ในขณะที่เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกตื่นตระหนก คนคนนั้นมาหยุดอยู่ตรงหน้านาง และเตะเข้าที่ตัวเฟิ่งชิงเฉิน เขาทำกับนางราวกับว่านางเป็นลูกสุนัขข้างทาง
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็พูดอย่างเหยียดหยามว่า “เฟิ่งชิงเฉิน”
มีความรู้สึกดูหมิ่นและเย่อหยิ่งปรากฏขึ้นมา
เฟิ่งชิงเฉินเงยหน้าขึ้นและเห็นชายผู้สูงศักดิ์สง่างามสวมชุดสีม่วงยืนอยู่ข้างหน้าตน ในแววตาของชายคนนี้มีความโกรธเคืองอย่างมาก
นางแขนขาแข็งเล็กน้อย และคิดกระไรไม่ออก นางสับสนเล็กน้อย จนเวลาผ่านไปอยู่นานจึงทำท่าทีตะลึงและกล่าวว่า “ลั่วอ๋อง”
ที่แท้แล้วชายหนุ่มผู้หยิ่งผยองที่ดูดีและสง่านั้น คือคู่หมั้นของเจ้าของร่างเดิมนี้นั่นเอง มีเขาคือองค์ชายเจ็ดแห่งราชวงศ์ตงหลิง มีนามว่าตงหลิงจื่อลั่ว
ในความทรงจำของเฟิ่งชิงเฉิน ส่วนที่เกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาของตงหลิงจื่อลั่วนั้นมีน้อยนัก แต่จะมีความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องความชอบของตงหลิงจื่อลั่วมากกว่า เฟิ่งชิงเฉินจึงมองดูเขาอย่างละเอียด
เขามีผิวขาวดั่งหยก ตัวเรียวสูง คิ้วงามดั่งภาพวาด แววตาเหมือนดั่งดวงดาว หากว่าแยกแล้วมองแต่ละส่วน ก็มิได้งดงามเท่าไหร่นัก แต่เมื่อทุกส่วนมารวมกัน รูปลักษณ์ของเขากลับหล่อเหลาเสียจนมิอาจละสายตาไปได้
อีกทั้งกลิ่นอายของผู้ดีที่เผยออกมาจากข้างในของเขา ทำให้เขาดูสูงส่งและน่าเกรงขามยิ่งขึ้นกว่าเดิม ยากที่จะละเลยเขาไป
หากว่ามองข้ามความเย่อหยิ่งของตงหลิงจื่อลั่วไปล่ะก็ เขานับว่าเป็นชายที่หล่อเหลาที่สุดก็ว่าได้ เพราะเขามีคุณสมบัติต่างๆที่สามารถดึงดูดสาวไร้เดียงสาอยู่ครบถ้วน
“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าเป็นกระไรไป? ลืมข้าไปแล้วหรือ?” ตงหลิงจื่อลั่วขมวดคิ้ว เขาเกลียดแววตาที่เฟิ่งชิงเฉินมองไปที่เขาอย่างมาก เขารู้สึกเหมือนว่าเขาถูกมองเป็นวัตถุและถูกวิพากษ์วิจารณ์
แต่เฟิ่งชิงเฉินนี่กล้าดีมาจากไหน แต่ก่อนทุกครั้งที่นางพบตนก็มักจะก้มหัวตลอดมิใช่หรือ?
เกิดในครอบครัวทหารแท้ๆ แต่กลับทำตัวลับๆล่อๆเหมือนหนูที่ทุกครั้ง คอยแอบมองตัวเองอยู่ลับๆ เมื่อถูกพบแล้ว นางก็จะหน้าแดง แล้วก้มหน้าบิดผ้าเช็ดหน้า พอเริ่มพูดมากนางก็จะร้องไห้ออกมา
ไม่ใช่ว่าตงหลิงจื่อลั่วจำนางได้ แต่ว่าเฟิ่งชิงเฉินในเมื่อก่อนมักจะเป็นแบบนี้ทุกครั้งที่เจอกับตงหลิงจื่อลั่ว
ซึ่งทำให้ตงหลิงจื่อลั่วเกลียดเฟิ่งชิงเฉินจากใจจริงๆ
เฟิ่งชิงเฉินมองดูตงหลิงจื่อลั่วที่ดูสูงส่ง จากนั้นนางก็ยืนขึ้น
การคุกเข่าต่อหน้าชายคนนี้แล้วคุยกับเขา มันไม่ใช่สิ่งที่เฟิ่งชิงเฉินคนนี้จะทำจริงๆ
แขนขาของนางแข็งทื่อจนดูไม่เหมือนแขนของตัวเอง แต่เฟิ่งชิงเฉินก็พยายามอดทน และมองไปที่ตงหลิงจื่อลั่ว นางยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า “ไม่รู้จักจริงๆ เหตุใดข้าจึงต้องรู้จักชายเยี่ยงเจ้า?”
