ฉีเฟยอวิ๋นนั่งอยู่ในรถม้าอย่างใจลอยเมื่อออกไปจากวัง มีกล่องใบหนึ่งวางอยู่ตรงหน้าหนานกงเย่ ในกล่องนั้นมีทองคำอยู่หนึ่งพันชั่ง และฉีเฟยอวิ๋นก็ได้แต่มองมันอย่างเลื่อนลอย

สิบสองชีวิตนั้น ไม่มีอีกต่อไปแล้วงั้นรึ?

“นี่มันชีวิตคนหรือผักปลา” ฉีเฟยอวิ๋นพึมพำกับตัวเอง

หนานกงเย่ไม่ได้ใส่ใจ ฉีเฟยอวิ๋นลงจากรถเมื่อกลับมาถึงจวนอ๋องเย่ ทันทีที่ลงจากรถก็มีม้าตัวสูงใหญ่ตัวหนึ่งวิ่งตรงเข้ามาหา ใครคนหนึ่งลงมาจากหลังม้าและโค้งคำนับหนานกงเย่กับฉีเฟยอวิ๋น ที่แท้คือขันทีจากในวังนั่นเอง

“บ่าวคารวะท่านอ๋องเย่กับพระชายาเย่”

เมื่อเห็นว่าขันทีถือพระราชโองการเอาไว้ในมือ หนานกงเย่จึงเอ่ยเรียบๆ ว่า “เชิญกงกง”

“พระชายาเย่โปรดรับพระราชโองการ” ขันทีผู้น้อยมิได้ลังเลและฉีเฟยอวิ๋นก็คุกเข่าลง

“เนื่องจากคดีของจวนท่านอ๋องกั่วจวิ้นมีเรื่องเกี่ยวพันมากมาย วันนี้ท่านอ๋องเย่มีคุณูปการในการทำคดี ไขความกระจ่างให้พระพันปีว่ามีผู้ร้ายบุกเข้าไปปล้นในจวนของท่านอ๋องกั่วจวิ้น จนท่านอ๋องถูกแทงสิ้นชีวิต ซึ่งนั่นนับเป็นความสูญเสียของราชวงศ์ เวลานี้โจรผู้ร้ายถูกจับกุมตัวแล้วและมีหลักฐานชัดเจน ด้วยการสารภาพผิดจึงไม่จำเป็นต้องมีการพิจารณาคดีใหม่ มีคำสั่งให้ตัดหัวประหารชีวิตทันที

บุตรกำพร้าของท่านอ๋องกั่วจวิ้น จะได้รับสืบทอดบรรดาศักดิ์จากท่านอ๋องกั่วจวิ้นตามเดิมและได้พระราชทานยศเป็นจวิ้นอ๋อง

พระชายาม่ายของท่านอ๋องกั่วจวิ้นและสนมคนอื่นๆ สามารถตัดสินใจได้เองว่าจะอยู่หรือจะไป เรื่องนี้ยกไว้ให้พระชายาเย่เป็นผู้พิจารณา”

ฉีเฟยอวิ๋นรับพระราชโองการและถอนหายใจอย่างโล่งอก นางลุกขึ้นและหันไปกล่าวขอบคุณกงกง ไม่คิดว่าการจัดการเรื่องนี้จะเป็นไปอย่างราบรื่นขนาดนี้

พระพันปีก็ใช่ว่าจะไร้มนุษยธรรมไปเสียทีเดียว

“ท่านอ๋องเย่ พระชายาเย่ บ่าวขอลา” เมื่อขันทีผู้น้อยเตรียมจะกลับไป หนานกงเย่จึงเอ่ยขึ้นมาว่า “รางวัล”

“ขอบพระทัยท่านอ๋อง”

มีคนนำแท่งเงินแท่งหนึ่งมาให้ขันที เมื่อได้รับรางวัลแล้ว ขันทีจึงหันหลังและขี่ม้าจากไป

ฉีเฟยอวิ๋นขึ้นไปบนรถม้าพร้อมกับถือพระราชโองการไปด้วย ขณะนี้นางรู้สึกดีมิใช่น้อย

หนานกงเย่เองก็ขึ้นรถม้าตามไป

ฉีเฟยอวิ๋นนั่งรถม้าตรงไปยังจวนของท่านอ๋องกั่วจวิ้น เมื่อถึงจวนแล้วจึงลงมาจากรถม้าพร้อมกับพระราชโองการที่ถืออยู่ในมือ

