“เช่นนั้นจะทำอย่างไร จะไม่เอาแล้วหรือ จะยอมประเคนให้ตระกูลเฉิงอย่างนั้นหรือ”
แสงไฟภายในเรือนตระกูลโจวถูกจุดสว่าง สีหน้าฮูหยินโจวร้อนรน นายใหญ่โจวเดินวนไปมาอยู่ในห้องโถง
“นางไม่ฟื้นขึ้นมาแล้ว เหล่าหมอต่างก็บอกว่า อย่างมากที่สุดก็ทนได้แค่สามสี่เดือนเท่านั้น นายใหญ่ ท่านชายเฉิงสี่ของตระกูลเฉิงไร้ความสามารถ หากคนของตระกูลเฉิงพากันเข้ามา พวกเราจะมีปัญหาไม่น้อยเลยนะ”
หัวใจของนายใหญ่โจวบีบคั้นจนตัวสั่น
“ยกให้ตระกูลเฉิงอย่างนั้นหรือ ฝันไปเถอะ!” เขาส่งเสียงฮึดฮัด ยืนอย่างมั่นคง เอื้อมมือขึ้นมาลูบเครา ยามคิดถึงกองเงินกองทองนั่นก็พลันกัดฟันขึ้นมา “อาจารย์เจียงโจวคงมายุ่งเรื่องของตระกูลเราไม่ได้กระมัง! เด็กนั่นก็เป็นสาวใช้ของตระกูลจาง ก็ยิ่งไม่ต้องกลัว! ตระกูลจางจะลุ่มหลงหน้ามืดตามั่วคิดแย่งชิงสมบัติของผู้อื่นเชียวหรือ”
“ถูกต้อง เรื่องภายในตระกูลเรา คนนอกอย่างเขาจะยื่นมือเข้ามายุ่งได้อย่างไร” ฮูหยินโจวเอ่ยขึ้นทันใด “ตราบใดที่พวกเราดีต่อเด็กบ้านั่น ใครจะว่าอะไรได้”
ถูกต้อง!
พวกเขาไม่เหมือนกับตระกูลเฉิงผู้ไร้ยางอาย พวกเขาเลี้ยงเฉิงเจียวเหนียงมาอย่างดี ยามป่วยก็ดูแลอย่างดี ยามตายก็ฝังศพอย่างไม่เสียเกียรติ ไม่มีขาดตกบกพร่อง! ไร้ซึ่งความละอายใจ! ใจกว้างและตรงไปตรงมา!
นายใหญ่โจวพยักหน้า
ครั้งนี้ไม่ว่าผู้ใดจะออกหน้า ต่างก็ไม่ต้องกลัว!
เขาเป็นลุงแท้ๆ ของเฉิงเจียวเหนียง ทว่าคนอื่นต่อให้เป็นฮ่องเต้ ก็ไม่มีเหตุผลใดให้เข้ามาข้องเกี่ยวได้
การที่เขารับช่วงต่อนั้นเป็นสัจธรรมอันเปลี่ยนแปลงมิได้ แต่คนอื่นอย่าว่าแต่รับช่วงต่อเลย แม้แต่แทรกแซง ก็ต้องคำนึงว่าจะได้รับชื่อเสียงไม่ดีเกี่ยวกับการแย่งสมบัติของตระกูลคนอื่น
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ต้องทำอย่างจริงใจ” ฮูหยินโจวเอ่ย “ก็อย่าให้บ่าวที่ไหนมาปรนนิบัติ รับเจียวเหนียงกลับมา ข้าจะดูแลเอง!”
