บทที่ 304 มันเกี่ยวกับผู้หญิงของนาย
คนของหอคอยอาภรณ์ม่วงมีสีหน้าเหมือนขี้ไม่ออก หลายๆคนพลังลมปราณพลุ่งพล่านด้วยท่าทีพร้อมลงมือทุกเมื่อ
หยานหวูซวงเดินไปอุดปากฉู่ชวิ๋นทั้งดึงทั้งลากฉู่ชวิ๋นกลับมา ถ้าขืนปล่อยให้ฉู่ชวิ๋นพูดต่อไปคงไม่ง่ายที่จะไม่ตีกัน
“ทุกคน ฉันขอลามีโอกาศพวกเราคงได้พอกันใหม่” หยานหวูซวงกล่าว
หยานหวูซวงลากฉู่ชวิ๋นออกไปไกลกว่าจะยอมปล่อย
“นายลากฉันกลับมาทำไม ฉันยังถามไม่เสร็จเลย” ฉู่ชวิ๋นไม่พอใจ
“พี่หลิว อย่าถามเลย เดี๋ยวพอกลับเมืองหยานเสวี่ยฉันจะพานายไปห้าง ที่นั่นมีลิปทุกสี ถึงตอนนั้นนายอยากได้สีไหนมีหมด”
“ก็ได้ ๆ” ฉู่ชวิ๋นตอบอย่างไม่ค่อยเต็มใจ
ทั้งหมดมุ่งหน้าไปทางด้านหน้าต่อ
ระหว่างทางก็เห็นสัตว์อสูรขั้นจักรพรรดินอนตายอีกหลายตัว แต่ศพของมนุษย์นั้นมีมากกว่า
ทุกครั้งที่เจอสัตว์อสูรขั้นจักรพรรดิ ฉู่ชวิ๋นจะต้องไปแหกกบาลพวกมันออกมาดูว่ามีแกนจิตวิญญาณหรือเปล่า
“พี่หลิว ทำอะไรน่ะ” หยานหวูซวงถามอย่างอยากรู้อยากเห็น
“นายโง่ขนาดนี้ ฉันก็เลยอยากหาสมองมาบำรุงให้นายน่ะสิ” ฉู่ชวิ๋นบอกโดยไม่เงยหน้า
หยานหวูซวงหน้าเสีย เพราะที่ฉู่ชวิ๋นกำลังทุบอยู่คือหมาล่าเนื้อตัวใหญ่ เขาหันหลังออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว
หมาล่าเนื้อตัวนี้แม้จะแข็งแกร่งแต่ก็ยังไม่ถึงขั้นที่จะมีแกนจิตวิญญาณ
ทุกคนเดินทางต่ออย่างผ่อนคลาย ดูแล้วเหมือนมาเที่ยวจริง ๆ
“นายน้อย จังเฟิงหลิงอยู่กับพวกหอคอยอาภรณ์ม่วง” 1 ในจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิตระกูลหยานเอ่ย
ฉู่ชวิ๋นหันกลับไปก็เห็นจังเฟิงหลิงคุยกับหัวหน้าของหอคอยอาภรณ์ม่วงอย่างสนุกสนาน ตามพวกเขามาอย่างไม่รีบร้อน
“ท่าทางพวกเขาจะร่วมมือกัน” หยานหวูซวงพูดอย่างกังวล 2 กลุ่มนี้ไม่ธรรมดาทั้งคู่ หากร่วมมือกันเกรงว่าจะต่อกรด้วยได้ยาก
ฉู่ชวิ๋นกลับไม่ใส่ใจ “ไม่ต้องห่วง ร่วมมือกันเพราะผลประโยชน์แบบนี้ก็จะแตกหักกันด้วยผลประโยชน์นี่แหละ แถมยังพึ่งพากันไม่ได้ด้วยเพราะจะไม่มีใครยอมเสียสละ”
หยานหวูซวงพยักหน้าเพราะรู้สึกว่ามีเหตุผล
“แต่ว่าพวกเขาร่วมมือกันทำให้มีแข็งแกร่งมาก จะให้รวมกลุ่มกันง่าย ๆ ไม่ได้หรอกนะ” ฉู่ชวิ๋นเอ่ย
“พี่หลิวมีวิธีเหรอ”
ฉู่ชวิ๋นยิ้มอย่างมีเลศนัย ก่อนจะหันไปโบกไม้โบกมือทักทายจังเฟิงหลิง
อย่างสุดชีวิต ท่าทางสนิทสนมราวกับเป็นเพื่อนสนิทที่ไม่ได้เจอกันนาน
