ภาคที่ 3 ตอนที่ 35 ชายหนุ่มที่ชอบกินเนื้อย่าง

มรรคาสู่สวรรค์

เจ้าล่าเยวี่ยงุนงง กล่าวว่า “เรื่องอะไร?”

สีหน้าของกู้ชิงและหยวนฉวี่เองก็ดูสับสนอย่างมาก

เต๋อเซ่อเซ่อมองพวกเขาพลางกล่าวอย่างจนปัญญา “ถึงแม้การบำเพ็ญพรตจะสำคัญ แต่พวกท่านช่วยสนใจเรื่องใหญ่โตที่เกิดขึ้นในโลกแห่งการบำเพ็ญพรตหน่อยได้ไหม?”

เจ้าล่าเยวี่ยคิดในใจ ตามที่เทพดาบบอกมา ภายในร้อยปีแคว้นเสวี่ยน่าจะไม่บุกลงใต้ หลายปีมานี้เผ่าหมิงก็เงียบสงบอย่างมาก แล้วมันจะมีเรื่องใหญ่อะไรกัน?

“ซูจึเย่ไม่รู้หัวสมองเป็นอะไร ออกจากเหลิ่งซานมายังอี้โจว ผลปรากฏว่าเจอนักฆ่าในเหลาสุรา นักฆ่าคนนั้นปลอมตัวเป็นแขกที่มาเที่ยวหญิงนางโลม…”

เต๋อเซ่อเซ่อเล่าเรื่องการลอบสังหารครั้งนี้ออกมาอย่างละเอียด

กู้ชิงและหยวนฉวี่สบตากัน รู้สึกเหนือความคาดหมาย เพราะเจ้าล่าเยวี่ยฟังอย่างตั้งใจ

เต๋อเซ่อเซ่อคิดถึงความยอดเยี่ยมของแผนการลอบสังหาร ความโหดเหี้ยมของนักฆ่า ในใจอดรู้สึกหนาวเย็นขึ้นมาไม่ได้ จึงกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “ปู้เหล่าหลินช่างน่ากลัวจริงๆ”

“เขาตายหรือยัง?”

เจ้าล่าเยวี่ยแสดงความรู้สึกสนใจผู้อื่นอย่างที่ยากจะพบเห็นได้ออกมา

หลายปีก่อนนางเคยได้ยินชื่อซูจึเย่ชื่อนี้

ในข่าวลือได้บรรยายพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียรของนายน้อยแห่งสำนักเสวียนอินผู้นี้เอาไว้อย่างใหญ่โต ว่ากันว่ากระทั่งลั่วไหวหนานก็มิอาจเทียบเขาได้

เต๋อเซ่อเซ่อกล่าวว่า “ไม่รู้เหมือนกัน ถ้าดูจากสถานการณ์ในตอนนั้นเขาน่าจะต้องตายอย่างแน่นอน แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครพบศพเขา”

ภายในถ้ำแปรเปลี่ยนเป็นเงียบสงัดขึ้นมา บรรยากาศดูค่อนข้างแปลก

ลั่วไหวหนานกับซูจึเย่เป็นสองยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในยุคผู้บำเพ็ญพรตรุ่นเยาว์ของโลกแห่งการบำเพ็ญพรต หนึ่งธรรมะหนึ่งอธรรม

ใครจะไปคิดบ้างว่าพวกเขาต่างถูกลอบฆ่า

หนึ่งตายไปแล้ว อีกหนึ่งไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไร

นี่ช่างเป็นเรื่องที่ทำให้คนรู้สึกทอดถอนใจจริงๆ

เต๋อเซ่อเซ่อคิดว่าบรรยากาศแปลกๆ ภายในถ้ำตอนนี้มาจากสาเหตุนี้ แต่นางกลับไม่รู้เลยว่าเจ้าล่าเยวี่ย กู้ชิงและหยวนฉวี่คิดไปไกลกว่านั้นมาก

……

……

แผ่นดินตะวันตกเฉียงใต้เป็นแผ่นดินที่ไม่อุดมสมบูรณ์ มีแต่ภูเขาและแม่น้ำเชื่อมต่อกัน ประเดี๋ยวมีพายุประเดี๋ยวแห้งแล้ง ผลผลิตขาดแคลน ผู้คนย่อมต้องน้อยตามไปด้วย

ตามหลักแล้วที่นี่ควรจะเป็นสถานที่เงียบสงบที่ผู้บำเพ็ญพรตชื่นชอบ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าที่นี่ไม่มีสายแร่วิญญาณ ยิ่งไปกว่านั้นทิวทัศน์ก็ไม่ค่อยสวยงามเท่าไร

บริเวณหน้าผา เงาดำสายหนึ่งกำลังเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่ยากจะจินตนาการได้ ต่อให้ผาหินจะลาดชันเพียงไดก็มิอาจทำให้ความเร็วลดลงได้