ใครจะห้ามไม่ให้พวกเขาดูแลหลานได้
นายใหญ่โจวพยักหน้า
“ขอแค่เลี้ยงดูนาง ก็ไม่มีผู้ใดมาขัดขาเราได้แล้ว” เขาเอ่ย
ฮูหยินโจวพยักหน้า
“พรุ่งนี้ข้าจะพานางกลับมาด้วยตัวเอง” นางเอ่ย
ม่านรัตติกาลค่อยๆ ปกคลุมท้องนภา เรือนที่ยังไม่ได้จุดไฟจึงมืดสลัวเล็กน้อย
“พี่ปั้นฉิน ดูเหมือนว่าพวกเขาไม่กล้ามาอีกแล้ว” จินเกอร์เอ่ย
ร่างกายของเขาที่จับสลักประตูอยู่นั้นแข็งทื่อไปแล้ว
“ท่านพี่ช่างเก่งเหลือเกิน” เขาเอ่ยอย่างดีใจ
สาวใช้ส่ายหัวพลางยิ้มอย่างขมขื่น
“ข้าไม่ได้เก่ง” นางเอ่ย “แรงที่ยืมมาต่างหากที่เก่ง”
“ผู้ใดจะเก่งก็ช่างเถิด อย่างไรเสียก็แก้ไขปัญหาได้แล้ว”
จินเกอร์เอ่ยดีใจ
สาวใช้ส่ายหัวอีกครั้ง
“ไม่ใช่แรงของตัวเอง ยืมแรงของคนอื่น ต่างไม่ยั่งยืน” นางเอ่ยพลางมองความมืดสลัวของท้องนภายามราตรี “อีกทั้งเรื่องนี้ เป็นกิจการของตระกูลใดกันแน่ เรี่ยวแรงของคนนอกเข้ามาแทรกแซงไม่ได้”
สีหน้าของจินเกอร์เผยความกังวลโดยพลัน
“เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี” เขาถามอย่างร้อนรน
สาวใช้หันหน้ากลับไปมองภายในห้อง ปั้นฉินจุดไฟในห้องให้สว่างแล้ว ไฟส่องสว่างอบอุ่น
“ข้าไม่รู้…” นางพึมพำ กัดริมฝีปากล่าง ในที่สุดก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ “ข้าไม่รู้…”
นายหญิง ท่านบอกข้าที ว่าข้าควรทำอย่างไรดี…
นายหญิง ไม่มีท่านแล้ว ข้ายังคงยืนได้อย่างไม่มั่นคง ยืนขึ้นไม่ไหว…
สายลมยามค่ำคืนพัดผ่าน กระดิ่งลมที่ริมระเบียงส่งเสียงไพเราะ
“จินเกอร์ พักผ่อนเถิด อย่างน้อยคืนนี้ก็ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว” สาวใช้เอ่ย ฝืนยิ้มบางๆ ออกมา “พวกเรา ใช้ชีวิตกันให้ผ่านไปได้วันต่อวันก็พอ”
จินเกอร์เหม่อลอย มือพลางจับสลักประตูอยู่ก็ลุกขึ้นยืน ก่อนจะหันกลับมาพยักหน้าให้นาง
ทั้งสองเพิ่งจะเอี้ยวตัว เสียงก็ดังมาจากประตูอีกครั้ง สีหน้าของทั้งสองคนเปลี่ยนโดยทันใด
“ดีนี่ พวกเจ้านี่หน้าไม่อายกันจริงๆ เช่นนั้นข้าก็ไม่เกรงใจแล้วนะ!” สาวใช้กัดฟัน ก่อนจะตะโกน “จินเกอร์เปิดประตู!”
จินเกอร์เปิดประตู ตะเกียงหน้าประตูแกว่งไปตามลมยามราตรี ดูจากแสงไฟวูบวาบหน้าประตู ราวกับว่ามีคนจำนวนมากยืนอยู่ตรงนั้น แต่ดูไปก็จะมีเพียงคนเดียว
พริบตาเดียว คนผู้นั้นก็เดินเข้ามาแล้ว
“ตีมัน…” สาวใช้ตะโกน
จินเกอร์ใช้สลักประตูตีเข้าไปอย่างแรงโดยไม่ลังเล
ใครคนหนึ่งยกมือขึ้นจับสลักประตู ในขณะเดียวกันก็ซัดหมัดหนักไปทางจินเกอร์
ทันใดนั้นก็มีเสียงคนร้องขึ้นมา
หมัดของคนผู้นั้นหยุดอยู่ตรงหน้าจินเกอร์
ลมแหลมคมของหมัดพัดผ่านดวงตาจินเกอร์จนแทบลืมไม่ขึ้น…
เพียงแค่จินตนาการก็รู้ได้ว่า หากหมัดนี้กระแทกหน้าเขาจริงๆ คงมึนจนเห็นดาวเป็นแน่…
“ข้าเอง”
เสียงของชายผู้นั้นดังขึ้นท่ามกลางยามราตรี ผู้ที่มาใหม่ก้าวไปข้างหน้า ร่างซูบผอมที่สวมเสื้อคลุมแขนกุดปรากฏต่อหน้าสาวใช้
เขาเอื้อมมือออกมาแล้วยกหมวกขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อเผยให้เห็นใบหน้าของเขา
เป็นเขานี่เอง!