เวลานี้ในจวนของท่านอ๋องกั่วจวิ้นเต็มไปด้วยเสียงร่ำไห้

ฉีเฟยอวิ๋นชะงักนิดหนึ่งเมื่อเข้าไปข้างใน พระชายากั่วจวิ้นยืนอย่างสงบอยู่ด้านข้าง เมื่อเห็นฉีเฟยอวิ๋นเข้ามา พระชายากั่วจวิ้นจึงยิ้มออกมาและพยักหน้าให้

อยู่ๆ ฉีเฟยอวิ๋นก็เริ่มรู้สึกไม่ดีและรู้สึกว่าพระราชโองการนี้มีบางอย่างไม่ถูกต้อง

พระชายากั่วจวิ้นเดินมาอยู่ตรงหน้าฉีเฟยอวิ๋นและโค้งคำนับ ฉีเฟยอวิ๋นรีบเข้ามาประคองนางไว้

“ไม่ต้องหรอก!”

“ถึงอย่างไรก็ต้องขอบคุณพระชายาเย่ พวกข้าไม่มีอะไรให้ต้องเสียใจอีกแล้ว” พระชายากั่วจวิ้นพูดจบจึงหันไปนางสนมคนอื่นๆ ที่แต่งตัวเรียบร้อยแล้ว พวกนางพากันมาอำลาฉีเฟยอวิ๋นก่อนจะกลับไปที่โถงด้านหน้า

ฉีเฟยอวิ๋นตามไปดูและพบว่าสุราพิษถูกดื่มไปแล้ว และพวกนางก็ทยอยนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ

ฉีเฟยอวิ๋นจึงถามไปว่า “เหตุใดพวกเจ้าจึงต้องทำเช่นนี้”

“ก่อนที่ท่านจะมา พระพันปีส่งคนมาพร้อมกับพระราชเสาวนีย์เพื่อแต่งตั้งพวกเรา ทว่าก็ส่งสุรามาด้วย พวกเรารู้ดีว่านี่จะไม่เป็นผลดี แต่แค่รักษาศพไว้ได้พวกเราก็พอใจแล้ว”

มีเลือดไหลออกมาจากมุมปากของพระชายากั่วจวิ้น นางค่อยๆ หันไปมองหนานกงเย่ที่อยู่ด้านหลังฉีเฟยอวิ๋น “ท่านอ๋องเย่ เขาสบายดีใช่หรือไม่”

“……”

หนานกงเย่ไม่ตอบ เมื่อฉีเฟยอวิ๋นหันกลับไปมองก็เห็นว่าพระชายากั่วจวิ้นหลับตาลงไปแล้ว

ฉีเฟยอวิ๋นยืดตัวขึ้นและถอยหลังออกไปสองก้าว นางไม่เคยกลัวอะไรขนาดนี้มาก่อน มือของพระชายากั่วจวิ้นปัดผ่านมือของนางก่อนจะสิ้นใจ และความเย็นเยียบนั้นทำให้ฉีเฟยอวิ๋นตกใจจนสะดุ้ง นางลุกขึ้นวิ่งจนไปปะทะกับอ้อมอกของหนานกงเย่และถูกเขากอดเอาไว้

“อย่าร้อง อย่าส่งเสียงดัง ให้ข้าได้กอดเจ้าไว้เถิด”

หนานกงเย่ตบหลังของฉีเฟยอวิ๋นเบาๆ เพื่อปลอบประโลม และฉีเฟยอวิ๋นก็กอดหนานกงเย่ไว้แน่น

“นี่มันโหดร้ายเกินไปแล้ว!” ฉีเฟยอวิ๋นตัวสั่นสะท้านด้วยความตกใจและพูดไม่เป็นศัพท์

“อย่าพูดอะไรเลย!”

