คำพูดที่เขารวบรวมความกล้าพูดออกไปไม่มีการตอบรับใดๆ ท่านชายเฉิงสี่รู้สึกร้อนใจอยู่ไม่น้อย
เมื่อมองเห็นเขานั่งลง นายใหญ่โจวเริ่มเป่าชาในมือ
“เจ้ามาเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อใด” เขาถามอย่างไม่ใส่ใจ
ท่านชายเฉิงสี่ตกใจ
“สามเดือนก่อน…” เขาตอบโดยไม่รู้ตัว
“แล้วรู้ไหมว่าร้านพวกนี้เปิดตั้งแต่เมื่อใด” นายใหญ่โจวถามอีกครั้ง
เปิดตั้งแต่เมื่อใด สาวใช้เคยบอกแล้ว แต่เปิดตั้งแต่เมื่อใดกันนะ
ท่านชายเฉิงสี่ตกใจเล็กน้อย เขามองไปที่สาวใช้โดยไม่รู้ตัว
สาวใช้ก้มศีรษะราวกับไม่รู้ว่าเขากำลังตกที่นั่งลำบาก
แต่สถานการณ์เช่นนี้ไม่ใช่เวลาที่สาวใช้จะปริปากพูด
หากนางเอ่ยปากพูด คงโดนตราหน้าว่าเป็นบ่าวชั่ว แย่งชิงสมบัติของนายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่นอน
นายใหญ่โจวไม่รีบ ยกถ้วยชาดื่มอย่างอ้อยอิ่ง
ท่านชายเฉิงสี่ครุ่นคิดจนในที่สุดก็จำได้
“เรือนไท่ผิงเปิดก่อนวันปีใหม่ เรือนนางฟ้าเปิดหลังปีใหม่ และอี๋ชุนถังเปิดหลังจากปีใหม่ได้ไม่นาน” เขาตอบอย่างยิ้มแย้ม
“ใช่ ถึงตอนนี้อย่างน้อยก็ห้าเดือนแล้ว” นายใหญ่โจวพยักหน้าพร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ใช่ ใช่ ท่านชายเฉิงสี่รู้สึกกระวนกระวายอยู่บ้าง น้องสาวเปิดร้านทั้งสามภายในเวลาอันสั้น แต่เขากลับไม่รู้เรื่องนี้เลย ทั้งยังคิดว่านางเป็นคนบ้าที่ต้องการคนดูแลมาโดยตลอด…
ท่านชายเฉิงสี่ตกใจกับเสียงถ้วยชาที่ดังขึ้นกะทันหัน
นายใหญ่โจววางถ้วยชาลงกับโต๊ะอย่างแรง รอยยิ้มแสนสุขใจบนใบหน้าของเขาจางหายไปนานแล้ว
“ร้านเหล่านี้เปิดมาอย่างน้อยห้าเดือนแล้ว เจ้ามาเมืองหลวงเพียงสามเดือน เจ้าจะรู้อะไร ร้านนี้เปิดได้เพราะคนๆ เดียวอย่างนั้นหรือ” นายใหญ่โจวตะโกน “เด็กโง่ บ่าวชั้นต่ำ พวกเจ้าสมรู้ร่วมคิดจะทำอะไรกัน ยังไม่เอาสมุดบัญชีมาให้ข้าอีก หากยังกล้าเล่นตุกติก ข้าจะส่งพวกเจ้าไปศาลาว่าการ! ”
ท่านชายเฉิงสี่ตกใจจนหัวใจเต้นแรง หูอื้ออึงในทันใด
ใช่ ใช่ ร้านเหล่านี้อาศัยน้องสาวเพียงคนเดียวจะเปิดได้อย่างไร เมืองหลวง ที่นี่คือเมืองหลวง นายใหญ่โจวและครอบครัวต่างก็อยู่ที่นี่…
ทั้งแต่ก่อนและวันหน้าก็ยังอยู…
ท่านชายเฉิงสี่กลืนน้ำลายอย่างอดไม่ได้
จะให้เขาดูดีหรือไม่
กลัวเพียงแค่ว่าสุดท้ายแล้วเขาจะทำลายร้านของน้องสาว แล้วยังทำให้ตระกูลโจวไม่พอใจ จนเป็นตัวถ่วงของน้องสาว…
“ตระกูลเฉิงของพวกเจ้าช่างใจดำเสียจริง ครอบครองสินสอดของตระกูลข้า ทั้งยังทอดทิ้งเจียวเจียวร์ของข้าอีก ยามนี้นางล้มป่วยอีกครั้ง พวกเจ้าไม่เพียงไม่สนใจจะดูแลนาง แต่กลับวิ่งโร่มาแย่งชิงสมบัติของนาง… ” นายใหญ่โจวพูดเย้ย
ก่อนที่จะพูดจบ ท่านชายเฉิงสี่เงยหน้าขึ้น
“ข้าไม่มีทางแย่งสมบัติของน้องสาวเป็นแน่ ข้าจะดูร้านให้ดี จะไม่ให้ความตั้งใจของน้องสาวต้องสูญเปล่า” เขาสีหน้าจริงจัง แววตามุ่งมั่น “ข้าจะช่วยน้องสาวดูแลร้าน และไม่ใช้เงินของน้องสาวสักแดงเดียว รอให้น้องสาวฟื้น ข้าจะส่งมอบทุกอย่างคืนนาง แต่ก่อนที่น้องสาวจะฟื้น คนอื่น คนอื่นไม่มีสิทธิมายุ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินของนาง”
เด็กสามหาว! พูดถึงเพียงนี้ยังไม่เข้าใจอีกหรือ !
