ณ ที่แห่งนี้อวิ๋นเอ่อร์ก็อยู่เช่นกันแต่นางนั่งอยู่ในที่ที่ไม่เตะตา เห็นรูปร่างอันผอมบางและดวงตาที่หมองคล้ำของนางก็รู้ว่าสภาพจิตใจย่ำแย่ แต่นางไม่ได้มาเพียงผู้เดียวตามลำพังข้างกายมีคนสองคนอยู่เคียงข้าง
ฝั่งซ้ายคือเสนาบดีเฉินและฝั่งขวาคือเฉินอวิ๋นเจี๋ย
ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้สังเกตในตอนแรก แต่มักรู้สึกว่ามีสายตาจ้องมองนางอยู่ใกล้ๆกระทั่งนางเห็นเฉินอวิ๋นเอ่อร์ถึงได้ประจักษ์ว่าเฉินอวิ๋นเจี๋ยก็อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน
เผชิญหน้ากับแววตาดังประกายไฟของเฉินอวิ๋นเจี๋ยฉีเฟยอวิ๋นเลยรู้สึกเศร้าใจ พวกเขาทั้งสองมีความสัมพันธ์อย่างไรกันแน่ เหตุใดจึงต้องจ้องมองนางเช่นนี้ด้วย
เมื่อนึกถึงปิ่นปักผมชิ้นนั้น ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกกังวลอยู่บ้างไม่มากก็น้อย
ไม่มีความคิดอื่นประการใดต่อเจ้าของร่างเดิม
ไม่รู้ว่ามือของหนานกงเย่ใช้แรงตั้งแต่เมื่อใดทำให้ฉีเฟยอวิ๋นตกใจขึ้นมาและหันไปมองยังใบหน้าที่ฝืนยิ้มอยู่ของหนานกงเย่: “พระชายากำลังมองสิ่งใดอยู่หรือ?”
“ไม่มีสิ่งใด”
ฉีเฟยอวิ๋นร้อนตัวเนื่องจากเหลือบมองเฉินอวิ๋นเจี๋ยสองครั้งอยู่จริงๆ แน่นอนว่าไม่สามารถโต้แย้งได้โดยง่าย
“แค๊กแค๊ก……” ฉีเฟยอวิ๋นเพิ่งคิดว่าจะไม่มองไปยังเฉินอวิ๋นเจี๋ย เฉินอวิ๋นเจี๋ยก็ไอขึ้นมาและเป็นการไอที่เจียนตายแล้วเช่นนั้น
ฉีเฟยอวิ๋นเป็นหมอ ทันทีที่ได้ยินเสียงคนไอก็เงยหน้าขึ้นมองอย่างตั้งใจในทันที เมื่อเห็นว่าเฉินอวิ๋นเจี๋ยทำท่ากำหมัดไว้ดังเป็นวัณโรคนั้นนางก็กังวลอยู่ครู่หนึ่ง นี่ไม่ใช่วัณโรคหรอกหรือ?
สีหน้าเย็นยะเยือกของหนานกงเย่ใช้แรงบีบมือของฉีเฟยอวิ๋น เพื่อดูอาการป่วยของเฉินอวิ๋นเจี๋ยให้แน่ชัดแล้วฉีเฟยอวิ๋นไม่สนใจสิ่งใดเลยทั้งนั้น
หนานกงเย่โมโหจึงตบโต๊ะทีนึง
“ปึง!”
ผู้คนรอบข้างตกใจซะจนเงียบไปครู่หนึ่ง
ฉีเฟยอวิ๋นสีหน้าประหลาดใจมองไปด้วยความว่างเปล่า แม่ง! จะทำให้ใครกลัว?
หนานกงเย่กล่าวด้วยใบหน้าเย็นชา: “ข้าปวดที่หัวใจ!”
“……”ฉีเฟยอวิ๋นขมวดคิ้ว: “ที่ใดกัน?”
นางคิดเป็นจริงเป็นจัง
ยกมือขึ้นลูบไปมาทันทีแล้วหนานกงเย่ก็จับมือนางวางลงตรงหน้าอก: “ที่นี้?”