ตงหลิงจื่อลั่ว การที่เฟิ่งชิงเฉินเสียชีวิต แม้ว่าไม่ใช่ฝีมือของเจ้า แต่ก็คงเกี่ยวข้องกับเจ้าอย่างแน่ และเรื่องในวันนี้ เจ้าจะแสดงเป็นตัวละครไหนล่ะ?
“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” สีหน้าของตงหลิงจื่อลั่วเปลี่ยนไป
แขนขาของนางแข็งทื่อจนดูไม่เหมือนแขนของตัวเอง แต่เฟิ่งชิงเฉินก็พยายามอดทน และมองไปที่ตงหลิงจื่อลั่ว นางยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า “ไม่รู้จักจริงๆ เหตุใดข้าจึงต้องรู้จักชายเยี่ยงเจ้า?”
เขาไม่ได้สนใจว่าเฟิ่งชิงเฉินยืนขึ้นเมื่อไหร่ เพราะแววตาของเฟิ่งชิงเฉิน สายตาคู่นั้นที่ดูเศร้าโศกและเย็นชาทำให้ตงหลิงจื่อลั่วรู้สึกอึดอัด เขารู้สึกราวกับว่าตนนั้นเป็นคนที่แย่ที่สุดในโลกนี้
“หมายความว่าอย่างไรงั้นรึ?”
เฟิ่งชิงเฉินยิ้มอย่างขมขื่น ฝีเท้าของนางยืนไม่มั่นคง นางเดินถอยหลังไปสองสามก้าวจึงสามารถยืนนิ่งได้ และนางกล่าวว่า
“ข้าจะหมายความว่าอย่างไรกันเล่า? ท่านลั่วอ๋องเพคะ การที่เฟิ่งชิงเฉินมีวันนี้ได้ก็เพราะฝีมือของลั่วอ๋องมิใช่หรือ?”
เฟิ่งชิงเฉินดึงผ้าสีแดงที่คลุมร่างตนออก เผยให้เห็นแผลบนร่างกาย เป็นการเตือนตงหลิงจื่อลั่วว่า ตอนนี้นางนั้นอับอายและอยู่ในสภาพที่แย่อย่างมาก
วันนี้เดิมเป็นวันแต่งงานที่มีความสุขที่สุดสำหรับผู้หญิง แต่สุดท้ายเรื่องกลับกลายเป็นเช่นนี้ การแตกต่างอย่างชิ้นเชิงเช่นนี้ ใครจะรับได้?
ตงหลิงจื่อลั่วมองไปที่เฟิ่งชิงเฉิน รูม่านตาของเขาขยายทันที ผู้หญิงคนนี้น่าสมเพชราวกับดินที่ติดอยู่ใต้ฝ่าเท้า แต่เหตุใดเขาจึงไม่เห็นภาพนี้แต่แรก?
สิ่งแรกที่เขาเห็นกลับเป็นแสงสว่างที่ไม่ยอมแพ้ในดวงตาของผู้หญิงคนนี้
ตงหลิงจื่อลั่วถอนหายใจและระงับความสงสัยที่เกิดขึ้นในใจของตน เขามองดูเฟิ่งชิงเฉิน……..