“พี่จัง ชายคนนั้นเหมือนจะเรียกนายอยู่นะ” ชายชุดม่วงบอกด้วยแววตาเป็นประกายบางอย่าง
จังเฟิงหลิงก็เห็นแล้วเช่นกัน แต่เขาไม่อยากจะสนใจฉู่ชวิ๋นเลยแม้แต่น้อย เขาจึงแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นมาตั้งนาน
แต่ตอนนี้ชายชุดม่วงโพล่งออกมา เขาจะแกล้งโง่ต่อไปก็ไม่ได้แล้ว จึงถามออกมาเสียงดัง “ไอ้บ้าน….สหายเรียกฉันเหรอ”
“พี่จัง มานี่หน่อย ฉันมีเรื่องจะบอก เรื่องสตรีตระกูลจังของนาย” ฉู่ชวิ๋นตะโกน
จังเฟิงหลิงตื่นตระหนก เรื่องสตรีตระกูลจังเหรอ นี่ถือเป็นเรื่องใหญ่เลยนะ แม้ในใจเขาจะไม่อยากเชื่อ แต่หากเกี่ยวข้องกับตระกูลจัง เขายอมเชื่อว่ามีเรื่องอะไรจริง ๆ ก่อนดีกว่า
“พี่พัน เดี๋ยวฉันมา”
ผู้นำคนชุดม่วงชื่อว่าพันเฉิงเฟิง เขาพยักหน้า แต่มีความระแวงปรากฏในแววตา
จังเฟิงหลิงเร่งฝีเท้ามาอยู่ตรงหน้าพวกฉู่ชวิ๋น
“มีเรื่องอะไร”
“พี่จัง นายไม่รู้สึกหรอว่าลิปสติกของพวกหอคอยอาภรณ์ม่วงสวยมาก”
ฉู่ชวิ๋นถามอย่างลึกลับ
จังเฟิงหลิงขมวดคิ้ว ลิปสติกบ้าบออะไร นั่นมันเกิดจากการฝึกวิชาของพวกเขาต่างหาก มีผู้ชายที่ไหนทาลิปสติก แถมสีก็ไม่ได้สวยเลยสักนิด
“สหายเรียกฉันมานี่คงไม่ได้มาถามเรื่องไร้สาระแบบนี้หรอกนะ”
ฉู่ชวิ๋นเอ่ยตอบ “ใช่น่ะสิ ลิปสติกสวยขนาดนี้นายไม่อยากถามเหรอว่าซื้อที่ไหน ถึงเวลากลับบ้านนายก็ซื้อไปฝากสตรีตระกูลของนายหน่อย รับรองว่าพวกเธอทุกคนจะต้องเจิดจรัสแน่ ๆ”
“นี่น่ะเหรอเรื่องใหญ่ของสตรีตระกูลจังทุกคนที่นายบอก” จังเฟิงหลิงกัดฟันจนฟันแทบแตก
“นี่ยังไม่ใช่เรื่องใหญ่อีกเหรอ ความรักสวยรักงามเป็นสัญชาตญาณของหญิงสาว ตอนนายกลับบ้านให้ลิปสติกพวกเธอคนละแท่ง รับรองว่าพวกเธอจะรักนายมากกว่าเดิมอีก”
ใบหน้าของจังเฟิงหลิงทมิฬอย่างกับก้นหม้อ มือกำหมัดแน่นไม่ยอมปล่อย เขารู้แต่แรกแล้วว่าไอ้บ้านนอกนี่ชอบแกล้งทำเป็นมีเรื่องใหญ่ ทำไมถึงไปเชื่อมันอีกนะ
“แก…ดี…ดีมาก…” จังเฟิงหลิงชี้ฉู่ชวิ๋นด้วยนิ้วอันสั่นเทา ก่อนจะหัวเราะหึๆ และสะบัดมือจากไป
“พี่จัง อย่าลืมที่ฉันบอกนะ” ฉู่ชวิ๋นตะโกนใส่แผ่นหลังของเขา
จังเฟิงหลิงรู้สึกไส้จะผูกเป็นปม ทำไมบนโลกนี้ถึงได้มีคนที่น่ารังเกียจขนาดนี้
พันเฉิงเฟิงมีแววตาใช้ความคิด พอเห็นจังเฟิงหลิงเดินเข้ามาใกล้จึงถาม
“พี่จัง เขาพูดอะไรกับนาย”