คนรอบข้างมองไปยังพวกเขา ใบหน้าซีดเซียวของเฉินอวิ๋นเจี๋ยช่างน่ากลัวนักและในเวลานี้เขาก็เริ่มไอขึ้นอีกเป็นระยะๆ
ผู้คนอื่นๆเกิดข้อคิดตามเห็นแต่ตนและไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น
อ๋องเย่เจ็บหน้าอกแล้วยังมีเรี่ยวแรงตบโต๊ะมากขนาดนั้น
“ตอนเช้ายังดีๆอยู่เลย ท่านเจ็บหน้าอกหรือ?” ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่เข้าใจในสถานการณ์จึงดูอาการของหนานกงเย่ก่อนแล้วค่อยว่ากัน
มือข้างหนึ่งกดอยู่บนหน้าอกของหนานกงเย่ อีกข้างหนึ่งจับข้อมือของเขาเพื่อตรวจดู
เขาแน่นหน้าอกจริงๆซึ่งทำให้ฉีเฟยอวิ๋นโศกเศร้า
โรคหัวใจไม่ใช่โรคที่รักษาให้หายขาดได้ แม้จะไม่ได้เจ็บปวดดังผู้ที่เป็นโรคปวดไขข้อกระดูกและเป็นโรคที่ไม่ได้ตายเลย แต่ว่าโรคหัวใจในปัจจุบันยังไม่สามารถควบคุมง่ายๆ สมัยโบราณยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ฉีเฟยอวิ๋นแสดงสีหน้าเป็นกังวลขึ้นในทันใด: “คราวที่แล้วท่านโมโหจนป่วย ท่านโกรธอีกแล้วหรือ?”
หนานกงเย่พยักหน้าด้วยท่าทีเชื่อฟังยิ่งนัก
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกปวดใจไร้ที่สิ้นสุด: “ท่านอย่าโกรธอีกเลย สักครู่พบฝ่าบาทแล้วก็กลับเถอะ”
“ได้”
หนานกงเย่ค่อยๆผ่อนคลายลง เขาโมโหมากจริงๆ
ต่อหน้าเขาก็ยังจ้องไปจ้องมากับเฉินอวิ๋นเจี๋ย นี่ยังมีเขาอยู่ในสายตาอยู่หรือไม่
ฉีเฟยอวิ๋นกังวลเล็กน้อย ก่อนหน้านั้นมือของนางถูกจับไว้แต่ตอนนี้นางกำลังจับมือของหนานกงเย่ซะเอง
นางเกรงว่าหนานกงจะไม่สบายแล้วโรคหัวใจจะกำเริบ
แม่ทัพฉีเห็นว่าลูกสาวและหนานกงเย่มีความสัมพันธ์กลมเกลียวกันก็มีความสุขเป็นธรรมดา จากนั้นเงยหน้าขึ้นเหลือบมองเสนาบดีเฉินโดยไม่ได้ตั้งใจและรู้สึกว่าเขาเจริญตา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นเฉินอวิ๋นเจี๋ยก็ยิ่งพึงพอใจมาก
บุตรชายสองคนของตระกูลเฉินเข้าร่วมทัพโดยเคยมีแม่ทัพฉีเป็นผู้นำและไม่เคยใช้หน้าที่มาแก้แค้นเรื่องส่วนตัว การเติบโตและความสามารถของพวกเขานั้นอยู่ในสายตาทั้งสิ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเฉินอวิ๋นเจี๋ยที่แม่ทัพฉีพึงพอใจเป็นอย่างมาก มีความสามารถในการต่อสู้และมีความสามารถในการจัดตั้งขบวนทัพซึ่งเป็นพรสวรรค์ที่หาได้ยาก
เมื่อเห็นแม่ทัพฉีแล้วสีหน้าเฉินอวิ๋นเจี๋ยก็ดีขึ้นมาบ้างไม่ไอแล้ว กลับยังลุกขึ้นเดินไปยังตรงหน้าแม่ทัพฉีแล้วทำความเคารพ: “ผู้น้อยคารวะท่านแม่ทัพ”
ต่อหน้าผู้คนจำนวนมากและทั้งสองตระกูลก็อยู่ตรงข้ามกัน เฉินอวิ๋นเจี๋ยออกมาเช่นนี้ทำให้ทุกคนตรงนั้นตกตะลึง เสนาบดีเฉินโกรธซะจนหน้าแดงก่ำและรู้อยู่แก่ใจว่าบุตรชายของเขาสนใจฉีเฟยอวิ๋นอยู่แล้ว ทว่าบัดนี้นางได้แต่งงานไปแล้วมันช่างน่าอายนิ่งนัก
แม่ทัพฉีก็ไม่ได้เลอะเลือนลุกยืนขึ้นพยุงเฉินอวิ๋นเจี๋ยทันที: “เจ้าหนุ่มผู้นี้โตแล้วและแข็งแรงด้วย ได้ยินมาว่าเจ้าประสบความสำเร็จอย่างมากในการต่อสู้เป็นที่เชิดหน้าชูตาให้ฝ่าบาทจริงๆ”
“เป็นเพราะท่านแม่ทัพสั่งสอนได้ดีถึงได้มีความสำเร็จของอวิ๋นเจี๋ยในวันนี้” เฉินอวิ๋นเจี๋ยสีหน้าซีดเซียวและยังคงไออยู่เช่นนั้น
แม่ทัพฉีถามว่า: “เจ้าเป็นอะไร?”
