว เพราะยอดเขาเสินม่อคล้ายไม่ต้องการคัมภีร์เกี่ยวกับการบำเพ็ญพรตเลย
สภาวะขั้นมิประจักษ์ระดับต้นของหยวนฉวี่มีความคงที่แล้ว
เจ้าล่าเยวี่ยยังคงรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากสภาวะขั้นคเนจร
สภาวะของกู้ชิงมียิ่งลึกล้ำมากขึ้น ความเข้าใจที่มีต่อเพลงกระบี่แบกสวรรค์ก็ยิ่งลึกซึ้งมากขึ้น
ดูเหมือนจิ๋งจิ่วจะกลายเป็นคนที่มีสภาวะต่ำต้อยที่สุดบนยอดเขาเสินม่อเสียแล้ว
แต่ที่น่าสนใจก็คือ ไม่ว่าจะเจอกับปัญหาในด้านการบำเพ็ญเพียรอย่างไร ทั้งสามคนก็จะมาถามเขา
จิ๋งจิ่วรู้สึกว่าแบบนี้มันค่อนข้างวุ่นวาย มิสู้ให้ทุกคนมารวมกันแล้วสอนพร้อมกันดีกว่า
ตกเย็นวันหนึ่ง บนยอดเขาเสินม่อก็มีภาพเช่นนี้เกิดขึ้น
จิ๋งจิ่วนอนอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่
เจ้าล่าเยวี่ยนั่งอยู่ที่ปลายเก้าอี้ไม้ไผ่
แมวขาวฟุบอยู่ในอ้อมอกของนาง
จักจั่นเหมันต์เกาะอยู่บนหัวของมัน
กู้ชิงและหยวนฉวี่ยืนอยู่
……
……
“อาจารย์ นับแต่กระบวนท่าที่สามเป็นต้นไป ข้ารู้สึกว่าการโคจรปราณกระบี่มีปัญหา เวลาประสานกับเพลงกระบี่แล้วคล้ายขาดอะไรบางอย่างไป”
กู้ชิงมิใช่เพิ่งจะมาพบปัญหานี้ในตอนนี้
เมื่อเก้าปี้ก่อน หลังจากที่เขาเริ่มฝึกเพลงกระบี่แบกสวรรค์ที่จิ๋งจิ่วให้เขามา เขาก็รับรู้ได้ถึงปัญหานี้อย่างรวดเร็ว
ที่เรือนเป่าซู่ในเมืองเฉาหนานในอดีต ในตอนที่เขาเรียนรู้วิธีทำลายข่ายพลัง ความรูู้สึกเช่นนี้ก็ยิ่งชัดเจนขึ้น
หากเปลี่ยนวิธีบรรยายเป็นอีกวิธีหนึ่งก็คือ ในบางครั้งบางคราว เคล็ดกระบี่แบกสวรรค์นั้นมิค่อยคล้ายเคล็ดกระบี่ หากแต่คล้าย…
“ข่ายพลัง เจ้าจะเข้าใจว่าเคล็ดกระบี่แบกสวรรค์เป็นข่ายพลังอย่างหนึ่งก็ได้ ปรับเปลี่ยนการโคจรปราณกระบี่ไปตามสถานการณ์ความเหมาะสม ก็จะสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้”
จิ๋งจิ่วคิดไม่ถึงว่าการรับรู้ของกู้ชิงจะเฉียบคมปานนี้ เพิ่งจะอยู่ในขั้นมิประจักษ์ก็พบถึงความพิเศษของเคล็ดกระบี่แบกสวรรค์แล้ว
กู้ชิงถาม “ใช้วิธีของข่ายพลังมาเรียนกระบี่? แล้วอย่างนี้มันควรจะปรับอย่างไรขอรับ?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “เจ้าหาเวลาไปที่ยอดเขาซีไหล หาหนังสือเกี่ยวกับข่ายพลังมาลองอ่านดูได้”
หยวนฉวี่ไม่ค่อยเข้าใจ เขากล่าวถามว่า “เพลงกระบี่ก็คือเพลงกระบี่ ไฉนถึงสามารถเป็นข่ายพลังได้?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “เพลงกระบี่เจ็ดดอกเหมยที่เจ้าเรียนก็มีจุดกำเนิดมาจากวิธีเขียนพู่กันของเรือนอี้เหมา เพลงกระบี่สุริยันที่กู้ชิงใช้ในอดีตก็มีความเกี่ยวข้องกับวิชาสายฟ้าของต้าเจ๋อ”
หยวนฉวี่กล่าว “หรือวิชาเต๋าทั้งหมดสามารถแปรเปลี่ยนเป็นเพลงกระบี่ได้?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “สามารถทำความเข้าใจในทางกลับกันได้”
อย่างนั้นก็หมายความว่าเพลงกระบี่ของยอดเขาทั้งเก้าของชิงซานสามารถจำลองเป็นวิชาเต๋าต่างๆ ออกมาได้?