“ไม่มีอะไรหรอก” จังเฟิงหลิงไม่อยากเล่าเรื่องที่เขาโดนหลอก อีกอย่างจะให้เขาถามหอคอยอาภรณ์ม่วงจริง ๆ เหรอว่าลิปสติกซื้อที่ไหน ถ้าถามจริง ๆ ได้ตีกันแน่
แววตาพันเฉิงเฟิงเริ่มระแวง และหันไปเห็นฉู่ชวิ๋นยิ้มให้เขาอย่างมีเลศนัยพอดี ทันใดนั้นก็กระตุกในใจ จังเฟิงหลิงคงไม่ได้ตกลงอะไรกับคนพวกนี้ใช่ไหม
พวกเขาร่วมมือกันด้วยผลประโยชน์ ความสัมพันธ์แบบนี้ไว้วางใจอะไร
ไม่ได้ หากไม่ระวังมีหวังโดนแทงข้างหลัง ถึงตอนนั้นตายยังไม่รู้เลยด้วยว่าตัวเองตายยังไง
“พี่จัง จู่ ๆ ฉันก็นึกได้ว่ามีธุระ พวกนายไปก่อนเลยเดี๋ยวฉันตามไปทีหลัง” พันเฉิงเฟิงเอ่ย
จังเฟิงหลิงมองสีหน้าอีกฝ่ายและใจกระตุกและเข้าใจขึ้นมาทันทีพันเฉิงเฟิงไม่เชื่อใจตัวเองแล้ว เขาโดนไอ้บ้านนอกนั่นหลอกลวงอีกแล้ว!!
ในเมื่อไม่เชื่อใจ การร่วมมือก็คงไปต่อไม่ได้แล้ว อธิบายตอนนี้ไปก็มีแต่จะไร้ความหมาย ยิ่งทำให้เรื่องมันดูแย่ลงไปอีก
ไอ้บ้านนอกเดนตาย จังเฟิงหลิงแค้นสุด ๆ
“พี่พัน งั้นไว้พวกเราเจอกันที่ซากโบราณสถาน”
“เชิญ”
พันธมิตรของจังเฟิงหลิงและหอคอยอาภรณ์ม่วงโดนฉู่ชวิ๋นทำให้ล่มสลายภายในคำพูดไม่กี่คำ
เมื่อเห็นจังเฟิงหลิงแยกกับคนของหอคอยอาภรณ์ม่วง หยานหวูซวงก็มองฉู่ชวิ๋นด้วยสายตาประหลาด เขาต้องประเมินฉู่ชวิ๋นใหม่แล้ว นอกจากจะปากไม่ดีแล้วยังร้ายลึกอีกด้วย
“ไม่ต้องมองฉันแบบนี้ ถ้าฉันจะหลอกนาย ด้วยสติปัญญาน้อยนิดของนาย โดนฉันเอาไปขายแล้วคงยังมาช่วยฉันนับเงินอยู่เลย” ฉู่ชวิ๋นเหล่มอง
“….” กระบี่ในมือหยานหวูซวงเริ่มส่งเสียงร้อง เขาอยากจะชักกระบี่ออกมาฟันไอ้คนทุเรศนี่ให้ตาย ๆ ไปเสียจริง
เขาเป็นถึงนายน้อยตระกูลหยาน บุตรแห่งสวรรค์ โดนฉู่ชวิ๋นพูดดูหมิ่นไม่รู้กี่รอบแล้วตลอดทาง
แต่ฉู่ชวิ๋นพูดออกมาแบบนี้แสดงว่าเขาไม่คิดจะทำร้ายตัวเองและฉู่ชวิ๋นก็พูดถูก ถ้าฉู่ชวิ๋นจะล่อลวงเขามีโอกาสตั้งมากมาย
เมื่อจังเฟิงหลิงเดินผ่านมาฉู่ชวิ๋นก็ตะโกนสุดเสียง “คุณชายจัง นายได้ถามให้ฉันหรือเปล่าว่าลิปสติกของพวกเขาซื้อที่ไหน”
อวัยวะภายในของจังเฟิงหลิงสั่นไปหมด โกรธจนอยากจะพุ่งไปแทงฉู่ชวิ๋นให้ตัวเป็นรูเลือดโชกซะ 8 รู 10 รู
“สหาย นายรู้ไหมว่าคนแบบไหนน่ารังเกียจที่สุด” จังเฟิงหลิงถามด้วยหน้าดำคร่ำเครียด