“เป็นหวัดเล็กน้อยเลยกลับมาในตอนนี้ มิฉะนั้นข้าคงไปที่ชายแดนแล้ว” เฉินอวิ๋นเจี๋ยสีหน้าขมขื่น ขณะที่กำลังกล่าวอยู่จักรพรรดิอวี้ตี้และพระสนมสองตำหนักก็เสด็จมา
จักรพรรดิอวี้ตี้หยุดและแย้มพระสรวลให้แล้วกล่าวว่า: “ดูไม่ออกว่าแม่ทัพฉีและอวิ๋นเจี๋ยมีมิตรภาพต่างวัยต่อกัน”
“ถวายบังคมฝ่าบาท ฮองเฮา พระสนมเอกเซียว……”
ทุกคนลุกขึ้นแล้วคุกเข่าลงบนพื้น จักรพรรดิอวี้ตี้กล่าวว่า: “ลุกขึ้นเถอะ”
จักรพรรดิอวี้ตี้นั่งลง เฉินอวิ๋นชูจับพระหัตถ์แล้วนั่งข้างๆจักรพรรดิอวี้ตี้ และข้างใต้พระนางคือพระสนมเอกเซียวซึ่งนั่งอยู่
คนอื่นๆถึงกล้าจะนั่งลง
เฉินอวิ๋นเจี๋ยยังคงยืนอยู่ที่เดิม จักรพรรดิอวี้ตี้ชื่นชอบน้องชายฮองเฮาผู้สร้างความสำเร็จทางการสู้รบผู้นี้ยิ่งนักและถามว่า: ” อวิ๋นเจี๋ย เหตุใดเจ้าถึงยืนอยู่?”
“ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันอยากจะนั่งข้างๆท่านแม่ทัพฉีพะย่ะค่ะ”
“อวิ๋นเจี๋ยห้ามก่อกวน” เฉินอวิ๋นชูในฐานะฮองเฮาตำหนิน้องชายของตนเองไปตรงๆที่ไม่รู้จักมารยาท เพื่อแสดงความโปรดปรานต่อฮองเฮาจักรพรรดิอวี้ตี้ดึงนางแล้วตบเบาๆ“ปล่อยให้เขานั่งเถอะ”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
เฉินอวิ๋นเจี๋ยจึงเดินไปหาและนั่งลงข้างๆแม่ทัพฉีและอยู่ใกล้กับฉีเฟยอวิ๋นพอดี
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกไม่สบายใจ ฝ่าบาทรับสั่งสิ่งใดก็ได้ยินไม่ชัดเจนเพราะมัวแต่รำคาญอยู่
หนานกงเย่ออกแรงบีบมือนางอีกทำให้รู้สึกทุกข์ทรมานจริงๆ
และจวินฉูฉู่กับเฉินอวิ๋นเจี๋ยที่อยู่ฝั่งตรงข้ามต่างก็มองมายังนาง
ชั่วเวลาครู่เดียวนางก็เสมือนกลายเป็นสาวงามที่สามารถดึงดูดสายตาผู้อื่น
ฝ่าบาทรับสั่งอย่างสง่างามด้วยคำกล่าวที่น่าฟังไม่กี่ประโยค จากนั้นงานเลี้ยงก็ได้เริ่มต้นขึ้น
ฮองเฮาเสนอเกมที่ทำให้สนุกมากขึ้นขึ้นมา จักรพรรดิอวี้ตี้เริ่มก่อนจากนั้นกล่าวคนละหนึ่งประโยค กล่าวต่อประโยคได้พระราชทานอาหารหนึ่งอย่าง ไม่สามารถต่อประโยคได้ลงโทษด้วยการแสดงความสามารถพิเศษหนึ่งอย่าง
จักรพรรดิอวี้ตี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง: “งั้นก็อ๋องเย่และชายาเย่ก่อน?”