นายใหญ่โจวจ้องมองอย่างขุ่นเคือง
“ถ้าหากไม่ฟื้นเล่า” เขาเอ่ย
ถ้าหากไม่ฟื้นเล่า
สมมติฐานนี้ผุดขึ้นในก้นบึ้งหัวใจของทุกคน แต่ไม่มีใครกล้าพูดออกมา ถึงขั้นไม่กล้าแม้แต่จะคิด แต่เวลานี้ นายใหญ่โจวกลับพูดออกมาได้เต็มปาก สีหน้าของทั้งท่านชายเฉิงสี่ สาวใช้ และผู้ดูแลอู๋ก็พลันซีดเผือดในทันใด
จะไม่ฟื้นจริงๆ หรือ
“ฮูหยิน ผ่านไปครึ่งเดือนกว่าแล้ว…” สาวใช้กระซิบ
เวลาใกล้ค่ำ แสงในห้องนอนของเฉิงเจียวเหนียงค่อยๆ มืดสลัว ร่างของหญิงสาวบนเตียงถูกกลืนหายไปท่ามกลางความมืด
หากไม่ใช่เพราะยังมีลมหายใจเข้าออก ก็เหมือนกับ…
แต่คงอีกไม่นานแล้วกระมัง
ฮูหยินฉินถอนหายใจ มองดูมุมปากของหญิงสาวขยับ ก่อนจะหันไปมองดูสาวใช้ที่กำลังจัดธูปหอมอยู่ นางลุกขึ้นยืนในทันใดพลางเดินไปที่ริมเตียง หยิบถ้วยน้ำขึ้นจากด้านข้าง ก่อนจะยื่นมือออกไปพยุงหญิงสาวผู้นั้นแล้วป้อนน้ำให้นางกิน
แม่นมสะดุ้งจนสีหน้าเปลี่ยน
“ฮูหยิน”
เสียงเรียกโพล่งออกมาทันที
คนป่วยนอนติดเตียง แม้จะดูแลดีเพียงใน แต่ก็ไม่วายรู้สึกรังเกียจอยู่ดี …
จะให้ฮูหยินป้อนนางได้อย่างไร!
ปั้นฉินตะลึงเช่นกัน นางรีบร้อนวางฝากระถางธูปลงจนเสียงดังก้อง
“ฮูหยิน ฮูหยินให้ข้าทำเถิดเจ้าค่ะ” นางตะโกนแล้วรีบเดินเข้ามานั่งคุกเข่า
“ข้าพยุงนาง ส่วนเจ้าป้อนน้ำให้นางสักสองสามอึก” ฮูหยินฉินเอ่ยพร้อมกับวางถ้วยน้ำลง ทว่าฝ่ามือยังคงไม่คลาย
“มิบังอาจรบกวนฮูหยิน มิบังอาจรบกวนฮูหยินเจ้าค่ะ” ปั้นฉินกลืนน้ำลายหมอบกราบเอ่ย
ฮูหยินฉินเองก็ไม่อยากดึงดัน โอบร่างของเฉิงเจียวเหนียงไว้แล้วส่งต่อให้อ้อมแขนของปั้นฉิน ก่อนจะลุกขึ้นยืนด้วยตัวเอง
เมื่อสาวใช้มาถึง ฮูหยินฉินกำลังจะเดินออกไป
พอเห็นว่าเป็นนาง สาวใช้จึงรีบคำนับในทันที
“มีปัญหาอะไร ก็บอกข้าได้” ฮูหยินฉินเอ่ย สายตากวาดมองไปยังใบหน้าที่อิดโรยของสาวใช้
เรื่องที่เอ่ยปากพูดออกมาได้ย่อมไม่ใช่เรื่องยากลำบากอะไร แต่เรื่องที่ยากลำบากจริงๆ กลับพูดออกมา ไม่ได้…
“ขอบคุณความเมตตาของฮูหยินมากเจ้าค่ะ” สาวใช้พูดพร้อมโค้งคำนับ
รถม้าของฮูหยินฉินแล่นออกไปไกล สาวใช้ยืนอยู่หน้าประตูด้วยความงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง
“เมื่อเช้านายใหญ่เฉินมาที่นี่เจ้าค่ะ”
เมื่อเข้ามาในบ้าน ปั้นฉินรีบรายงานว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง
“ตันเหนียงและแม่นางสิบแปดมาเยี่ยมและนำเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้นายหญิง ท่านพี่ดูสิ ข้าเปลี่ยนให้นายหญิงแล้ว”
“และพาหมอหลวงหลี่มาตรวจชีพจรนายหญิงด้วย บอกว่าร่างกายอ่อนแอนิดหน่อย ต้องป้อนอาหารให้มากขึ้น…”
สาวใช้ฟังนางพูดรายละเอียด พยักหน้า คลี่ยิ้ม ก่อนจะหันไปมองเฉิงเจียวเหนียงที่นอนบนเตียงด้วยแววตาเหม่อลอย
“พี่สาวทางนั้นมีอันใดต้องกังวลใจหรือไม่” ปั้นฉินลังเลชั่วครู่ก่อนจะถามขึ้น
สาวใช้ได้สติกลับคืนมา
“อ๋อ ไม่มีหรอก” นางส่ายศีรษะยิ้มแล้วเอ่ย “มีท่านชายสี่อยู่ที่นั่นด้วย ทุกอย่างเรียบร้อยดี ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง”
ปั้นฉินพยักหน้าแล้วยิ้มให้นาง
“เช่นนั้นก็ต้องรบกวนพี่สาวและท่านชายสี่แล้วละ” นางเอ่ย
สาวใช้ยิ้มไม่พูดอันใด เมื่อเทียบกับหลายวันก่อน วันนี้นางรอยยิ้มของนางช่างกล้ำกลืนนัก
ช่างอย่างลำบากนัก เมื่อต้องเผชิญหน้ากับนายใหญ่โจว นางรู้สึกเหนื่อยล้ายิ่งนัก
ยามนึกถึงแต่ก่อนที่นายหญิงต้องเผชิญกับความยากลำบากมากมาย เหตุถึงทำเหมือนมิใช่เรื่องใหญ่โตอันใดได้
เพราะไร้หัวใจอย่างนั้นหรือ
จะต้องทำเช่นไรถึงจะเป็นคนไร้หัวใจ
ระหว่างที่ทั้งสองพูดคุยกันอยู่นั้น ก็มีเสียงจากด้านนอกประตูดังขึ้นพร้อมกับเสียงเคาะประตู
“พวกเจ้ามาทำไมหรือ”
สาวใช้ลุกขึ้นยืน มองดูสาวใช้และแม่นมสี่ห้าคนที่ยืนอยู่หน้าประตู
นางจำคนเหล่านี้ได้ พวกเขาทั้งหมดเป็นคนของตระกูลโจว
“สาวน้อย พวกเรามารับใช้นายหญิง” ไม่รอให้สาวใช้พูด หัวหน้าแม่นมเอ่ยขึ้นในทันใด พร้อมกับส่งเสียงเรียกคนที่อยู่ด้านหลัง “เข้าไปเร็ว ทำความสะอาด ลงหลักปักฐาน ทุกคนเริ่มได้”
“นี่คือบ้านของข้า ใครให้พวกเจ้าเข้ามา! ” สาวใช้มือเท้าเอวตะโกน
เมื่อเห็นนางรั้งพวกเขาเอาไว้ จินเกอร์ที่ถือกลอนประตูจึงรีบมายืนขวางประตูไว้เช่นกัน
“บ้านของเจ้าหรือ” หัวหน้าสาวใช้หัวเราะพลางมองนางอย่างเหยียดหยาม “ใช่แล้ว เจ้าคือคนของตระกูลเฉิง และตอนนี้นายหญิงอยู่ในบ้านของตระกูลโจวของเรา อยู่ในความดูแลของตระกูลโจว นังเด็กเมื่อวานซืน ไสหัวออกไป”
ฮูหยินโจวคาดการณ์ไว้แล้วว่าจะถูกขวาง ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร
นางพูดพลางหันหลังกลับมามองหน้าแม่นมคนอื่นๆ
“สาวใช้จากตระกูลเฉิงไม่ได้อยู่ในความดูแลของพวกเรา พวกเราก็ไม่กล้าดูแล ใครก็ได้เข้ามาที พานางกลับไปส่งให้กับตระกูลเฉิง ให้พวกเขาดูแลนาง! ”