เมื่อหนานกงเย่กระซิบที่ข้างหูของนาง ฉีเฟยอวิ๋นจึงหยุดพูด

นางเคยฆ่าคนและเคยผ่านประสบการณ์การทำภารกิจที่โหดร้ายมานับไม่ถ้วน แต่ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่จะสั่งให้คนทำอะไรที่น่ากลัวและน่าเศร้าเช่นนี้

ฉีเฟยอวิ๋นผละจากหนานกงเย่และเดินเข้าไปหากลุ่มคนที่ดื่มยาพิษปลิดชีพตัวเอง ทุกๆ คนนอนอยู่ที่นั่นพร้อมกับมีเลือดทะลักออกจากมุมปาก ใบหน้าของพวกนางเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มและคราบน้ำตา

พวกนางสิ้นชีวิตลงด้วยประการฉะนี้ เป็นความตายที่น่าสยดสยอง กษัตริย์ผู้ไร้เมตตา…

ลมหายใจของฉีเฟยอวิ๋นยุ่งเหยิง นางหันหลังและกลับออกไปจากเรือน เมื่อออกมาแล้วทังเหอก็เข้ามาหาและเอ่ยกับฉีเฟยอวิ๋นว่า “เรียนพระชายา ท่านอ๋องกั่วจวิ้นถูกล้างมลทินแล้ว พระชายากั่วจวิ้นและสนมอื่นๆ ไม่เต็มใจจะใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว ดังนั้นจึงปลิดชีพตนเองด้วยยาพิษเพื่อให้ตายตกไปตามกัน”

ฉีเฟยอวิ๋นหันไปมอง “พวกเจ้า…”

“ทังเหอ คัดลอกสมุดบัญชี ข้าจะนำขึ้นถวายบังคมทูลองค์จักรพรรดิ โจรยังคงถูกจับกุมอยู่ จำเป็นต้องรออีกสองวัน การประหารต้องเลื่อนออกไปทีหลัง”

“ขอรับ”

ทังเหอเหลือบมองฉีเฟยอวิ๋นนิดหนึ่งก่อนเดินจากไปเพื่อคัดลอกบัญชี

ฉีเฟยอวิ๋นทนอยู่ต่ออีกไม่ได้และกลับไปที่จวนอ๋องเย่ก่อนโดยไม่รอหนานกงเย่

เมื่อหนานกงเย่กลับมาถึงก็พบว่าฉีเฟยอวิ๋นเก็บตัวอยู่ในห้องของตัวเองไม่ยอมออกมา นางปิดประตูลั่นดาลและคิดถึงความผิดพลาดที่ตนเองกระทำลงไปตามลำพัง

หนานกงเย่กลับมาถึงและเปิดประตู เมื่อประตูเปิดออกไม่ได้เขาก็ไม่คิดจะรบกวนนางและกลับไปที่ห้องของตนเองตามลำพัง

ฉีเฟยอวิ๋นเก็บตัวพักผ่อนอยู่ในห้องเป็นเวลาหลายวัน หนานกงเย่สั่งให้คนนำอาหารมาส่งให้นางที่หน้าห้อง นางรับเข้าไปกินข้างใน เมื่อกินเสร็จจึงส่งกลับออกมา นอกจากนี้ก็ไม่มีใครได้พบนางอีก

หลายวันผ่านไป ฉีเฟยอวิ๋นแสร้งทำเป็นลืมเรื่องที่เกิดขึ้นที่จวนท่านอ๋องกั่วจวิ้นและไม่กล้าคิดถึงมันอีก นอกจากนี้นางยังพิสมัยคนในวังเหล่านั้นไม่ลงอีกแล้ว แต่ละคนช่างชั่วร้ายโหดเหี้ยมและจิตวิปริตกันไปหมด

วันนี้ฉีเฟยอวิ๋นเพิ่งออกมาจากห้อง เมื่ออากาศภายนอกอบอุ่นขึ้น ฉีเฟยอวิ๋นก็พลอยได้ปัดเป่าความรู้สึกแย่ๆ ออกไปบ้าง

ขณะที่กำลังมองดอกเหมยร่วงโรยอยู่นั้น ทังเหอก็รีบร้อนเข้ามาจากข้างนอก เดินเข้ามาในสวนดอกกล้วยไม้ก่อนจะรีบถอยกลับออกไป

เมื่อเห็นฉีเฟยอวิ๋น ทังเหอจึงเอ่ยว่า “ข้ากระหม่อมมีเรื่องเร่งด่วนขอรับพระชายา”

ฉีเฟยอวิ๋นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เรื่องที่เกิดขึ้นในจวนท่านอ๋องกั่วจวิ้นกลายเป็นเงามืดในหัวใจของนาง นางแค่อยากจะใช้ชีวิตในโลกที่ปราศจากความขัดแย้ง ไม่อยากจะสนใจเรื่องของพวกเขาเพื่อหลีกเลี่ยงการทำร้ายตนเองและคนอื่นๆ