สาวใช้รู้สึกตกใจ
ชายหนุ่มผู้นี้คือคนที่ไม่เคยปรากฏตัวตั้งแต่เกิดเหตุหนีทหาร
นางคิดว่าชายหนุ่มผู้นี้คงกลัวและจะไม่ปรากฏตัวขึ้นอีก
เขาไม่เพียงแต่ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันโดยไม่คาดคิดแล้ว แถมยังไม่ได้ปรากฏตัวบนกำแพง แต่เดินเข้ามาทางประตู
อีกทั้งยังเป็นยามค่ำคืนเช่นนี้ด้วย…
“เจ้า มาทำอะไรที่นี่” สาวใช้ถามด้วยความงุนงง
“ข้ามา เยี่ยมนาง” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย ก่อนจะยกนิ้วชี้ขึ้นมาบนปาก พร้อมกับส่งเสียงชู่ไปทางนาง “เวลาของข้ามีจำกัด เจ้าพูดเรื่องไร้สาระมากเกินไป ข้าไม่มีเวลาคุยกับเจ้า ถอยออกไป”
หลังจากพูดจบ เขาก็ก้าวเท้าแล้วเดินจากสาวใช้ไป
ข้าพูดเรื่องไร้สาระอย่างนั้นหรือ เขาไม่มีเวลาอย่างนั้น…
สาวใช้ได้สติจึงนึกโกรธขึ้นมาแล้วหันกลับไป
เจ้าเป็นใครกัน!
นางก้าวเท้าและรีบตามไป
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเข้าไปอยู่ในห้องแล้ว
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเข้ามาในเรือนของแม่นางผู้นี้ แต่น่าเสียดายที่ไม่มีอารมณ์ที่จะสำรวจรอบๆ
“นายหญิงอยู่ทางนี้” สาวใช้พูดพลางยกม่านขึ้น
ปั้นฉินย่อมได้ยินเสียงเอะอะโวยวายด้านนอก แต่นางก็ยังคงเฝ้าอยู่ข้างเตียงอย่างเงียบๆ มาดังเดิม ลุกขึ้นป้อนน้ำพร้อมกับพูดคุย ทำสิ่งเดียวกันนี้ซ้ำไปมาไม่เปลี่ยน
พอเห็นชายหนุ่มเข้ามาก็โค้งคำนับให้
“ท่านชาย เชิญนั่งเจ้าค่ะ” นางพูด “ข้าจะไปยกชาให้ท่านชาย”
เฉกเช่นเดียวกับตอนที่เจียวเหนียงยังไม่ป่วย
“ไม่ต้องหรอก” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยโดยไม่ถอดเสื้อคลุมออก “เดี๋ยวข้าก็กลับแล้ว”
เดี๋ยวก็กลับหรือ
ปั้นฉินก้มศีรษะแล้วขานรับ
เช่นนี้ก็พอแล้ว
แค่มาพบนายหญิงได้ ก็พอแล้ว
“เฉิงเจียวเหนียง”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว ก่อนจะเรียก
หญิงสาวบนเตียงสวมใส่เสื้อตัวใน เส้นผมปล่อยสยาย ราวกับกำลังหลับใหลอย่างสงบนิ่ง
“นายหญิง ไม่ได้ยินหรอกเจ้าค่ะ” สาวใช้เอ่ย
“นางได้ยิน” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย พลางยกเสื้อขึ้นแล้วนั่งลงก่อนจะเรียก “เฉิงเจียวเหนียง ข้ามาหาเจ้าแล้ว”
หญิงสาวบนเตียงขยับปาก
“ดูสิ นางได้ยิน!”