ผู้คนด้านล่างตะลึงอยู่ครู่หนึ่งแล้วเสียงครึกครื้นนั้นต่างก็ก้มศีรษะลง
หนานกงเย่เลิกคิ้วขึ้นและเก็บสายตาโดยไม่กล่าวสิ่งใด ฉีเฟยอวิ๋นจนปัญญายิ่งนัก นี่เป็นการให้ผู้คนหยอกล้อนางและหนานกงเย่ราวกับหยอกล้อลิงเช่นนั้นหรือ?
จักรพรรดิอวี้ตี้มีจุดประสงค์อันใด?
“ฝ่าบาท พระองค์ทรงทำให้ทุกคนลำบากแล้ว?” ฮองเฮาทรงช่วยเหลือบรรเทา
จักรพรรดิอวี้ตี้มองไป: “ไม่มีผู้ใดต่อประโยคหรือ?”
“…….” ไม่มีผู้ใดตอบรับ
จักรพรรดิอวี้ตี้กล่าวว่า “เช่นนั้นให้ชายาเย่พูดมาเองหนึ่งประโยค”
ฉีเฟยอวิ๋นกรีดร้องในใจ อยากจะดึงจักรพรรดิอวี้ตี้มาม้วนเป็นลูกบอลแล้วเตะซะจริง
“ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันไม่สามารถต่อได้เพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นแสร้งทำเป็นลำบากใจ
จักรพรรดิอวี้ตี้ไตร่ตรองและมองดูฉีเฟยอวิ๋นครู่หนึ่ง: “เช่นนั้นก็แสดงความสามารถพิเศษมาหนึ่งอย่าง”
หนานกงเย่ถือจอกเหล้า: “ใช่ไหมน้องพี่”
“ใช่ไหม?” จักรพรรดิอวี้ตี้กล่าวเสียงเบา
หนานกงเย่เหลือบมองฉีเฟยอวิ๋น: “ชื่นชมยินดี!”
“……”ผู้คนตรงนั้นเสียงครึกครื้นขึ้น อ๋องเย่ไม่เคยทรงโปรดพระชายาเย่เลย
ฉีเฟยอวิ๋นมองไป เป็นเช่นนี้ก็ได้หรือ?
“ถือว่าได้นะ อ๋องตวนตาเจ้าแล้ว งั้นก็กล่าวถึงเจ้ากับชายาตวน” จักรพรรดิอวี้ตี้กล่าวต่อ อ๋องตวนไม่ได้ลังเลเลยจากนั้นจับมือของจวินฉูฉู่แล้วกล่าวว่า: “อิจฉาเพียงแค่คู่ชีวิตไม่อิจฉาทวยเทพ”
“อืม”
จักรพรรดิอวี้ตี้พยักหน้าอย่างพึงพอใจเช่นเดียวกัน
แต่ทันทีที่พระองค์กล่าวจบก็ได้ยินเฉินอวิ๋นเจี๋ยพูดว่า: “ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันก็ต่อประโยคด้วยพะย่ะค่ะ”
เสนาบดีเฉินโกรธเคืองยิ่งนัก มันเรื่องอะไรของเจ้า?
จักรพรรดิอวี้ตี้เหลือบมองน้องชายฮองเฮา: “ลองว่ามาสิ”
“งั้นข้าจะต่อประโยคอ๋องเย่ก่อน” หลังจากกล่าวจบเฉินอวิ๋นเจี๋ยมองไปยังฉีเฟยอวิ๋นที่อยู่ข้างๆ มองอย่างระมัดระวังและครุ่นคิดเป็นเวลานาน: “เวลานั้น……เวลานี้!”
เวลานั้นให้ความหวังแก่เขาส่วนเวลานี้ผิดคำสาบานของนาง!