“พระชายาขอรับ ข้ากระหม่อมมีเรื่องเร่งด่วนจริงๆ ขอพระชายาโปรดออกมาเถิดขอรับ” ทังเหอร้อนใจมาก ทว่าฉีเฟยอวิ๋นกลับไม่ขยับเขยื้อน

“คุณชายทังมีเรื่องอะไรหรือ” ฉีเฟยอวิ๋นยืนอยู่อย่างนั้นไม่ยอมขยับ

“อาซิวปลอดภัยแล้วขอรับพระชายา แต่วันนี้เขาเริ่มมีไข้ ขอพระชายาโปรดไปตรวจอาการด้วยเถิดขอรับ หมอประจำจวนเองก็บอกไม่ได้ว่าเขาเป็นอะไร”

“เจ้าอย่ามาตามหาข้าเลย ข้าไม่อยากไปพบอาซิว”

ฉีเฟยอวิ๋นปฏิเสธและหันหลังกลับเข้าไปในห้อง ปิดประตูแน่นและยืนมองออกไปจากข้างใน

ทังเหอยืนรออยู่ที่ประตูครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจกลับไป

หงเถาและลี่ว์หลิ่วรอปรนนิบัติอยู่ด้านนอก ช่วงนี้พระชายาอารมณ์ไม่ดี อาซิวทำเรื่องเช่นนั้นลงไป นี่ก็นับว่าเมตตากับเขามากแล้ว

ทว่าถึงอย่างไรฉีเฟยอวิ๋นก็เป็นหมอ หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งนางจึงหยิบยาจำนวนหนึ่งออกมา ยื่นมันให้หงเถาผ่านทางประตู “เจ้าเอานี่ไปให้ทังเหอ บอกเขาว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้าย”

“เพคะ พระชายา”

หงเถารับยาและวิ่งนำไปให้ทังเหอที่ลานหลังจวน หลังจากรับยาไปแล้วทังเหอก็เกิดความยุ่งยากขึ้นในใจ พระชายาใจดีมีเมตตา แต่ท้ายที่สุดแล้วอาซิวกลับไม่ยอมปล่อยพระชายา หากทิ้งไว้ในจวนท่านอ๋อง ไม่ช้าก็แล้วจะต้องเป็นปัญหาอย่างแน่นอน

ในตอนหัวค่ำ ประตูห้องของฉีเฟยอวิ๋นก็ถูกใครบางคนผลักเข้ามา ฉีเฟยอวิ๋นพลิกตัวหันกลับไปมอง เจ้าของร่างที่อยู่ตรงหน้าคือหนานกงเย่ซึ่งอยู่ชุดผ้าแพรสีดำ เมื่อเห็นฉีเฟยอวิ๋นเขาก็เริ่มปลดเสื้อผ้า ท่าทางเหมือนคนน่ากลัวที่กำลังกระวนกระวายใจ

ช่วงนี้ฉีเฟยอวิ๋นไม่มีความสุขและเขาก็ไม่ได้มารบกวนนาง เขาตั้งหน้าตั้งตารอวันนี้มานานและไม่คิดจะเกรงใจอีกต่อไป

ฉีเฟยอวิ๋นขยับตัวเล็กน้อยเพื่อเหลือที่ไว้ให้หนานกงเย่ หนานกงเย่โยนเสื้อผ้าพาดไว้บนฉากกั้นและขยับเข้าไปแนบชิดกับนาง

“ดีขึ้นแล้วหรือ” เขากระซิบที่ข้างหูอย่างยั่วเย้า

ฉีเฟยอวิ๋นยังคงไม่สบายใจ ถึงอย่างไรนางก็เป็นหมอ สิ่งต่างๆ ที่ทำลงไปก็เพื่อช่วยรักษาผู้คน แต่เมื่อมาอยู่ที่นี่นางกลับกลายเป็นฆาตกรประหัตประหารผู้คน นางยอมรับมันไม่ได้จริงๆ

หนานกงเย่ไม่ยอมพูดจาเรื่อยเปื่อยไปไกล เขาดึงเอวสายรัดที่เอวและบุกจู่โจมทันที ฉีเฟยอวิ๋นรู้ว่าหลายวันมานี้เขาคอยจับจ้องนางอยู่ตลอดและอัดอั้นจนน่ากลัว

ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยที่วันนี้เขาจะไม่เล้าโลมใดๆ แม้กระทั่งอารมณ์ความรู้สึก หากเขาทำงานหนักบางทีก็ลืมไปได้บ้างเหมือนกัน

