บทที่ 109 ไม่สามารถร้องขอความเมตตาได้

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

ฉีเฟยอวิ๋นขึ้นไปบนรถม้าและเตรียมจะจากไป เป็นเพราะอาอวี่ได้รับบาดเจ็บจึงต้องเปลี่ยนคนขับรถม้า คนผู้นี้ไม่กล้าเหมือนอาอวี่ อย่าว่าแต่หันกลับมาถามเลย แม้แต่จะมองก็ไม่กล้า

“ไป” ฉีเฟยอวิ๋นสั่ง

คนขับรถม้าไม่ขานรับ

หนานกงเย่รู้สึกโกรธจนอยากจะลากฉีเฟยอวิ๋นลงจากรถเพื่อไปตี

หนานกงเย่มองไปที่จวนอ๋องกั่วจวิ้นและออกคำสั่ง:“ทังเหอ”

“พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง”

“นำกองกำลังทหารมาเฝ้าจวนอ๋องกั่วจวิ้นไว้ และห้ามมิให้ผู้ใดเข้าออกเป็นอันขาด หากผู้ใดฝ่าฝืนคำสั่งฆ่าไม่ละเว้น ส่งคนไปที่จวนอ๋องกั่วจวิ้น เพื่อคุ้มกันนางสนมของอ๋องกั่วจวิ้น รอให้ข้ากลับจากในวังแล้วค่อยลงโทษ”

“พ่ะย่ะค่ะ”

ทังเหอรับคำสั่ง พระชายาอ๋องกั่วจวิ้นนำนางสนมคนอื่น ๆ ในจวนอ๋องกั่วจวิ้นคุกเข่าลง:“ น้อมส่งเสด็จท่านอ๋องเย่และพระชายาเย่เพคะ”

ฉีเฟยอวิ๋นเปิดม่านบนรถม้าไปดูด้วยความประหลาดใจ หนานกงเย่ก้าวขึ้นมาบนรถม้าแล้ว และก้มตัวลงเข้ามาในรถม้า

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกผิดที่ลากเขาลงไปในน้ำ

หนานกงเย่เข้ามาและกล่าวว่า:“ข้าเพียงต้องการจะดูว่าเจ้าจะพลิกสถานการณ์ได้อย่างไร และให้ข้าได้เปิดหูเปิดตา”

หนานกงเย่นั่งลงและยังไม่ทันได้แสดงความโกรธให้ฉีเฟยอวิ๋นเห็น นางก็ลุกขึ้นและเดินเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนของเขา

ผู้ชายชอบให้ออดอ้อน และนางก็คิดว่าผู้ชายคนนี้ชอบให้ออดอ้อนมาก

หนานกงเย่สวมเสื้อสีขาวพระจันทร์ และคลุมด้วยผ้าผ้าฝ้ายอีกชั้น ทำให้เขาดูสง่างามและสุภาพยิ่งขึ้น

ชุดที่หนานกงเย่สวมในวันนี้ ฉีเฟยอวิ๋นเป็นคนจัดเตรียมให้เข้า เพื่อให้เข้ากันกับนาง

ฉีเฟยอวิ๋นยกมือของเขาขึ้นมากอดนางไว้ และทั้งสองก็กอดกัน

“ขอบพระทัยเพคะ”

“อย่ารีบดีใจมากเกินไป ข้ายังไม่ได้ตอบตกลงใด ๆ เพียงแค่จะไปส่งให้เจ้าไปทำในสิ่งที่เหมาะสม” หนานกงเย่กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์

ฉีเฟยอวิ๋นรู้ว่าเขาเป็นคนปากร้ายแต่ใจดี ดังนั้นนางจึงไม่ใส่ใจกับสิ่งที่เขาพูด

รถม้าโยกไปโยกมา ทั้งสองคนมองหน้ากันและไม่พูดไม่จา ฉีเฟยอวิ๋นจึงถอนหายใจ:“ไม่รู้ว่าเสด็จจะทรงเมตตาหรือไม่”

“ไม่”

หนานกงเย่แทบจะไม่ต้องคิดเลย ทันใดนั้นฉีเฟยอวิ๋นก็ลุกขึ้น และเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าอันสง่างามของหนานกงเย่

“ท่านรู้ได้อย่างไร ?”