ฉีเฟยอวิ๋นตกใจ นางมองไปยังเฉินอวิ๋นเจี๋ย เฉินอวิ๋นเจี๋ยมองมายังนางด้วยสายตาไม่พอใจ ฉีเฟยอวิ๋นตระหนักว่าถูกเข้าใจผิดจริงๆ เจ้าของร่างเดิมทำสิ่งใดให้เขาขุ่นเคืองกันแน่ สามารถรับรู้ได้ถึงความรู้สึกทั้งรักทั้งเกลียดนั้น
แต่ที่เขากล่าวว่าเวลานั้นเวลานี้นั้นถูกต้อง
ตอนนั้นเจ้าของร่างเดิมนั้นรักไม่ได้ แต่ตอนนี้รักจนวางไม่ลง!
“อืม ไม่เลวอวิ๋นเจี๋ย อ๋องตวนหล่ะ” จักรพรรดิอวี้ตี้พอใจมาก เรื่องราวของฉีเฟยอวิ๋นและหนานกงเย่ก็เป็นไปตามนั้นจริงๆ
เฉินอวิ๋นเจี๋ยหันใบหน้าอันงดงามนั้นมองไปยังอ๋องตวนและพระชายาตวน
“ดอกไม้บานสะพรั่งไม่ร่วงโรย”
อ๋องตวนสงสัยว่า: “ไม่ร่วงโรยเลยหรือ?”
ฉีเฟยอวิ๋นเศร้าสร้อย หรือเฉินอวิ๋นเจี๋ยจะกล่าวว่าพวกเขาไม่มีทางลงเอยกันได้?
ดอกไม้บานสะพรั่งไม่ร่วงโรย ไร้ซึ่งการผลิผลไม่ใช่หรือ?
จวินฉูฉู่กำลังคิดว่าจะกล่าวสิ่งใด เฉินอวิ๋นเจี๋ยกล่าวว่า: “ขอพระชายาตวนงดงามราวดอกไม้ไม่มีวันโรยรา”
“เอาหล่ะ เจ้าพูดให้มันน้อยๆหน่อย อ่านหนังสือมากี่ปีถึงกล้าที่จะออกมาร่ายรำบทความเล่นตัวอักษรซะแล้ว” ฮองเฮาไม่พอพระทัย น้องชายตนเองก็เป็นห่วงเอง
จักรพรรดิอวี้ตี้กล่าวว่า: “ตบรางวัล นำกระบี่ม่อเสียที่ข้าใช้เมื่อวานมามอบให้อวิ๋นเจี๋ย”
“ฝ่าบาท ไม่ได้พะย่ะค่ะ นั่นเป็นสิ่งของคู่พระวรกาย พระองค์จะทรงมอบให้อวิ๋นเจี๋ยได้เช่นไร?” ฮองเฮารีบลุกยืนขึ้น จักรพรรดิอวี้ตี้กุมมือของนางไว้
“ไปนำมา”
จักรพรรดิอวี้ตี้ออกคำสั่งและสวีกงกงก็รีบพาคนไปนำมา
“ท่านแม่ทัพน้อยรีบขอบพระทัยสิ นี่เป็นของคู่พระวรกายเชียวนะ เป็นเมตตาอันใหญ่หลวงนัก”
เฉินอวิ๋นเจี๋ยลุกขึ้นเดินไปยังด้านหน้าของพระตำหนัก สะบัดเสื้อคลุมแล้วคุกเข่ารับกระบี่ม่อเสีย!
หลังจากขอบพระทัยแล้วก็ลุกขึ้น เฉินอวิ๋นเจี๋ยมองยังกระบี่ที่อยู่ตรงหน้าครู่หนึ่ง จักรพรรดิอวี้ตี้กล่าวว่า: “มีกระบี่เล่มนี้แล้ว นับจากวันนี้เจ้าสามารถพกกระบี่เข้ามาในวังได้”
เฉินอวิ๋นเจี๋ยมองดูอยู่และเสนาบดีเฉินก็ลุกยืนขึ้นทันที: “ไม่ได้เด็ดขาดพะย่ะค่ะฝ่าบาท ได้โปรดถอนรับสั่งด้วยพะย่ะค่ะ
จักรพรรดิอวี้ตี้กุมมือฮองเฮาเฉินอวิ๋นชู: “มีเรื่องหนึ่งที่ข้าจะประกาศ ฮองเฮาและพระสนมเอกได้ตั้งครรภ์แล้ว”
ฉีเฟยอวิ๋นตกตะลึงและผู้คนรอบข้างรีบลุกขึ้นแล้วคุกเข่าเพื่อแสดงความยินดีกับจักรพรรดิอวี้ตี้
ฉีเฟยอวิ๋นถูกดึงขึ้นแสดงความยินดี ฉากนั้นทำให้ตะลึงไปช่วงเวลาหนึ่ง
ฉีเฟยอวิ๋นอกสั่นขวัญแขวน ช่างน่าระทึกขวัญซะแล้ว!