แต่ถึงอย่างไรการบ่มเพาะเมล็ดก็เกิดขึ้นแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่นางจะไม่คิดถึงมันเลยและพูดได้แค่ว่ามันคือความทรงจำที่ยาวนาน ต่อไปในอนาคตจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกแล้ว

ราชสำนักมีอำนาจของราชสำนัก คนอย่างนางจะไปควบคุมอะไรได้ ต่อจากนี้นางจะไม่ดื้อดึงและอวดฉลาดอีกต่อไป

ดังคำกล่าวที่ว่า หากต้องการอยู่ใต้ชายคาก็ต้องยอมก้มหัวให้เจ้าของเรือน

ตอนนี้นางอยู่ใต้ชายคา แบบนี้จะไม่ยอมก้มหัวได้อย่างไร? เพียงแต่มันเป็นการก้มหัวที่ต้องทรมานใจก็เท่านั้น

เมื่อละลอกคลื่นลูกแล้วลูกเล่าเข้าจู่โจม ฉีเฟยอวิ๋นก็ทิ้งอาวุธและยอมจำนนโดยสมบูรณ์

หลังจากผ่านอารมณ์ที่ซาบซึ้ง ฉีเฟยอวิ๋นจึงกล่าวว่า “ต่อไปนี้หม่อมฉันจะไม่ตามท่านออกไปแล้ว เพื่อไม่ทำให้ท่านเกิดปัญหา หม่อมฉันจะอยู่ในเรือนของท่านและทำตัวเป็นพระชายาที่ดี”

“ว่าง่ายขนาดนี้เชียวรึ” หนานกงเย่ไม่เพียงแต่ชื่นใจ แต่ยังทุกข์ใจมากขึ้นกว่าเดิม

ที่นางปฏิเสธที่จะอยู่ภายในจวนอย่างสงบทั้งหมดก็เป็นเพราะความมีเมตตาต้องการช่วยเหลือผู้อื่น นางไม่รู้เลยว่าโลกนี้ช่างกว้างใหญ่และไม่ได้มีที่สำหรับให้นางได้ช่วยเหลือใครๆ
ทั้งสองกอดรัดพัวพันกันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะค่อยสงบลง

ฉีเฟยอวิ๋นกอดหนานกงเย่และนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงถามไปว่า “วันนั้นที่พระชายากั่วจวิ้นสิ้นชีวิต เหตุใดนางจึงถามท่านว่าเขาสบายดีหรือไม่ เขาคือใครหรือ”

หนานกงเย่ตบเพื่อปลอบประโลมฉีเฟยอวิ๋นเบาๆ “ยิ่งรู้น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น พระชายาอยากจะรู้เช่นนี้ ไม่กลัวจะมีคนมาตามหาตัวรึ”

“ดึกดื่นขนาดนี้ทั้งยังมีแค่เราสองคน ใครจะไปรู้” ฉีเฟยอวิ๋นพลิกตัวลุกขึ้นนั่งบนตัวของหนานกงเย่และทำให้เขาถึงกับงงงัน

“เจ้าพยายามจะนั่งบนตัวข้างั้นรึ”

“เช่นนั้นข้าลงก็ได้” ในสมัยโบราณมีกฎมีประเพณีมากมาย เรื่องที่ผู้หญิงจะขึ้นไปขี่บนตัวผู้ชายไม่ได้ฉีเฟยอวิ๋นก็รู้ดี ดังนั้นนางจึงกลับลงไป

ร่างกายของหนานกงเย่รู้สึกตื่นตัวขึ้นมาเล็กน้อย เขาพยายามจะพลิกตัวขึ้นข้างบน แต่ฉีเฟยอวิ๋นไม่ยอม

ถ้าไม่บอกก็ไม่ต้อง

หลังจากยึกยักอยู่ครู่หนึ่ง หนานกงเย่จึงกระซิบที่ข้างหูของนางว่า “จักรพรรดิองค์ปัจจุบัน”

ฉีเฟยอวิ๋นถอนหายใจอย่างโล่งอก “ที่แท้ก็คือพระองค์นั่นเอง แล้วพวกเขามีเรื่องอะไรหรือ”

“ไม่มีอะไร”

“แล้วเพราะเหตุใดล่ะ”

“ไม่แน่ใจ”