กิ่งไม้ที่แห้งเหี่ยวถูกชนจนหัก ตะไคร่น้ำที่เปียกชื้นถูกเหยียบจนกลายเป็นโคลน เหยี่ยวภูเขาที่หลบไม่ทันถูกชนจนกระเด็น ไหสุราตีต้นขาของคนผู้นั้นดังผัวะๆๆ

เมื่อมาถึงป่าที่มืดสลัวแห่งหนึ่ง คนผู้นั้นจึงหยุดฝีเท้าลง จากนั้นวางเพื่อนที่อยู่บนร่างกายลงกับพื้น ปลดไหสุราออกมากรอกใส่ปากไปอึกใหญ่ ก่อนจะเริ่มหอบหายใจ

เพื่อนคนนั้นใช้ผ้าสีดำปิดบังใบหน้าเอาไว้ ลุกนั่งขึ้นมาอย่างยากลำบาก นั่งพิงต้นไม้พลางกล่าวเสียงแหบแห้ง “ให้ข้าดื่มหน่อย”

“เจ้าถูกพิษแล้ว ยังจะดื่มอะไรอีก!”

คนผู้นั้นร่างกายสูงใหญ่ ใบหน้ามีหนวดเครา เนื่องเพราะรีบดื่มเกินไป เหล้าจึงหกลงพื้น หยดเป็นดวงๆ คล้ายหยดน้ำค้าง

ดวงตาเขาใสกระจ่าง มองดูคล้ายหยดน้ำค้างเช่นเดียวกัน

อันดับที่สองในใต้หล้า เหอจาน

คนที่อยู่ใต้ต้นไม้ผู้นั้นปลดผ้าสีดำออก เผยให้เห็นใบหน้า

ใบหน้าเขาเป็นสีเขียว ส่องประกายจางๆ ออกมา คล้ายกับเกลือจืดที่แข็งตัวแล้ว ดูแปลกประหลาดราวภูตผี

เหอจานสีหน้าไม่เปลี่ยน น่าจะเห็นมามากแล้ว

เสียงคนผู้นั้นแหบพร่า คล้ายกับเส้นเสียงเคยถูกคนใช้มีดตัดมาก่อน “พิษนี่ทำเอาข้าตกอยู่ในสภาพแบบนี้แล้ว ดื่มอีกสักหน่อยคงไม่หนักไปมากกว่านี้แล้วกระมัง?

เหอจานสายตาดูเศร้าเล็กน้อย ฟังออกถึงความหมายของสหาย จึงเอาไหสุราโยนไปให้

คนผู้นั้นรับเอาไหสุราไปดื่มสองสามอึก ถึงแม้เวลาพูดจาเขาจะดูเป็นคนง่ายๆ สบายๆ แต่เวลาดื่มสุรากลับมีความระมัดระวัง ไม่มีเหล้าหยดออกมาแม้แต่หยดเดียว ดูมีมารยาทเรียบร้อย

“ข้าไม่รู้ว่าละแวกนี้มีนักฆ่าของปู้เหล่าหลินหรือไม่ ข้าเพียงแต่รู้ว่านอกจากข้าแล้ว ไม่มีใครที่จะยินดีช่วยเจ้า”

เหอจานพูดไปๆ ก็รู้สึกโกรธขึ้นมา กล่าวว่า “หากเจ้าคบเพื่อนให้มากหน่อยเหมือนอย่างข้า ก็คงไม่ตกอยู่ในสภาพนี้”

คนผู้นั้นยิ้มเล็กน้อย กล่าวว่า “มีเพื่อนยังจะเรียกว่าศิษย์พรรคมารอย่างนั้นหรือ?”

เหอจานเกียจคร้านที่จะต่อปากต่อคำกับเขา กล่าวว่า “สำนักฌานเป่าทงอยู่ห่างจากนี่ไม่ไกล”

คนผู้นั้นกล่าว “เจ้าอย่าลืมสิว่าข้าเป็นนายน้อยของสำนักเสวียนอิน”

ที่แท้เขาก็คือซูจึเย่

“พ่อของเจ้าธาตุไฟเข้าแทรก เป็นอัมพาตมาหลายปี ตอนนี้เจ้าเกิดเรื่อง เขาเองก็น่าจะยากปกป้องตัวเองได้”

เหอจานกล่าวหยอกล้อ “สำนักเสวียนอินเป็นของคนอื่นไปแล้ว เจ้ายังจะเป็นนายน้อยอะไรอีก”

ซูจึเย่คิดเล็กน้อยพลางกล่าว “เจ้าพูดมีเหตุผล”

“เจ้าถูกพิษอะไรกันแน่?” เหอจานขมวดคิ้วพลางถาม

พิษธรรมดานั้นยากจะทำอะไรผู้บำเพ็ญพรตได้ ยิ่งไปกว่านั้นสำนักเสวียนอินยังถนัดวิชามารชนิดต่างๆ และพิษแปลกๆ ด้วย