ผิวของนางเปิดเผยออกมาเกือบทั้งหมด มีรอยช้ำสีเขียวสีม่วงเต็มร่างกาย
ผ้าไหมสีน้ำเงินที่เปื้อนเลือดกระจัดกระจายอยู่ข้างหลังนาง ซึ่งภาพของนางในตอนนี้ดูน่าสงสารยิ่งกว่านางในตำหนักเย็น
ในโลกนี้คงไม่มีหญิงใดที่น่าสงสารไปมากกว่านางแล้ว
แต่เหตุใดเขาจึงไม่รู้สึกว่าเฟิ่งชิงเฉินสกปรก ต่ำตมและน่าสมเพช แต่กลับรู้สึกว่าเฟิ่งชิงเฉินสูงส่งและสง่าจนมิอาจมีใครเทียบได้ล่ะ?
เขารู้สึกราวกับว่าตอนนี้นางมิได้สวมผ้าที่ปกปิดร่างกายมิได้ แต่กลับสวมเสื้อผ้าขุนนางที่สูงส่งและเป็นระเบียบ
ความเย่อหยิ่งบนตัวนาง ทำให้คนอื่นรู้สึกละอายใจยิ่งนัก โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้น ใสสะอาดราวกับกระจกที่สามารถมองเห็นก้นบึ้งของหัวใจของคนเราได้….
“เจ้าคือเฟิ่งชิงเฉินจริงหรือ?” ตงหลิงจื่อลั่วพูดออกมาอย่างห้ามไม่ได้ เมื่อกล่าวจบเขาจึงได้สติว่าตนพูดกระไรออกไป
“ทำไมรึ? ลั่วอ๋อง ข้าจำได้ว่าวันนี้เป็นวันแต่งงานของเรา เจ้าลืมหน้าของว่าที่ภรรยาของเจ้าแล้วหรือ?”
ไม่ว่าตอนนี้นางจะน่าสมเพชเพียงใด แต่อย่างน้อย ณ เวลานี้ สัญญาการแต่งงานของพวกเขายังอยู่
เพียงแต่ว่าเสียงของเฟิ่งชิงเฉินต่างไปจากเสียงที่ทรงพลังของหญิงในเมืองหลวงแล้ว คำพูดประโยคนี้ของนางไม่มีความรุนแรงเลยสักนิด
เสียงของชิงเฉินอ่อนโยนเหมือนหญิงสาวทั่วไป
แม้ว่าคำพูดของนางจะไม่หวานชื่นและนุ่มนวล แต่เมื่อพูดประโยคนี้ออกมา กลับมีความอ้อนอยู่เล็กน้อย
คำพูดเหล่านี้ทำให้ตงหลิงจื่อลั่วได้สติคืนมา เขากล่าวด้วยท่าทีดูถูกว่า “เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าอย่าคิดมาไปเอง เจ้าเป็นใครจึงคิดว่าตนสามารถแต่งงานกับข้าได้ แม้ว่าเสด็จพ่อจะไม่ลงโทษเจ้าเพราะเห็นแก่แม่ทัพที่เสียชีวิตไปแล้ว แต่ท่านได้ยกเลิกสัญญาแต่งงานของเราไปแล้ว เจ้าไม่เหมาะสมที่จะเป็นสะใภ้หลวง”
“จริงรึ? ถ้าอย่างนั้นชิงเฉินของแสดงความยินดีที่ท่านอ๋องได้เป็นดั่งใจหวัง” เฟิ่งชิงเฉินยิ้มเยาะเย้ย
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
“หมายความตามที่ข้ากล่าว ท่านอ๋องพยายามทำเรื่องต่างๆก็เพราะไม่อยากแต่งงานกับข้ามิใช่หรือ? แม้ว่าตอนนี้ท่านอ๋องอยากจะแต่งงานกับข้า ก็คงทำไม่ได้แล้ว สัญญาการแต่งงานของเรายกเลิก มิใช่เพราะท่านอ๋อง แต่เพราะข้าเองที่ไม่เหมาะสมกับเจ้ามิใช่หรือ?” เฟิ่งชิงเฉินพูดออกมาง่ายๆ แต่อันที่จริงในใจนางแค้นอย่างมาก
เรื่องดีๆตระกูลตงหลิงรับไปเสียหมด แต่เรื่องแย่ๆกลับให้เฟิ่งชิงเฉินแบกรับอยู่คนเดียว
ใบหน้าของตงหลิงจื่อลั่วแย่ลง เขาก้าวเข้าไปข้างหน้า และบีบคางเฟิ่งชิงเฉินไว้แน่น พร้อมกล่าวอย่างเข้มงวดว่า
“เฟิ่งชิงเฉิน เรื่องบางอย่างพูดได้ แต่เรื่องบางอย่างพูดออกมามิได้ จงจำไว้ว่าเหตุผลที่ข้าไม่แต่งงานกับเจ้า เป็นเพราะเจ้าไม่รักนวลสงวนตัว ไม่เหมาะสมที่จะเป็นภรรยาของใครก็ตาม”
คางของนางถูกเขาบีบจนเจ็บปวดอย่างมาก แต่เฟิ่งชิงเฉินไม่สนใจ ยังคงหัวเราะ เพียงแต่ว่าเสียงหัวเราะของนางน่าเกลียดยิ่งกว่าเสียงร้องไห้
“ลั่วอ๋อง เจ้าหมายความว่า ข้าเฟิ่งชิงเฉินเสียหายเช่นนี้ และข้าต้องยอมรับเองว่าตนนั้นเฮงซวยหรือ?”