เมื่อหนานกงเย่ไม่บอก ฉีเฟยอวิ๋นจึงไม่ซักไซ้ต่อ หลังจากเสร็จกิจฉีเฟยอวิ๋นก็เหนื่อยและผล็อยหลับไป

เรื่องราวเกี่ยวกับจวนท่านอ๋องกั่วจวิ้นค่อยๆ เลือนหายไปจากโลกของฉีเฟยอวิ๋น

ชั่วพริบตาหนึ่งก็ผ่านไปแล้วหนึ่งเดือน ภายในวังมีการจัดงานเลี้ยง ท่านอ๋องจากทุกตระกูลทั้งที่อภิเษกสมรสแล้วและยังไม่ได้อภิเษกต่างก็แต่งกายอย่างเลิศหรูมาร่วมงาน

ฉีเฟยอวิ๋นเข้าวังมาพร้อมกับหนานกงเย่เช่นกัน แต่คราวนี้ที่เห็นมาร่วมงานมีแต่ฝ่าบาท ฮองเฮา และพระสนมเอกเซียวเท่านั้น

พระพันปีและพระมเหสีหวาไม่ได้มาเข้าร่วมงานเลี้ยงเช่นนี้หลายปีแล้ว

ท่านอ๋องและพระชายาอ๋องจากทุกตระกูลนั่งอยู่ด้านหนึ่ง ส่วนผู้ที่ยังมิได้อภิเษกอยู่อีกด้านหนึ่ง ลูกท่านหลานเธออยู่ฝั่งหนึ่ง องค์หญิงและองค์ชายอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ทว่าในส่วนของคุณหนูคุณชายลูกๆ ของเหล่าเสนาบดีนั้นมิได้แบ่งที่กันชัดเจนนัก

ฉีเฟยอวิ๋นนั่งอยู่ระหว่างหนานกงเย่และท่านแม่ทัพฉีอย่างสง่างามและเพียบพร้อม ดูสงบจิตสงบใจกว่าตอนที่มาปรากฏตัวที่นี่ครั้งแรกมากนัก

มีเสียงกระซิบกระซาบดังเข้าหูของนาง แต่นางแสร้งทำเป็นหูทวนลม ท่านแม่ทัพฉียิ้มแย้มแจ่มใสจนปากจะฉีกถึงหู เห็นใครก็มีความสุขไปหมด

หนานกงเย่ที่อยู่ข้างๆ มักจะจับมือฉีเฟยอวิ๋นและไม่เต็มใจที่จะปล่อยมือนางแม้เพียงครู่เดียว

ช่วงไม่กี่วันมานี้เป็นเรื่องยากมากที่ท่านอ๋องทั้งหลายจะมารวมตัวกันอย่างพร้อมเพรียง นอกจากนี้คุณหนูทุกคนก็ยังมาด้วย

ในที่แห่งนี้ต้องพบเจอกับคู่อริของฉีเฟยอวิ๋นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ดังเช่นที่อยู่ฝั่งตรงข้ามนั่น

พระชายาตวน จวินฉูฉู่

จวินฉูฉู่สวมอาภรณ์สีเขียวงดงามแพรวพราว เดิมทีเสื้อผ้าสีนี้จะยากจะดูดีเมื่อสวมใส่ ทว่าจวินฉูฉู่เป็นผู้ที่มีความงามเกินกว่าจะหาผู้ใดเปรียบ เมื่อสวมชุดแบบนี้นางจึงยิ่งดูโดดเด่นสะดุดตา

ฉีเฟยอวิ๋นทอดถอนใจที่ตนเองสวยสู้นางไม่ได้ ถึงอย่างไรตอนนี้นางก็ยังคงสวมชุดตัวเดิม จะทำอย่างไรได้ในเมื่อนางชอบชุดนี้

ท่านอ๋องตวนนั่งอยู่ข้างกายจวินฉูฉู่และมักจะหันไปมองนางด้วยแววตาที่อ่อนโยน

สามีภรรยาคู่นี้ทำให้คนอื่นอิจฉา

ฉีเฟยอวิ๋นและจวินฉูฉู่สบตากัน จวินฉูฉู่ยิ้มเยาะและหันไปทางอื่นอย่างเหยียดหยาม

ฉีเฟยอวิ๋นงงงันอยู่ครู่หนึ่ง ข้าไปทำอะไรให้คนอย่างเจ้าขุ่นเคืองหรืออย่างไร ถ้าเห็นข้าแล้วขัดตา เจ้าก็อย่ามาเสียก็หมดเรื่อง!