เมื่อคิดถึงภาพแบบนั้น กู้ชิงจึงอดเหม่อลอยขึ้นมาไม่ได้ กล่าวว่า “ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ”
จิ๋งจิ่วไม่เข้าใจถึงความสงสัยและความตกตะลึงของศิษย์สองคนนี้ กล่าวว่า “ตอนเรียนวิชาแรกหลังเข้ามาเป็นศิษย์ในสำนักก็มีการสอนเรื่องหลักการของสรรพสิ่งรวมเป็นหนึ่งกระบี่ให้พวกเจ้ามิใช่หรือ?”
ศิษย์ชิงซานทุกคนเมื่อเข้ามาเป็นศิษย์ในสำนัก ในการเรียนวิชาแรกตรงริมธารสี่เจี้ยน ทุกคนจะได้รับหนังสือเล่มหนึ่งที่ชื่อว่าคัมภีร์กระบี่
ในหน้าแรกของคัมภีร์กระบี่มีตัวหนังสือเขียนไว้ว่า
สรรพสิ่งรวมเป็นหนึ่งกระบี่
กู้ชิงและหยวนฉวี่ย่อมต้องจำได้ เพียงแต่จนกระทั่งถึงตอนนี้ พวกเขาถึงได้เข้าใจว่าที่แท้แล้วนั่นมิใช่การเขียนเอาไว้แค่เพื่อให้ดูดี หากแต่มีความหมายจริงๆ
แมวขาวที่ฟุบอยู่ในอ้อมอกของเจ้าล่าเยวี่ยขยับร่างกายเล็กน้อย
เจ้าล่าเยวี่ยคิดถึงคำเล่าลือเรื่องหนึ่งขึ้นมา จึงกล่าวถามว่า “ได้ยินว่าเหนือขั้นทะลวงสวรรค์ยังมีสภาวะอื่นอยู่อีก?”
กู้ชิงและหยวนฉวี่เองก็รู้สึกสนใจขึ้นมา
จิ๋งจิ่วกล่าว “ซ่อนพิภพ”
บนยอดเขาแปรเปลี่ยนเป็นเงียบสงัด
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร เจ้าล่าเยวี่ยถามขึ้นมาว่า “แล้วเหนือขึ้นไปอีกล่ะ?”