เหล่าแม่นมร่างท้วมขานรับทันที พับแขนเสื้อแล้วก้าวไปข้างหน้า
จินเกอร์ที่ถือกลอนประตูอยู่ในมือ ยามประจันหน้าแม่นมร่างยักษ์เหล่านี้ เขาเหมือนดั่งตั๊กแตนผอมบางก็ไม่ปาน
“ข้าไม่ใช่สาวใช้ของตระกูลเฉิง” สาวใช้ยืนอยู่หน้าประตู หัวเราะเยาะขณะมองหน้าพวกนาง
แม่นมทั้งหลายที่กำลังยกเท้าก้าวเดินถึงกับตะลึง
ไม่ใช่สาวใช้ของตระกูลเฉิงหรอกหรือ
“ข้าเป็นสาวใช้ของตระกูลจาง” สาวใช้พูดขึ้นอีกครั้ง เชิดคางขึ้นเล็กน้อย มองหน้าพวกนางด้วยความหยิ่งผยอง “กลับไปบอกนายใหญ่ของพวกเจ้า ข้าเป็นสาวใช้ของบ้านจางฉุน ข้าคือสาวใช้ที่นายใหญ่ตระกูลจางมอบให้กับนายหญิง จะส่งข้ากลับก็ง่ายนิดเดียว ขอให้พวกท่านไปบอกกับตระกูลจางก่อน หากมีข้อผิดพลาดประการใด ข้าผู้นี้จะกลับไปสารภาพและรับโทษด้วยตัวเอง”
จางฉุน จางฉุนคือผู้ใดกัน
แม่นมมองหน้าสาวใช้ด้วยความงุนงง
“จางฉุนหรือ”
นายใหญ่โจวตะโกนด้วยความโมโหจนแทบนั่งไม่ติด
“ใช่เจ้าค่ะ นางบอกว่านางเป็นคนของตระกูลจางฉุน นายใหญ่จางมอบให้กับแม่นางอะไรประมาณนี้เจ้าค่ะ…” สาวใช้ตอบ สีหน้าของนางยังคงงุนงงเล็กน้อย พวกนางจำไม่ได้ว่าจางฉุนผู้ใด แต่ดูจากลักษณะท่าทางของสาวใช้แล้ว น่าจะเป็นคนมีอำนาจ พอนึกถึงว่าแม่นางเฉิงชอบสร้างเรื่องแปลกประหลาดมากมาย ดังนั้น นางจึงเลือกกลับมาก่อนอย่างขลาดกลัว เพราะกลัวว่าจะถูกนายใหญ่โจวและฮูหยินตำหนิว่าถูกสาวใช้ตัวจ้อยข่มขู่จนตกใจกลัว
“ตระกูลจางหรือ” ฮูหยินโจวใบหน้าซีดเผือด แทบไม่เชื่อเรื่องที่เกิดขึ้น “จางฉุน จางฉุนคือผู้ใดกัน”
“ไร้สาระ จะเป็นใครไปได้เล่า ก็จางฉุน จางเจียงโจวไง!” นายใหญ่โจวตะโกน
สาวใช้ถึงจะได้สติกลับมา จางเจียงโจว!
จางฉุนเป็นที่รู้จักไปทั่วทั้งเมืองหลวง ทุกคนต่างให้เกียรติโดยเรียกตามเมืองเกิดของเขา ท่านอาจารย์เจียงโจว แต่น้อยคนนักจะรู้จักชื่อจริงของเขา
ยังดีที่พวกนางฉลาดพอ พากันกลับมาเสียก่อน!
ฮูหยินโจวตกตะลึงจนอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ
เป็นไปได้อย่างไร
สาวใช้ผู้หยิ่งผยองคนนั้น กลับเป็นคนของตระกูลจางเจียงโจว
“และเป็นสาวใช้ที่นายใหญ่จางเป็นคนมอบให้ด้วยตัวเอง…” นายใหญ่โจวพึมพำ “ถึงว่า ถึงว่าเรื่องหนีทหาร ท่านเจียงโจวถึงออกหน้า…ที่แท้คือนาง…คือนางจริงๆ ด้วย…”
ผู้หญิงผู้นี้ปกปิดเรื่องแปลกประหลาดอันใดที่เขาไม่รู้ไว้อีก!
ผู้หญิงผู้นี้จะทำให้พวกเขาหวาดกลัวไปถึงไหน!