“ฉันรู้สิ” ฉู่ชวิ๋นหัวเราะร่วน “ก็คนแบบนายนี่ไง ฉันขอให้นายช่วยถามว่าซื้อลิปสติกที่ไหน ตอนนายกลับไปจะได้ซื้อไปฝากแม่นาย พี่สาว น้องสาวรวมถึงพวกนางบำเรอทั้งหลายด้วย แต่นายไม่ได้ถาม แสดงว่านายไม่ได้รักพวกเธอ นี่น่ะเรียกว่าไม่กตัญญูและไม่ซื่อสัตย์รู้ไหม เพราะฉะนั้นคนแบบนายนี่แหละน่ารังเกียจที่สุด”
จังเฟิงหลิงมุมปากกระตุก ถ้าไม่ใช่เพราะพวกหยานหวูซวงแข็งแกร่งเกินไป ให้ตายยังไงเขาก็ต้องฆ่าไอ้บ้านนอกปากร้ายนี่ให้ได้
“พี่หยาน คบเพื่อนต้องเบิกตาให้กว้างนะ คนบางคนปากร้ายเกินไปจะเป็นโทษแก่พี่เอาได้” จังเฟิงหลิงกล่าว
ฉู่ชวิ๋นเอ่ย “ใช่แล้วน้องหยาน คบเพื่อนต้องเบิกตาให้กว้าง แบบคุณชายจังน่ะต้องคบให้ดีๆ ไม่อย่างนั้นดอกบัวจิตวิญญาณ บ้านนายคงไม่โดนขโมยไปแบบนี้”
“ฉัน @¥%……” จังเฟิงหลิงโกรธจนตัวสั่น ก่นด่าในใจสารพัด
เขาตัดสินใจว่าต้องไปจากที่นี่ ไม่งั้นได้โกรธจนปอดระเบิดแน่ เขาหัวเราะหึ ๆ ก่อนจะพาคนอื่นเดินก้าวยาว ๆ ออกไปโดยไม่ทักไม่ทาย
“ไม่มีมารยาทจริง ๆ” ฉู่ชวิ๋นพึมพำ
หยานหวูซวงอดหัวเราะไม่ได้ จังเฟิงหลิงเจอไอ้ตัวร้ายอย่างฉู่ชวิ๋นนี่นับว่าโชคร้ายจริงๆ เขาจำได้ว่าเมื่อคืนจังเฟิงหลิงโกรธจนกัดฟันตัวเองแตกเลยด้วย
“พี่หลิว ซากโบราณสถานใกล้จะปรากฏแล้ว” หยานหวูซวงมองฟ้าและบอก
“งั้นเราก็รีบไปกันเถอะ”
ทั้งหมดเร่งฝีเท้าขึ้น
ครั้งนี้ไม่มีเรื่องอื่นรบกวนระหว่างทาง ทุกอย่างโดนกลุ่มผู้แข็งแกร่งด้านหน้ากวาดเรียบ ฉะนั้นพวกเขาจึงเดินทางกันเร็วมาก
ความลึกของหุบเขาเกินกว่าที่ฉู่ชวิ๋นจินตนาการไว้มาก จากเหนือจรดใต้สามารถเดินทางผ่านเทือกเขาคุนหลุนไปได้ ไม่นับว่าเกินเลยไปจริง ๆ
ประมาณ 1 ชั่วโมงให้หลังพวกเขาก็ปักหลัก เพราะด้านหน้ามีกลุ่มผู้แข็งแกร่งอยู่หลายฝ่ายมาก บางกลุ่มค่อนข้างทุลักทุเล บางกลุ่มก็มีคนบาดเจ็บอยู่ไม่น้อย
เทียบกับทางเข้าหุบเขาแล้วที่นี่กว้างขวางกว่ามาก ที่พื้นยังคงมีหินประหลาดงอกเงย แถมยังมีเสาน้ำแข็งยักษ์ใหญ่ปรากฏ ต้นไม้โบราณสูงเสียดฟ้า ดูแล้วราวกับทะเลสาบน้ำแข็ง เพราะใต้เท้าพวกเขาได้ยินเสียงน้ำไหลรากอยู่ด้วย
เมื่อเห็นพวกหยานหวูซวงปรากฏตัวมีคนไม่น้อยแสดงท่าทีโมโห พวกเขาตามหยานหวูซวงกันมาทั้งนั้น ผลสุดท้ายต้องมากลายเป็นหน่วยกล้าตายเปิดทางให้กับหยานหวูซวง
“ดูตรงนั้นสิ” หนึ่งในจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิตระกูลหยานเอ่ย
พวกฉู่ชวิ๋นมองตามสายตาเขาไปแล้วทุกคนพากันขมวดคิ้ว ด้านหลังหินยักษ์ก้อนหนึ่งมีเงาสัตว์มากมาย สัตว์อสูรขั้นจักรพรรดิจำนวนไม่น้อยต่างวนเวียนไปมา