“อ๋องกั่วจวิ้นเป็นราชนิกุล มิอาจตายด้วยน้ำมือของภรรยาได้ ขอร้องไปก็ไม่มีประโยชน์ กฎหมายบ้านเมืองกล่าวว่าอย่างไรก็อย่างนั้น ?หากไม่มีการแบ่งแยกถูกผิดอย่างชัดเจน จะมีโอรสสวรรค์ได้อย่างไร ?” หนานกงเย่ตบหน้าฉีเฟยอวิ๋นเบา ๆ และทำหน้าตาเฉย

ฉีเฟยอวิ๋นนั่งลง:“ท่านแน่ใจหรือว่านั้นเป็นการแบ่งแยกถูกผิด ไม่ใช่ว่าเลือดเย็นเกินไปหรือ ?”

“เหอะ……” หนานกงเย่หุบยิ้มอย่างรวดเร็ว:“เดิมทีตระกูลสวรรค์นั้นไร้ความปรานี”

ฉีเฟยอวิ๋นไม่พูดเอะอะแล้ว หนานกงเย่พูดถูก เดิมทีตระกูลสวรรค์นั้นไร้ความปรานี แล้วบรรดาภรรยาของจวนอ๋องกั่วจวิ้นจะทำเช่นไร ?

ภายในรถม้าเงียบสงบลง ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกเศร้าใจและไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร

“ท่านอ๋อง หม่อมฉันอยากกลับไปที่จวนท่านแม่ทัพเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นกล่าว หนานกงเย่ลืมตาและมองไปที่นาง:“แม่ทัพฉีก็ไม่สามารถตัดสินใจเรื่องนี้ได้เช่นกัน”

“……” ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกเย็นชาในใจ

เมื่อรถม้ามาถึงพระราชวัง ฉีเฟยอวิ๋นก็เหลือบมองหนานกงเย่ จากนั้นก็เดินตามลงไปจากรถม้า

เมื่อลงจากรถม้าแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกเศร้าใจ นางไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร

หนานกงเย่จัดระเบียบตัวเอง และนำป้ายออกมาให้องครักษ์ที่รักษาประตูวังดู หลังจากที่เข้าไปในวังแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็เริ่มรู้สึกเสียเปล่า มันเป็นความผิดพลาดหรือไม่

เมื่อนึกถึงพระพันปี หากพระองค์ทรงไม่พอพระทัย คงจบไม่สวยแน่?

ไม่นานทั้งสองก็มาถึงหน้าตำหนักเฉาเฟิ่ง หนานกงเย่ถามว่า:“ข้าถามเจ้าหน่อย หากเจ้าลองคิดดี ๆ ในตอนนี้เรื่องนี้ถูกเปิดเผยออกมาแล้ว เช่นนั้นการฆ่าคนก็เป็นแค่การตัดหัว”

“มันร้ายแรงเช่นนั้นเลยหรือเพคะ ?” ฉีเฟยอวิ๋นระแวง เพียงแค่ร้องขอความเมตตา ส่วนเรื่องเสียหัว ถึงอย่างไรนางก็เป็นพระชายาเย่และเป็นบุตรสาวของแม่ทัพใหญ่ ถึงแม้จะบุ่มบ่ามก็คงจะแค่ถูกตำหนิติเตียน

“ข้าเตือนเจ้าแล้วนะ หากเจ้าไม่เชื่อ ข้าก็ไม่สามารถทำอะไรได้” หนานกงเย่ดูเหมือนไม่สนใจว่าฉีเฟยอวิ๋นจะเป็นหรือตาย

“ท่านอ๋อง ท่านหมายความอย่างไรเพคะ ?” ฉีเฟยอวิ๋นไม่ใช่คนโง่เขลา เพียงแค่ขอความเมตตาเท่านั้น จะสำเร็จหรือไม่ก็คงไม่ถึงกับต้องถูกตัดหัว

“แล้วพี่สาวของอ๋องกั่วจวิ้นเป็นใคร เจ้ารู้หรือไม่ ?”

ฉีเฟยอวิ๋นส่ายหัว:“ไม่ทราบเพคะ”

เธอไม่เจอมันในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม และดูเหมือนว่าจะไม่รู้

“ฮูหยินเก้ามิ่งของเสด็จลุง” หนานกงเย่พูดอย่างราบเรียบ

ฉีเฟยอวิ๋นตกใจมากจนใจสั่น และพูดติดอ่าง:“ท่านมีท่านลุงกี่คนกันแน่ ?”

“แน่นอนว่ามีมากมาย แต่นี่เป็นท่านลุงใหญ่”

“เช่นนั้นก็เท่ากับว่าหม่อมฉันกำลังจะตบพระพักตร์ของเสด็จแม่ ?”

“เจ้าก็รู้ด้วยหรือ ?”

หนานกงเย่เหลือบมองนางอย่างภาคภูมิใจ:“ข้ารู้สึกตื่นตระหนก เจ้ากลัวหรือไม่ ?”