จิ๋งจิ่วส่ายศีรษะ พลางกล่าวว่า “สภาวะนั้นมีอยู่แค่ในจินตนาการ กระทั่งปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักก็ยังไปไม่ถึง ไม่ต้องไปคิดถึงมัน”
แมวขาวหลับตา คล้ายกำลังหลับอย่างสบาย แต่ความจริงแล้วมันกำลังฟังอยู่อย่างเงียบๆ
มันย่อมต้องรู้จักซ่อนพิภพ
มันยังรู้อีกว่าจิ๋งจิ่วไม่ได้บอกว่าสภาวะนั้นมีชื่อว่า ‘สรรพสิ่งรวมเป็นหนึ่ง’
แล้วก็ตัวหนังสือที่อยู่ในหน้าแรกของคัมภีร์กระบี่
นั่นก็เป็นกระบี่เล่มหนึ่ง
กระบี่สรรพสิ่งรวมเป็นหนึ่ง
มันค่อนข้างผิดหวัง จนท้ายที่สุดจิ๋งจิ่วก็มิได้พูดถึงกระบี่เล่มนั้น
กระบี่เล่มนั้นไปอยู่ที่ไหนกันนะ?
……
……
ฤดูใบไม้ผลิเยื้องย่างมาเยือน ริมธารสี่เจี้ยนค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเขียว จากนั้นก็ถูกดอกไม้ที่เบ่งบานอยู่บนหน้าผาทั้งสองฝั่งธารย้อมจนเป็นสีแดง
ชิงซานจัดงานชุมนุมสืบทอดกระบี่ขึ้นอีกครั้ง ยอดเขาเสินม่อยังคงไม่มาเข้าร่วม
คุณหนูของสำนักเสวียนหลิงมาชมงานเป็นครั้งที่สี่ติดต่อกัน รุ่งเช้าวันที่สองหลังงานชุมนุมสืบทอดกระบี่เสร็จสิ้นลง นางก็มาเยือนยอดเขาเสินม่ออีกครั้ง
ปีนี้นางได้รับการต้อนรับให้ขึ้นไปบนยอดเขา กู้ชิงยังคงใช้กาเหล็กต้มน้ำชา
นางรู้ว่านี่เป็นการต้อนรับที่หาได้ยากยิ่ง ต่อให้เป็นท่านแม่ของตัวเอง หรือกระทั่งเหล่าไท่จวินมาเยือน ก็ยังมิแน่ว่าจะได้รับการต้อนรับเช่นนี้ ดังนั้นจึงยิ้มอย่างภูมิใจคล้ายกับชื่อของนาง
เจ้าล่าเยวี่ยคิดถึงเรื่องในสวนดอกเหมยเก่าของเมืองเจาเกอ จึงกล่าวถามว่า “เหล่าไท่จวินสุขภาพเป็นอย่างไรบ้าง?”
ครั้งนั้นเต๋อเซ่อเซ่อไปยังสวนเหมยเก่าเพื่อขอพบเทียนจิ้นเหรินเพื่อถามว่าเมื่อไรมารดาของตัวเองจะแต่งงาน เทียนจิ้นเหรินให้เด็กรับใช้ออกมาบอกว่าเมื่อเหล่าไท่จวินเบื่อโลกนี้ นางถามต่อไปอีก คำตอบที่ได้รับกลับมาคือสิบปี ตอนนี้คำนวณดูก็น่าจะใกล้เคียงแล้ว
“เหล่าไท่จวินแข็งแรงดี”
เต๋อเซ่อเซ่อมองไปทางเก้าอี้ไม้ไผ่ที่อยู่ด้านนอกถ้ำตัวนั้น กล่าวว่า “ตอนนั้นมีคนพูดถูก ตาแก่เทียนจิ้นเหรินแค่หลอกคนเก่งเท่านั้น”
เจ้าล่าเยวี่ยนสังเกตเห็นว่านางมิใช้เด็กหญิงเหมือนเมื่อในอดีตอีกแล้ว หากแต่เป็นสาวน้อยที่หน้าตางดงาม ขณะที่พูดก็มุ่ยปากไปด้วย ดูน่ารักทีเดียว
ในขณะที่นางเตรียมกำลังจะพูดอะไร เต๋อเซ่อเซ่อพลันลืมตาโตแล้วกล่าวถามว่า “พวกท่านรู้เรื่องนั้นแล้วใช่ไหม?”
……………………