“พิษชนิดหนึ่งที่ข้ารู้สึกได้ก็คือพิษดอกเจดีย์คนตาย ดูเหมือนปู้เหล่าหลินจะรู้จักวิชาของสำนักเสวียนอินดีทีเดียว แต่ก็น่าจะมีคนเติมพิษอะไรบางอย่างเพิ่มเข้าไปด้วย”

ซูจึเย่กล่าว “พิษพวกนี้น่ะไม่เป็นไรหรอก สิ่งสำคัญก็คือฝีมือของนักฆ่าพวกนั้นช่างยอดเยี่ยมจริงๆ ปู้เหล่าหลินร้ายกาจสมคำร่ำลือ”

เหอจานกล่าวถาม “เหตุใดปู้เหล่าหลินต้องฆ่าเจ้าด้วย?”

ซูจึเย่กล่าว “ในเหลิ่งซานมีหลายคนที่ไม่ค่อยชอบข้า พวกตาแก่ที่อยู่ในพรรคอยากจะให้ข้าตายไปนานแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกนักพรตฝ่ายธรรมะของพวกเจ้าเลย คนที่จ่ายเงินไหวมีมากมาย ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเป็นใคร”

เหอจานกล่าวอย่างหงุดหงิด “รู้ทั้งรู้ว่ามีคนมากมายอยากให้เจ้าตาย แต่เจ้ากลับยังประมาท ออกมาอี้โจวคนเดียวแบบนี้”

ซูจึเย่มิได้ตอบคำถามเขา หากแต่หลับตาลงแล้วเริ่มปรับลมปราณ พลางกล่าวว่า “ย่างเนื้อให้ข้ากินหน่อย”

เสียงฝีเท้าของเหอจานดังขึ้น มุ่งหน้าไกลออกไป

ใบหน้าของซูจึเย่บิดเบี้ยวเล็กน้อย คล้ายใบไม้สีเขียวที่ถูกขยำเป็นก่อน แลดูเจ็บปวดอย่างมาก

เขาไม่ได้ลืมตา

เบื้องหน้าเป็นความมืดสีดำ

สิ่งที่ส่องสว่างความมืดคือกองไฟ

เมื่อปีที่แล้ว เปลวไฟจากกองไฟกองนั้นสูงหลายสิบจ้าง ส่องสว่างหุบเขาอันมืดมิด

นี่คือพิธีกราบไหว้บรรพชนของสำนักเสวียนอิน

มีชายหนุ่มคนหนึ่งไม่รู้ว่าโผล่ขึ้นมาจากไหน คิดอยากจะท้าสู้กับเขา

ชายหนุ่มคนนั้นถูกเขาโจมตีจนบาดเจ็บสาหัส ก่อนจะหนีไป

แต่ความรู้สึกระแวดระวังภายในใจเขากลับมิได้ผ่อนคลายลง

เพราะวิชาที่ชายหนุ่มผู้นั้นใช้คือวิชามารของสำนักเสวียนอินที่ดั้งเดิมที่สุด

กลิ่นอายความโบราณอันยาวนานชัดเจนเป็นอย่างมาก

เขาจำได้อย่างชัดเจน ในตอนนั้นดวงตาของพวกตาแก่เหล่านั้นต่างเปล่งประกายขึ้นมา

เขาต้องสืบให้ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

ดังนั้นหลังจากที่รู้ร่องรอยของชายหนุ่มผู้นั้น เขาก็ออกจากเหลิ่งซานมายังอี้โจวอย่างไม่ลังเล

เพื่อที่จะเก็บเป็นความลับ ลูกน้องสักคนเขาก็มิได้พามาด้วย

ตอนนี้ดูเหมือนเบาะแสที่ว่านั้นจะเป็นของปลอม

เป็นเบาะแสที่ปู้เหล่าหลินจงใจให้เขา

เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงพิษที่กำลังไหลเวียนอยู่ในเส้นลมปราณ ค่อยๆ กัดกินร่างกาย ใกล้จะไปถึงหน่อมารแล้ว

เมื่อถึงตอนนั้นเขาก็คงตายไปแล้ว

ในเวลานี้ชายหนุ่มผู้นั้นคงจะกลับไปยังเหลิ่งซาน แล้วถูกตาแก่พวกนั้นยกให้เป็นหัวหน้า

แล้วท่านพ่อล่ะ? ในเวลานี้เขาตายไปแล้วหรือยัง? หรือว่าจะถูกเหยียดหยามแต่กลับตายไม่ได้ ใช้ชีวิตอย่างน่ารันทดเสียยิ่งกว่าตอนนี้?

หวังว่าจะเป็นอย่างหลังนะ

ซูจึเย่ครุ่นคิดเช่นนี้ ในหูได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้น จึงค่อยๆ ลืมตา

…………………………