ถึงแม้ว่ายาจะรักษาให้หายก็ไม่เร็วขนาดนี้ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ฮองเฮาก็ตั้งครรภ์แล้ว
หลังจากแสดงความยินดีแล้วทุกคนกำลังปิติยินดีกันอยู่ แต่ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกปวดเอวและเจ็บขา ทุกครั้งที่เข้าวังก็ต้องคุกเข่า นางอยากจะเป็นจักรพรรดิจริงๆ เช่นนั้นก็เป็นผู้อื่นที่จะต้องคุกเข่าลง
เมื่อนั่งลงเรียบร้อยแล้วฉีเฟยอวิ๋นก็เห็นใบหน้าอันซีดเผือดของจวินฉูฉู่ ดูแย่มากซะจนถึงที่เรือนแล้ว
เมื่อคิดถึงเรื่องที่นางยังรอให้อ๋องตวนขึ้นครองบัลลังก์ ฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกเห็นอกเห็นใจนางขึ้นมาอย่างแท้จริง
ฉีเฟยอวิ๋นหันศีรษะมองไปยังหนานกงเย่เพื่อดูว่าเขามีท่าทีเช่นไร แต่ดูเหมือนว่าเขาก็กำลังจมดิ่งอยู่กับอะไรอยู่และมองต่ำครุ่นคิดเรื่องราวบางอย่าง
จับมือของนางอยู่แล้วกำลังถูอย่างเบามือในเวลานี้ และนิ้วหัวแม่มือเคลื่อนไปเคลื่อนมาในมือของนาง
คาดว่าก็คงตกใจเช่นกัน
จักรพรรดิอวี้ตี้มีบุตรยากเป็นเวลาหลายปีและพระสนมเอกเซียวเข้าวังมาไม่ถึงสองเดือน ทั้งสองตำหนักตั้งครรภ์แล้ว นี่ยังไม่น่าตกใจหรอกหรือ?
เนื่องจากปิติยินดี ฝ่าบาทจึงพระราชทานอาหารมาให้สองสามจาน ฉีเฟยอวิ๋นโชคดีมีลาภปากแล้ว
หลังจากงานเลี้ยงสิ้นสุดลงทุกคนก็จากไป ออกจากประตูขุนนางสำคัญในราชสำนักต่างก็มีใบหน้าอันโดดเด่นของตนเอง
ฉีเฟยอวิ๋นตามหนานกงเย่ไปอย่างแปลกใจและปล่อยให้เขาจูงนางเดินไป
ขณะที่เดินอยู่ฉีเฟยอวิ๋นก็กระซิบไปด้วยว่า: “หรือว่าแม้แต่ราชครูจวินและเสนาบดีเฉินก็ไม่รู้เรื่องนี้?”
ฉีเฟยอวิ๋นสังเกตว่าพวกเขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย
หนานกงเย่กล่าวอย่างเฉยเมยว่า: “หากว่าแม้แต่ข้าก็ไม่รู้เรื่องอันใดเลย เช่นนั้นพวกเขาก็ไม่มีโอกาสรู้อยู่แล้ว”
ฉีเฟยอวิ๋นสีหน้าประหลาดใจ: “ท่านเก่งกาจเช่นนั้นเลยหรือ?”
“ข้าไม่ได้เก่งกาจหรือ?” หนานกงเย่ใบหน้าหยิ่งทะนงและมองไปยังฉีเฟยอวิ๋นด้วยแววตาอันเต็มไปด้วยการหยอกล้อ ฉีเฟยอวิ๋นกรอกตาให้: “ไร้ยางอาย!”
“อืม!”
หนานกงเย่พยักหน้าเพื่อแสดงว่าฉีเฟยอวิ๋นกล่าวได้ถูกต้อง