ชายหนุ่มเอ่ยด้วยความประหลาดใจ พร้อมโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย
“ไม่ใช่” ปั้นฉินเอ่ย “นายหญิงพึมพำเช่นนี้มาตลอด ไม่ได้ตอบสิ่งที่ท่านเอ่ย”
“เฉิงเจียวเหนียง เฉิงเจียวเหนียง” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเพิกเฉยต่อคำพูดของนางแล้วเรียกต่อไป
ไม่เคยฟังกันเลยมาแต่ไหนแต่ไรแล้วสินะ
สาวใช้ถอนหายใจแล้วหันกลับ
“เจ้าพูดอะไร ข้าไม่ได้ยิน…”
เสียงของชายหนุ่มที่อยู่ข้างหลังยังคงดังอย่างต่อเนื่อง
สาวใช้มองจากด้านข้าง เห็นเขาโน้มเข้าไปใกล้มากขึ้น จนใบหูจรดอยู่ตรงหน้านายหญิง ราวกับกำลังฟังว่านางพูดอะไร…
ใกล้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ…
ภายใต้แสงไฟจากโคมสองดวง ใบหน้าด้านข้างอันหล่อเหลาของชายหนุ่ม เงาของร่างที่ดูเหมือนสูงใหญ่กว่าแต่ก่อนถูกห่อหุ้มด้วยเสื้อคลุมแขนกุด สะท้อนลงบนร่างกายเฉิงเจียวเหนียง
แม้จะฟังดูเป็นการล่วงเกินเล็กน้อย ท้ายที่สุดแล้วชายและหญิงนั้นแตกต่างกัน…
สาวใช้อ้าปากค้าง…
“เจ้าพูดดังกว่านี้หน่อย…ข้าได้ยินไม่ชัด…” เสียงของชายหนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างชัดเจน
สาวใช้ปิดปากลงอีกครั้ง
“นายหญิงพูดว่า ข้าเป็นใครเจ้าค่ะ” ปั้นฉินเอ่ยเสียงแผ่วเบาอยู่ด้านข้าง
จิ้นอันจวิ้นอ๋องมองนาง
“เป็นเรื่องนี้เองหรือ” เขาถาม
ปั้นฉินพยักหน้า
จิ้นอันจวิ้นอ๋องก้มหน้าเงี่ยหูฟังอีกครั้ง
ภายในห้องอันเงียบสงบ เสียงของหญิงสาวดูเหมือนจะชัดเจนขึ้น
ข้าเป็นใคร…
ข้าเป็นใคร…
อย่างนี้นี่เอง
“เจ้าชื่ออะไร”
“ข้าไม่รู้”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องนั่งตัวตรง พลางยิ้มบาง
“ข้ารู้” เขาเอ่ย
เจ้ารู้หรือ รู้อะไร
สาวใช้ขมวดคิ้ว หันกลับมามอง เริ่มพูดจาไม่รู้เรื่องอีกแล้วหรือ
“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นใคร” จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้มแล้วโน้มตัวอีกครั้ง “เจ้าคือเฉิงฝั่ง”
ว่าอย่างไรนะ
สาวใช้และปั้นฉินตกตะลึง
เฉิงฝั่ง คือผู้ใดกัน
ริมฝีปากของหญิงสาวบนเตียงขยับอีกครั้ง
ข้าเป็นใคร…
“เจ้าคือเฉิงฝั่ง”
“ท่านชาย เจ้ากำลังพูดเรื่องอะไร” สาวใช้ก้าวขาเดินไปข้างหน้าพลางเอ่ยถาม
นี่มาเล่นสนุกหรือ
นางรีบเดินเข้าไป ยืนค้ำหัวพลางมองลงไป ปราดเดียวก็เห็นหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียง
จิ้นอันจวิ้นอ๋องนั่งตัวตรง แสงที่ขวางกั้นก็สะท้อนลงมาบนใบหน้าของหญิงสาว
ภายใต้แสงไฟยามค่ำคืนอันอบอุ่น หญิงสาวพลัยลืมตาขึ้น
ลืมตาขึ้นแล้ว…
ลืมตาขึ้นแล้ว!
สาวใช้กรีดร้องยกมือขึ้นป้องปาก นางตะลึง ไม่อยากจะเชื่อ
เสียงกรีดร้องของนาง พาให้ปั้นฉินมองไปที่เตียงแล้วก็ต้องกรีดร้องในทันที
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเห็นหญิงสาวลืมตา รอยยิ้มพลันผลิบานบนใบหน้า
“เฉิงฝั่ง” เขาเรียก
เฉิงฝั่ง!
ข้าคือเฉิงฝั่ง!
ดวงตาของหญิงสาวหันมามองเขา ภายใต้แสงไฟยามราตรี ดวงตานั่นสุกใสราวดวงดารา
ข้าคือ เฉิงฝั่ง!