ฉีเฟยอวิ๋นเขินอายและเหลือบมองหนานกงเย่อย่างไม่สบอารมณ์:“หม่อมฉันไม่ได้โง่ จะไม่กลัวได้อย่างไรเพคะ ?”

“ท่านอ๋องเย่และพระชายาเย่เสด็จมาแล้ว พระพันปีทรงกำลังตรัสถึงอยู่เลยพ่ะย่ะค่ะ” ไห่กงกงยิ้มออกมา ช่วงนี้ขาและเท้าของเขาดีขึ้นแล้ว และอารมณ์ก็ดีด้วย ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความดีความชอบขอพระชาเย่ เมื่อเห็นฉีเฟยอวิ๋น ไห่กงกงก็ดีใจ

หนานกงเย่กล่าวว่า:“พระชายาเย่มีเรื่องมาขอเข้าเฝ้าเสด็จแม่เฝ้า ไห่กงกงช่วยไปกราบทูลด้วย”

ฉีเฟยอวิ๋นเบิกตากว้างและมองไปที่เขา ยังโหดเหี้ยมได้อีกหรือไม่ ?

นางยังคิดไม่ออกเลยว่าจะเข้าไปดีหรือไม่ เขาก็แจ้งไปแล้ว!

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ไก่กงกงก็ยินดี จะต้องมีเครื่องประทินโฉมแบบใหม่แน่ ๆ จึงรีบกลับไปกราบทูล

ในเวลานี้ฉีเฟยอวิ๋นเริ่มปล่อยให้เวลาผ่านไป:“อีกเดี๋ยวเข้าเฝ้าเสด็จแม่ ท่านอย่าพูดไร้สาระนะ บอกแค่ว่าเรามาคารวะ”

หนานกงเย่ขบขัน:“ข้าทำไม่ได้”

“……หนานกงเย่……”

“พระพันเรียกให้เข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” ยังไม่ทันได้พูดให้จบ ไห่กงกงก็มาแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นจึงทำได้เพียงตามเข้าไป

เมื่อเห็นพระพันปี ฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกกระสับกระส่าย หลังจากที่คำนับแล้ว พระพันปีก็ตรัสถามว่า:“อวิ๋นเอ๋อร์มีเรื่องอะไรหรือ ?”

“หม่อมฉัน……”

“เสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ เป็นเพราะเรื่องของจวนอ๋องกั่วจวิ้น ลูกจึงมาขอเข้าเฝ้าเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ” ไม่รอให้ฉีเฟยอวิ๋นพูดจบ หนานกงเย่ก็พูดขัดจังหวะด้วยความฮึกเหิม

ฉีเฟยอวิ๋นจำใจต้องพยักหน้า

พระพันปีตรัสด้วยสีหน้าจริงจังว่า:“เรื่องของอ๋องกั่วจวิ้นยังไม่คลี่คลายอีกหรือ ?”

“ทูลเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงมอบเรื่องนี้ให้ลูกจัดการ แต่ลูกไม่เต็มใจพ่ะย่ะค่ะ” หนานกงเย่งดูไม่สบายใจเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ฉีเฟยอวิ๋นสังเกตและพบว่าหนานกงเย่อวดฉลาดมาก

พระพันปีตรัสถามว่า:“ในเมื่อฝ่าบาททรงมอบให้เจ้าดูแลเรื่องนี้ เพราะทรงวางใจในตัวเจ้าเป็นอย่างมาก เมื่อมาถึงตาเจ้าแล้วก็ไม่พอใจ เจ้าโตและไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว ก่อนหน้านี้เจ้าก็ไม่ยอมแต่งงาน หรือแม้แต่ไม่ยอมเป็นผู้สำเร็จราชการแทนก็ช่าง งานที่ได้รับมอบหมายเจ้าก็ไม่เต็มใจที่จะทำ เจ้าได้ควบคุมดูแลบ้านเมืองมากเช่นนั้นก็นับว่าฝ่าบาททรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อเจ้ามากแล้ว แต่เจ้าก็ดีแต่ผลักไสออกไป หรือว่าเจ้าอยากจะว่างงานและไม่มีอะไรทำไปจนแก่ชรา ?

ในตอนนี้เจ้าแต่งงานแล้ว จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร ?

ถึงอย่างไรก็ต้องฝึกฝน เจ้าไปตรวจสอบก็ดีแล้ว”

หลังจากที่พระพันปีทรงตำหนิ หนานกงเย่ก็ไม่พอใจเล็กน้อย:“เสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ พี่รองทรงโตกว่าลูก ไม่เห็นต้องไปฝึกฝนเลยพ่ะย่ะค่ะ แล้วเหตุใดลูกต้องไปฝึกฝนด้วย ลูกแต่งงานแล้ว หรือว่าพี่รองทรงยังไม่แต่งงานพ่ะย่ะค่ะ ?”