นางไม่มีแม้แต่สิทธิ์ในการค้นหาความจริง
“เฟิ่งชิงเฉิน ข้าจะพูดอีกครั้งว่า ทั้งหมดนี้เกิดจากการกระทำที่ไม่เหมาะสมของเจ้าเอง และอย่าวุ่นวายและสงสัยมากเกินไป” ตงหลิงจื่อลั่วกล่าวอีกครั้ง แววตาของเขาเผยเจตนาฆ่าออกมา
ตามหลักแล้ว มาถึงจุดนี้แล้ว เฟิ่งชิงเฉินสมควรที่จะตาย แต่ว่าผู้หญิงคนนี้ดันไม่ตาย
หากว่านางฆ่าตัวตาย ทุกอย่างก็จบลงมิใช่หรือ?
“มันเกิดจากพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของข้า ช่างเป็นเหตุผลที่ดีเสียจริง!” น้ำตาไหลออกมาจากตาของนาง
นางไม่อยากร้องไห้ แต่น้ำตาไม่หยุดไหล
เฟิ่งชิงเฉินสะอื้นเบาๆ และหลังจากที่น้ำตาหยุดไหลแล้ว นางเงยหน้าขึ้นมองที่ตงหลิงจื่อลั่ว และกล่าวด้วยความสะอื้นว่า
“ลั่วอ๋อง ข้าจะถามเจ้าเพียงเรื่องเดียว ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเฟิ่งชิงเฉินในวันนี้ เจ้ามีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่? หรือว่าเจ้าทราบเรื่องนี้หรือไม่?”
ดวงตาที่ถูกล้างด้วยน้ำตาสว่างขึ้นกว่าเดิม ในระยะใกล้เช่นนี้ ใบหน้าที่สวยงามของเฟิ่งชิงเฉินปรากฏอยู่ตรงหน้าของตงหลิงจื่อลั่ว
เมื่อถูกเฟิ่งชิงเฉินมองเช่นนี้ ตงหลิงจื่อลั่วรู้สึกว่าหัวใจของเขาเต้นเร็วขึ้น เขาหงุดหงิดขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ได้ เขาละสายตาออกไปด้วยความโกรธเคืองและกล่าวว่า
“หากมันเกี่ยวข้องกับข้าแล้วทำไม? ข้าทราบเรื่องนี้แล้วอย่างไร? เฟิ่งชิงเฉิน เรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว เจ้ายอมรับเสีย!”
ตงหลิงจื่อลั่วสะบัดเฟิ่งชิงเฉินออกอย่างรุนแรง เขาไม่กล้ามองเฟิ่งชิงเฉิน เมื่อมองดวงตาของเฟิ่งชิงเฉินแล้ว เขารู้สึกว่าตนนั้นเป็นคนที่เลวร้ายอย่างมาก
เสียงดังตุ้ม….เฟิ่งชิงเฉินล้มลงกับพื้นอย่างแรง มีเลือดไหลออกที่ศีรษะของนาง นางนอนนิ่งไม่ขยับ ราวกับคนที่ตายไปแล้ว………………….
บทที่ 005 ถูกหยามเกียรติ ทรยศนายเพื่อลาภยศ
บทที่ 007 ข่มขู่ ฮองเฮาลืมบุญคุณ