“ท่าทางซากโบราณสถานแห่งนี้จะมีอะไรไม่ชอบมาพากลจริงด้วย” ฉู่ชวิ๋นแอบคิดในใจ ปกติแล้วเผ่าพันธุ์สัตว์ร้ายไม่คิดช่วงชิงโอกาสวาสนากับมนุษย์ แต่ครั้งนี้กลับมีสัตว์อสูรขั้นจักรพรรดิตั้งมากมายขนาดนี้
“ซากโบราณสถานอยู่ที่ไหน” ฉู่ชวิ๋นถาม
หยานหวูซวงชี้ไปที่หินผารูปพัดกลางลานก้อนหนึ่ง สูง 10 กว่าเมตรราวกับที่กั้นจากฟ้า
“ทุกครั้งที่ซากโบราณสถานปรากฏ เขตปักษาจะขยายออกจากจุดนั้น สุดท้ายจะปลกคลุมไปหลายพันเมตร”
“ฉันไปดูหน่อยนะ” ฉู่ชวิ๋นอยากจะเดินไปสำรวจใกล้ๆ
“พี่หลิว ไม่ต้องไปหรอก ฉันเคยไปตรวจดูแล้ว ที่นั่นมีเพียงหินประหลาด ไม่ต่างอะไรกับหินผาธรรมดา ไม่มีตรงไหนโดดเด่น” หยานหวูซวงบอก
ฉู่ชวิ๋นเหล่มองเขา “สติปัญญาระดับนายเป็นธรรมดาที่จะดูไม่ออก นายพาพวกเขาไปที่ปลอดภัย เดี๋ยวฉันมา”
“…..” หยานหวูซวงมุมปากกระตุก อยากจะชักกระบี่ออกมาฟันไอ้้บ้านี้จริงๆ
ฉู่ชวิ๋นมาถึงหน้าหินผา พอเดินไปใกล้แล้วหินนี้แล้วยิ่งมันดูใหญ่ขึ้นไปอีก เขาวนรอบหินผายักษ์พลางเคาะไปทั่วหิน
กลุ่มอื่น ๆ พากันหัวเราะอย่่างเย็นชา พวกเขาเองก็ตรวจดูแล้ว ไม่เจออะไรทั้งนั้น
“แคร่ก”
มีเสียง ๆ หนึ่งดังขึ้น
ฉู่ชวิ๋นหันกลับไปก็เห็นพยักฆ์ร้ายหลากสีตัวหนึ่ง ตัวอย่างใหญ่กับภูเขา ปากกว้างเขี้ยวคม เสียง ๆ นั้นเกิดจากที่เขาเหยียบหินแตกไปก้อนหนึ่ง
มันกำลังจ้องฉู่ชวิ๋นเขม็งด้วยดวงตาแดงก่ำและกลมโตเท่าลูกระฆัง
“มองอะไร ขืนมองอีกฉันจะตัดอัณฑะ* แกไปขายให้จังเฟิงหลิงที่ไร้น้ำยาซะ” ฉู่ชวิ๋นท้าทาย (คนจีนมีความเชื่อว่า อัณฑะเสือหรือสิงโต เอาไปดองเป็นยาช่วยบํารุงสมรรถภาพเพศได้)
ที่นี่กว้างใหญ่ไพศาล แค่พูดธรรมดาก็สามารถสะท้อนเสียงออกไปได้ไกล
กลุ่มอื่น ๆ รอบข้างล้วนได้ยินคำพูดอันหาญกล้าของฉู่ชวิ๋น แต่ละคนพูดไม่ออก นี่มันไอ้โง่ที่ไหน ลมปราณที่กระจายออกมาจากตัวพยัคฆ์ร้ายตัวนั้นไม่ด้อยไปกว่าจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 7 เลยนะ พวกเขายังต้องเกรงกลัวมัน แต่ไอ้บ้านี้กลับขู่ว่าจะตัดอัณฑะเสือไปทำยาดองขายซะงั้น
แถมยังจะขายให้จังเฟิงหลิงอีก หาเรื่องสัตว์อสูรขั้นจักรพรรดิ 1 ตัวที่เทียบเท่ากับจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 7 แถมยังไปหาเรื่องผู้แข็งแกร่งอย่างจังเฟิงหลิงพร้อมกัน จะรนหาที่ตายก็ไม่ต้องทำถึงขนาดนี้หรอกมั่ง