“ยิ่งพูดก็ยิ่งมีแข็งกร้าว ข้าจะตบปากเจ้า”

พระพันปียกมือขึ้นจะตบ หนานกงเย่เบือนหน้าหนี:“เอาสิพ่ะย่ะค่ะ เสด็จแม่ทรงทำได้ลงก็ทำเลยพ่ะย่ะค่ะ”

ฉีเฟยอวิ๋นงุนงง นี่ไม่ใช่สถานการณ์ปกติของทั้งสองแม่ลูกเลย

ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย หนานกงเย่เป็นอะไรไป

พระพันปีทรงห่วงใยพระโอรสองค์นี้มาก

พระพันปีเอามือลง:“ เจ้าไร้เหตุผล จงระงับมันลงเสีย อย่าให้ข้าต้องเหลืออด”

“ลูกก็อยากระงับมันไว้พ่ะย่ะค่ะ แต่ลูกมีเรื่องอึดอัดใจที่จะต้องระบายออกมา” ใบหน้าของหนานกงเย่ทรุดลงในทันที ราวกับว่าความทุกข์ยากกำลังจะมา

ฉีเฟยอวิ๋นบีบมือแน่นและไม่ได้พูดอะไร

และไม่เข้าใจความหมายของหนานกงเย่
พระพันปีทรงตรัสถามว่า:“เรื่องอะไร ?พบความยากลำบากในคดีนี้หรือไม่ ?”

“เสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ ลูกไม่ได้คิดจะสืบคดีนี้ แต่สืบแล้วพบว่ามีความเกี่ยวโยงมากมาย ในเมื่อฝ่าบาททรงมอบคดีให้ลูก หากลูกไม่สืบหาความจริงให้ปรากฏก็จะถูกกล่าวหาว่าหลอกลวงเบื้องสูง”

สีหน้าของหนานกงเย่ดูจริงจังและไม่ค่อยดีนัก

พระพันปีทรงตรัสอย่างเคร่งขรึมว่า:“ฝ่าบาททรงมอบหมายเรื่องนี้ให้แก่เจ้า แน่นอนว่าพระองค์ย่อมมีพระประสงค์ และเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องมาทำการแสดงต่อหน้าข้า ว่ามาเถอะ เจ้ามีเรื่องอะไร ?”

แน่นอนว่าพระมารดาที่ทรงเฉลียวฉลาดย่อมให้กำเนิดพระโอรสที่ทรงเฉลียวฉลาดเช่นกัน พระพันปีเป็นผู้ที่ทรงฉลาดเช่นนั้น ดังนั้นตั้งแต่แรกเริ่มแม่และลูกย่อมเป็นเหมือนกระจกสะท้อน

และฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกประทับใจ เดิมทีหนานกงเย่จะไม่มาก็ได้ แต่เขาก็ยังมา

จนกระทั่งถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้ผลักนางออกไป แต่กลับพามาด้วย

“เสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ เสด็จแม่เคยได้ยินเรื่องที่อ๋องกั่วจวิ้นอยู่ข้างนอกบ้างหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ?” หนานกงเย่ถาม

พระพันปีพยักหน้า:“เคยได้ยินมาบ้าง แต่ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นเรื่องภายในจวนของเขา และเขาก็ไม่ได้ทำการโหดเหี้ยมไร้คุณธรรม อีกอย่างเขาก็เป็นพระสหายของฝ่าบาท หรือว่ายังต้องเข้าไปยุ่งเรื่องภายในจวนของเขาด้วย ?”

“เสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ แต่การปฏิบัติต่อพระชายาและนางสนมในจวนอย่างโหดเหี้ยม ส่งผลกระทบต่อราชวงศ์เป็นอย่างมาก”

“ไม่เคยคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อน แต่ในเมื่อวันนี้เจ้าพูดเรื่องนี้ออกมาแล้ว คงต้องเกิดเรื่องขึ้นกับพระชายาและนางสนมในจวนใช่หรือไม่ ?” พระพันปีทรงตรัสอย่างราบเรียบ และใบหน้าของนางถอดสีอย่างเห็นได้ชัด

หนานกงเย่เล่าถึงเรื่องที่สืบพบ หลังจากที่พระพันปีทรงฟังแล้วก็ตรัสถามว่า:“ตรวจสอบร่างกายของพระชายาและนางสนมเหล่านั้นแล้วหรือไม่ ?”

ฉีเฟยอวิ๋นประหลาดใจ ในตอนที่ตรวจสอบเรื่องของอ๋องกั่วจวิ้นไม่ได้แจ้งหนานกงเย่ทราบล่วงหน้า ตอนที่นางไปในห้องมีเพียงญาติของอ๋องกั่วจวิ้นและนาง

เมื่อออกมาแล้ว นางก็ไม่ได้พูดถึงการตรวจร่างกายเลย แล้วเขาจะรู้ได้อย่างไร

นางรู้สึกสงสัยในใจ และทำได้เพียงแค่รอ

“ลูกไม่ได้ตรวจสอบด้วยตนเอง วันนี้จึงต้องให้พระชายาไปทำหน้าที่ตรวจสอบแทน ตั้งแต่พระชายาออกมาจากจวนอ๋องกั่วจวิ้นก็ดูตกใจจนสีหน้าเปลี่ยน เมื่อถามนางก็ไม่พูด คงจะมีเรื่องอะไรที่ทำให้กลัว เช่นนั้นลูกจะออกไปก่อน เสด็จแม่ทรงถามเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

หนานกงเย่ลุกขึ้นและเดินออกไปข้างนอก พระพันปีทรงโบกมือ และไห่กงกงก็พาคนออกถอยไปในทันที

ฉีเฟยอวิ๋นยังคงรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย พระพันปีทรงตรัสถามว่า:“อวิ๋นเอ๋อร์ เจ้าเห็นอะไรหรือ ?”

ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นและคุกเข่าลง:“เสด็จแม่เพคะ หม่อมฉันเห็นว่าร่างกายของพวกนางเต็มไปด้วยรอยแผลเป็น บ้างก็เป็นรอยแผลเป็นจากมีด บ้างก็เป็นรอยแผลเป็นจากการถูกโบย และรอยแผลเป็นจากการถูกไฟไหม้ เหมือนกับว่าถูกเหล็กร้อนนาบลงไปเพคะ หม่อมฉันตกใจกลัว จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังออกสั่นขวัญหายเพคะ”

“งั้นหรือ ?”

พระพันปีทรงตรัสอย่างราบเรียบ และมองไปที่ฉีเฟยอวิ๋นอยู่ครู่หนึ่ง:“อวิ๋นเอ๋อร์ จวิ้นอ๋องทำเรื่องเช่นนี้ ข้ารู้สึกโกรธแค้นยิ่งนัก แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ และอาจส่งผลกระทบต่อบ้านเมือง

ไม่น่าเสียดายที่อ๋องกั่วจวิ้นทรงสิ้นพระชนม์ ถึงอย่างไรเขาก็ทำเรื่องที่น่าอกสั่นขวัญหาย

แต่……

แม้ว่าอ๋องกั่วจวิ้นจะเป็นเชื้อสายของราชวงศ์ แต่หากเรื่องแพ่กระจายออกไป เกรงว่าจะทำให้ราชวงศ์ต้องอับอาย ในเมื่อเรื่องนี้ยังไม่ได้ถูกผู้อื่นกล่าวถึง เช่นนั้นก็อย่าพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย

ส่วนหญิงหม้ายเหล่านั้นของอ๋องกั่วจวิ้น อยู่ไปก็คงจะมีชีวิตรอดไปวัน ๆ เช่นนั้นก็ประทานความตายให้เป็นรางวัลเถอะ!”

“เสด็จแม่……”

ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่พระพันปี พระพันปีทรงลุกขึ้น:“กลับไปเถิด อ๋องเย่จัดการคดีนี้ได้เป็นอย่างดี ประทานทองคำหนึ่งพันชั่งให้เป็นรางวัล!”

พระพันปีหันกลับไปที่ห้องบรรทม เดิมทีฉีเฟยอวิ๋นต้องการร้องขอพระเมตตา ไห่กงกงเดินออกมาจากด้านใน และนำฉีเฟยอวิ๋นออกไป

“พระชายาเย่ ท่านอ๋องเย่ทรงรออยู่ด้านนอกแล้ว ตามบ่าวมาเถอะพ่ะย่ะค่ะ” ไห่กงกงรีบส่งฉีเฟยอวิ๋นออกไป ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกอึดอัดใจมาก

เมื่อออกมาจากตำหนักเฉาเฟิ่งแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็มองไปที่ไห่กงกง:“กงกง”

“พระชายาเย่ เรื่องนี้มิอาจเปลี่ยนแปลงได้ กลับไปเถอะพ่ะย่ะค่ะ”

ไห่กงกงขยิบตา ฉีเฟยอวิ๋นรู้ว่าเพื่อตัวนางเอง แต่นางก็รู้สึกอึดอัดใจ